ตงหลิงจวิ้นร้อนใจจนใบหน้าขาวซีด “พี่หวง ตอนนี้ควรทำอย่างไรดี? ”
พระชายาหลู่หยางอ๋องกล่าวว่า “เรื่องนี้ชักช้าไม่ได้ ลองดูก่อนค่อยว่ากัน”
“เพคะ! ”
ตงหลิงหวงและทุกคนเห็นพ้องกัน นางค่อยๆ หมุนศิลาลายดอกไม้
ทันใดนั้นก็มีเสียงกลไกดังขึ้น ‘แกรก แกรก แกรก’ ผนังหินฝั่งตรงข้ามปรากฏเส้นทางเดินลึกลับอยู่เบื้องหน้าพวกเขา
ไม่มีลูกศรยิงมาที่ทั้งสามคนอย่างที่คาดคิด
ตงหลิงหวงฉุดมือพระชายาหลู่หยางอ๋องและตงหลิงจวิ้น และรีบกระโดดเข้าไปในเส้นทางเดินอย่างรวดเร็ว
ประตูหินปิดลงอีกครั้งดัง ‘แกรก แกรก’
ทันทีที่ประตูหินปิดลง หลู่หยางอ๋องและคนอื่นๆ ก็มาถึงห้องโถงศิลา
“เมื่อครู่คือเสียงอันใด? ไปตรวจดูรอบๆ เดี๋ยวนี้”
เมื่อครู่ หลู่หยางอ๋องเหมือนจะได้ยินเสียงกลไก เขาจึงเร่งฝีเท้า แต่ไม่คาดคิดว่าจะช้าไปก้าวหนึ่ง เมื่อเขามาถึงก็ไม่มีใครอยู่แล้ว
หลู่หยางอ๋องเดินเข้าไปในห้องศิลาที่ก่อนหน้านี้เคยใช้ขังพระชายาหลู่หยางอ๋อง
เป็นจริงดั่งคาด ข้างในว่างเปล่า ไม่มีทางพบร่างของพระชายาหลู่หยางอ๋องแน่นอน
ทันใดนั้น องครักษ์ก็เข้ามารายงาน “ท่านอ๋อง กระหม่อมและคนอื่นๆ ได้ตรวจสอบแล้ว ที่นี่มีห้องโถงเพียงห้องเดียวและห้องศิลาไม่กี่ห้อง สถานที่แห่งนี้ไม่ใหญ่มาก ไม่พบผู้ใดพ่ะย่ะค่ะ”
หลู่หยางอ๋องไม่รู้จักเส้นทางลับที่พระชายาหลู่หยางอ๋องเคยพูดก่อนหน้านี้ เพราะเส้นทางลับนั้นจะรู้กันเฉพาะพระชายาหลู่หยางในทุกราชวงศ์เท่านั้น เป็นความลับที่บอกต่อกันมาภายในจวนหลู่หยางอ๋อง
ทว่าสิ่งที่เขาแน่ใจคือตงหลิงหวง ตงหลิงจวิ้น และพระชายาหลู่หยางอ๋องยังคงอยู่ในเส้นทางลับนี้อย่างแน่นอน
มีทหารเฝ้าอยู่ด้านนอกมากมาย แม้แต่แมลงวันสักตัวก็บินหนีไปไม่ได้ นอกเสียจากพวกเขาจะติดปีกบินหนีไปเท่านั้น
“ไปตามตรวจสอบ ก้อนอิฐทุกก้อน ไม่เว้นแม้แต่เศษฝุ่นทุกซอกทุกมุม แม้จะต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องตามคนออกมาให้ได้”
“พ่ะย่ะค่ะ! ” องครักษ์รีบรับคำสั่ง รองหัวหน้าองครักษ์หันหลังกลับมาถามทันที “ทว่า ท่านอ๋อง ให้พวกเราหาตัวผู้ใด? ”
ขณะที่เข้ามา ก่อนหน้านี้ ท่านอ๋องบอกว่ากำลังจะทำเรื่องสำคัญบางอย่าง และต้องการตามหาใครบางคน
อย่างไรก็ตาม ท่านอ๋องกำลังตามหาผู้ใดนั้น พระองค์ไม่ได้บอก!
พวกเขาเหมือนคนตาบอด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังมองหาสิ่งใด!
ใบหน้าของหลู่หยางอ๋องเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขาเตะรองแม่ทัพอย่างแรงหนึ่งที
“เจ้าพวกสวะ ข้าจะหาใครได้อีก? ต้องเป็นตงหลิงหวง พระชายา และซื่อจือ”
พระชายากับซื่อจื่อหรือ?
พระชายาสิ้นพระชนม์แล้วไม่ใช่หรือ?
ทว่ารองหัวหน้าองครักษ์ตกตะลึงครู่หนึ่ง และไม่พูดพล่ามอีก!
เขารีบพูดขึ้นสองสามครั้ง และรีบเดินไปค้นหา “ท่านอ๋องทรงพระปรีชา ท่านอ๋องทรงพระปรีชา”
ในเวลานี้ ตงหลิงหวง ตงหลิงจวิ้น และพระชายาหลู่หยางอ๋อง ทั้งสามคนได้เข้ามาในเส้นทางลับอย่างปลอดภัย
ทว่าพวกเขาไม่มีสิ่งใดที่สามารถส่องแสงสว่างได้ โดยรอบเส้นทางลับมืดสนิทตลอดทาง เท้าเหยียบพื้นดินสูงบ้างต่ำบ้าง จึงไม่รู้ว่าตนเองกำลังจะไปยังทิศทางใด
“จวิ้นเอ๋อร์ พระชายา พวกท่านมีสิ่งที่สามารถส่องแสงสว่างพกติดตัวบ้างหรือไม่? เดิมทีข้ามีไข่มุกราตรีติดตัวมาด้วย ทว่าทำหายขณะที่เข้ามา”
ตงหลิงจวิ้นและพระชายารีบค้นหาตามร่างกายของตนเอง ในที่สุด ตงหลิงจวิ้นก็พบเพียงอัญมณีชิ้นเล็กที่สามารถเปล่งแสงได้ในแขนเสื้อของเขา
“มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้น สิ่งนี้ท่านพี่เคยให้ข้า ข้าพกติดตัวตลอด ทว่า… ดูเหมือนจะเล็กไป”
พระชายาหลู่หยางอ๋องกล่าวว่า “ตอนที่ข้าเข้ามา สิ่งของที่ข้ามีติดตัวถูกตงหลิงชางเอาไปจนเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่ปิ่นมุกสักชิ้น”
ตงหลิงหวงหยิบอัญมณีชิ้นนั้นจากมือของตงหลิงจวิ้น
แม้จะมีแสงเพียงเล็กน้อย ทว่าดีกว่าไม่มีอันใดเลย
“เพียงมองเห็นทางเดินบนพื้นก็พอแล้ว จวิ้นเอ๋อร์ เจ้าประคองพระชายาและติดตามข้าอย่างใกล้ชิด ระวังตัวด้วย”
“อืม! ” มือข้างหนึ่งของตงหลิงจวิ้นจับพระชายาหลู่หยางอ๋องไว้ และอีกข้างหนึ่งก็จับมือของตงหลิงหวง ทั้งสามมุ่งหน้าเดินต่อไป
เส้นทางนี้แตกต่างจากเส้นทางด้านนอกอย่างสิ้นเชิง ดูเหมือนยังสร้างไม่เสร็จ ทางเดินและห้องศิลาด้านนอกทำด้วยหินสีเขียว ทว่าทางเดินด้านในนี้กลับไม่มี ด้านข้างมีดินโคลนและหินจำนวนมากที่ยังไม่ทันได้ใช้งาน
ไม่รู้ว่าสุดทางเส้นนี้เป็นที่ใดและมีอันตรายหรือไม่
ยิ่งทั้งสามคนเดินเข้าไปด้านในมากเท่าใด ความชื้นและเสียงก้องยิ่งดังมากขึ้นเท่านั้น ทั้งยังได้ยินเสียงหยดน้ำดังขึ้น ทว่าไม่รู้ว่าดังมาจากทิศทางใด
“โอ้ย! ”
จู่ๆ พระชายาหลู่หยางอ๋องก็เท้าแพลงจนเกือบจะหกล้มลงกับพื้น ตงหลิงหวงหันหลังกลับมาช่วยประคองพระชายาหลู่หยางอ๋องไว้ทัน
“พระชายาทรงเป็นอันใดหรือไม่? ”
พระชายาหลู่หยางอ๋องส่ายศีรษะ ทว่าใบหน้ากลับขาวซีด ริมฝีปากมีรอยแตกและยังมีเลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อย
เมื่อตงหลิงจวิ้นเห็นก็ตกใจเป็นอย่างมาก “เสด็จแม่ ท่านเป็นอันใด? ”
“ไม่ต้องตกใจไป แม่สบายดี”
“เสด็จแม่ ท่านเป็นเช่นนี้ จะไม่เป็นอันใดได้อย่างไร? พี่หวง ท่านช่วยตรวจดูอาการเสด็จแม่ด้วย เสด็จแม่เป็นอันใดกันแน่”
ตงหลิงหวงรีบคว้าแขนพระชายาหลู่หยางอ๋องเพื่อตรวจชีพจร
พระชายาหลู่หยางอ๋องพยายามบ่ายเบี่ยงตงหลิงหวง และคิดจะหลบ ทว่าสายเกินไปเสียแล้ว ทันทีที่ตงหลิงหวงจับมือของพระชายาหลู่หยางอ๋อง นางก็รับรู้ได้ทันทีว่าเกิดอันใดขึ้น
นางขมวดคิ้วมุ่น “พระชายา พระองค์ได้รับพิษ เหตุใดก่อนหน้านี้ไม่บอกหม่อมฉัน”
“อ๋า? เสด็จแม่ถูกพิษหรือ? ” ตงหลิงจวิ้นรู้สึกตกใจอีกครั้ง
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด เหตุใดต้องพูดให้เจ้าทั้งสองตกใจกลัวด้วยเล่า ไม่เป็นอันใด ข้าทนไหว พวกเราไปกันต่อเถิด ตงหลิงชางมีกำลังคนจำนวนมาก อีกไม่นานคงหาเส้นทางลับแห่งนี้พบและตามมาทันแน่”
ตงหลิงหวงรีบตรวจร่างกายของพระชายาหลู่หยางอ๋องอย่างละเอียด
“พระชายา เดิมทีพิษในร่างกายของพระองค์ไม่กำเริบ ทว่าเป็นเพราะเดินทางเป็นเวลานานจนทำให้อาการกำเริบ พระองค์จะยืนกรานเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร? ด้วยระยะทางที่เหลือ พระชายาไม่มีทางเดินไปได้ด้วยตนเอง”
ตงหลิงหวงพูดถูกต้อง
แท้จริงแล้ว หลู่หยางอ๋องยังเมตตาต่อพระชายาของตนเอง แม้จะวางยาพิษ ทว่ากลับยังรักและอาลัยอาวรณ์
ยาพิษนี้เพียงควบคุมการเคลื่อนไหวของพระชายาหลู่หยางอ๋องเท่านั้น ตราบใดที่นางอยู่ในห้องลับแต่โดยดี ไม่เดินเหินไปไหนมาไหน พิษจะไม่กำเริบ ทว่าตอนนี้นางเดินมากถึงเพียงนี้ พิษจึงแทรกซึมเข้าไปในเลือดของนาง
“เสด็จแม่ ให้จวิ้นเอ๋อร์แบกท่านไปเถิด! ” ตงหลิงจวิ้นพูดขึ้น
“ไม่เป็นอันใด แม่เดินไปเองได้ อย่าฟังพี่หวงของเจ้าพูดจาไร้สาระ นางกำลังทำให้เจ้าตกใจ”
“พี่หวงไม่ได้พูดไร้สาระ! เสด็จแม่ เป็นท่านที่โกหกจวิ้นเอ๋อร์”
แม้จะพูดว่าโกหก ทว่าตงหลิงจวิ้นกลับไม่คิดตำหนิแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม ทันทีที่พูดคำพูดว่า ‘โกหก’ น้ำตาของเขาก็ไหลรินออกมา
มันเป็นน้ำตาแห่งความรักที่มีให้มารดาของตนเองโดยเฉพาะ
“ให้จวิ้นเอ๋อร์แบกพระองค์ไปเถิด! หนทางที่เหลือเดินลำบาก ไม่รู้ต้องเดินอีกนานเพียงใด พระวรกายของพระชายาไม่อาจตรากตรำมากไปกว่านี้อีกแล้ว ตอนนี้หม่อมฉันไม่มียาแก้พิษติดตัว ไม่อาจถอนพิษพระชายาได้ ทำได้เพียงประคับประคองไว้เท่านั้น หลังออกไปได้ค่อยว่ากัน
ทว่า หากพระชายายังดึงดันจะเดินไปเอง อาจทำให้พิษกำเริบรุนแรงขึ้น จนเกรงว่าจะไม่สามารถเดินออกไปได้”
จากสถานการณ์คับขันเช่นนี้ ตงหลิงจวิ้นจะยอมให้พระชายาหลู่หยางอ๋องดื้อรั้นต่อไปได้หรือ? ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจปล่อยให้นางเดินเอง เขารีบแบกพระชายาหลู่หยางอ๋องไว้บนหลัง
ทั้งสามยังคงมุ่งหน้าเดินต่อไป