มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 796
ยิ่งไปกว่านั้นเขาพบว่าผลการฝึกตนของหลัวซิวอยู่ที่มหายุทธ์ขั้นหนึ่ง หากเป็นเช่นนี้ต่อไปละก็ ไม่แน่ว่ารอจนเขาบรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักร ก็จะสามารถต่อต้านมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้แล้ว

“ปีศาจแท้ ๆ! มิน่าเล่าเทวทูตจื่อเยียนถึงได้ให้ความสำคัญเช่นนี้” หลิวหงเทียนจับจ้องหลัวซิว และแอบกล่าวอยู่ในใจ

การต่อสู้ข้ามขั้น ผลการฝึกตนยิ่งสูงยิ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้ หลังจากที่บรรลุถึงแดนมหายุทธ์ต่อให้เป็นสุดยอดอัจฉริยะ สามารถต่อสู้ข้ามขั้นหนึ่งถึงสองแดนเล็ก ก็นับว่าสุดยอดมากแล้ว

หากว่าหลังจากที่บรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักร สามารถแข็งแกร่งจนไร้คู่ต่อสู้ในแดนเดียวกันได้ นั่นก็คือสุดยอดอัจฉริยะ

หลังจากที่บรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ โดยปกติแล้วอยู่ในแดนเดียวกัน พลังการต่อสู้ก็จะไม่แตกต่างกันมากนัก

สิ่งสำคัญก็คือ ฝีมือความสามารถของแต่ละคน รวมทั้งแดนของกฎที่ได้ตระหนักรู้

ส่วนหลัวซิวบรรลุมาถึงแดนนี้ ยังสามารถต่อสู้ข้ามขั้นได้ถึงหนึ่งแดนใหญ่ เช่นนี้มันช่างเป็นที่น่าหวาดผวายิ่งนัก

“พรสวรรค์ที่เหนือมนุษย์มนาเช่นนี้ ไม่คิดเลยว่าเทวทูตจื่อเยียนจะให้คำประเมินค่าแค่ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นเทพฟ้าเพียงริบหรี่เท่านั้น เทพฟ้าที่อยู่เหนือเทพมาร แท้จริงแล้วเป็นการดำรงอยู่ที่น่ากลัวเพียงใดกันแน่?”

“เจ้าหนุ่มไปกับข้า” หลิวหงเทียนกล่าวเสียงเข้ม

“ไปที่ใดรึ?” หลัวซิวเอ่ยถาม เขารู้ดีว่าหากหลิวหงเทียนคิดร้ายกับเขา เขาไม่มีทางที่จะขัดขืนได้เลย

“เมืองศักดิ์สิทธิ์”

ระหว่างที่พูดนั้น หลิวหงเทียนก็โบกมือ ฉีกช่องอากาศที่อยู่ตรงหน้าออก ทำให้เกิดเป็นช่องว่างทางเดินระหว่างปริภูมิ เขาดึงหลัวซิวเข้ามา และเดินไปในช่องอากาศ

ฉีกช่องอากาศ นี่คือความสามารถของผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ และสามารถทำได้อย่างสบายเช่นนี้ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าผลการฝึกตนของหลิวหงเทียนนั้นลึกล้ำอย่างไม่อาจคาดเดา

เมืองศักดิ์สิทธิ์ มีตำแหน่งที่ค่อนข้างพิเศษในเผ่าพันธุ์มนุษย์

เมื่อนานมาแล้ว มนุษย์และปีศาจต่อสู้กันมาไม่ครั้งแล้วครั้งเล่า สิ่งมีชีวิตเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ในตอนนั้นกองกำลังต่าง ๆ ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ต่างแยกกันสู้ใครสู้มัน

ในเวลาต่อมาได้มีผู้แข็งแกร่งสี่ท่านของเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นผู้ออกหน้า จัดตั้งพันธมิตร สร้างเมืองศักดิ์สิทธิ์ จึงได้มีสี่แก๊งใหญ่ขึ้นมา

เมืองศักดิ์สิทธิ์นั้นใหญ่โตโอมโหฬารเป็นอย่างมาก กำแพงเมืองสูงเป็นร้อยจั้ง ตั้งตระหง่านระฟ้า เหมือนดั่งยอดเขาลูกใหญ่

นี่คือป้อมปราการศึกขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง เล่าขานกันว่าได้รวบรวมภูมิปัญญาและเลือดเนื้อความทุ่มเทของปรมาจารย์ค่ายกลกับปรมาจารย์กลั่นสมบัติในเผ่ามนุษย์เอาไว้ ใต้พื้นดินและบนกำแพงของทั่วทั้งเม่องต่างได้วาดไว้ด้วยลายค่าย หากขับเคลื่อนทั้งหมดพร้อมกัน จะมีอานุภาพที่ทัดเทียมได้กับเทพมารเลยทีเดียว

มาถึงตอนนี้ บนจุดสูงสุดของเมืองศักดิ์สิทธิ์ บุคคลใหญ่โตจากแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ของเผ่ามนุษย์ต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่

เมื่อหลิวหงเทียนปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับหลัวซิว ผู้คนจากแต่ละแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างก็ได้ลุกขึ้น และโค้งคารวะหลิวหงเทียนอย่างนอบน้อม ไม่กล้าที่จะบุ่มบ่ามเลยแม้แต่น้อย

ทว่าสายตาของแต่ละคนที่มองหลัวซิวนั้น กลับเต็มไปด้วยความสังหารและความอำมหิต

หลิวหงเทียนนั่งลง ส่วนหลัวซิวยืนอยู่ที่ด้านข้างของเขา ในเวลาเดียวกันนั้นสายตาก็มองไปที่คนจากแต่ละแดนศักดิ์สิทธิ์

ทันทีที่มองไป เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวสะท้าน เพราะพวกคนที่อยู่ตรงนี้ แต่ละคนต่างเลือดลมพลุ่งพล่าน พลังชีวิตเต็มเปี่ยมและน่าสะพรึงกลัว ล้วนมีผลการฝึกตนในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขึ้นไป

ถึงขนาดที่หลัวซิวสงสัยว่ามีผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารนิรันกาลอยู่ด้วยหรือไม่ ถูกกลุ่มผู้แข็งแกร่งที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดในโลกยุทธ์ของโลกแสงดาวจ้องมอง ต่อให้เป็นความหลัวซิวที่สงบเยือกเย็น ยังรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง

“ท่านเจ้าแดน เมืองศักดิ์สิทธิ์และดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์เรา หลัวซิวมีฐานะเป็นผู้ลาดตระเวนขององค์กรนักล่ายุทธ์ นับเป็นสมาชิกคนหนึ่งของเมืองศักดิ์สิทธิ์ แต่เขากลับโหดเหี้ยมอำมหิต สังหารทำร้ายมนุษย์พวกเดียวกัน ขอท่านเจ้าแดนโปรดให้ความเป็นธรรมด้วยเถิด!”

คนที่พูดคนนี้ คือผู้อาวุโสมหาจักรพรรดิยุทธ์ท่านหนึ่งของตำหนักดารานภา สีหน้าของเขาในตอนนี้นั้นดูมืดมนและน่ากลัวนัก

การต่อสู้สังหารในเหวปีศาจมรณา ตำหนักดารานภาได้รับความสีหายมากที่สุด เนื่องด้วยได้สูญเสียมหาจักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่งไป