หลังจากทั้งสามเดินไปได้ไม่นานนัก ตงหลิงหวงที่เดินอยู่ด้านหน้าก็หยุดชะงักอย่างกะทันหัน
ตงหลิงจวิ้นที่แบกพระชายาหลู่หยางอ๋องไว้บนหลังและเดินตามอย่างรีบเร่ง เกือบหยุดฝีเท้าไม่ทันจนแทบชนกัน
“พี่หวง เป็นอย่างไรหรือ? ”
ตงหลิงหวงไม่พูดสิ่งใด นางเบี่ยงตัวออกเพื่อให้ตงหลิงจวิ้นเห็นสถานการณ์ตรงหน้า
ตงหลิงจวิ้นเพียงเหลือบมองเท่านั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ
แม้ไม่ได้เดินเข้าไปใกล้ๆ ทว่าเห็นได้ชัดเจนว่า จู่ๆ เส้นทางข้างหน้าก็กว้างขึ้น เหมือนจะพาไปสู่ห้องศิลาอีกห้องหนึ่ง
โครงสร้างที่นี่แตกต่างจากทางเดินที่พวกเขาเดินมา พื้นปูด้วยหินสีเขียว เหนือพื้นหินสีเขียวมีกระบี่ยาวจำนวนมากส่องแสงเป็นประกายลอยอยู่กลางอากาศ
มันคือสุสานกระบี่เจี้ยนหลิน
ตำแหน่งที่ตงหลิงหวงและตงหลิงจวิ้นยืนอยู่ หากตั้งใจฟังอย่างละเอียด จะได้ยินเสียงลมหนาวพัดแผ่วเบามาจากภูเขาสูงและหุบเขาที่อ้างว้าง ราวกับเสียงเรียกของเหล่าวิญญาณจากนรกเก้าขุม ซึ่งเป็นเสียงปราณกระบี่อันน่าสะพรึงกลัว
โดยปกติแล้ว การที่สุสานกระบี่เจี้ยนหลินส่งเสียงออกมาเช่นนี้เป็นเพราะการจัดวางค่ายกล มองดูแล้ว หากต้องการผ่านไปจากที่นี่ ต้องทำลายค่ายกลเสียก่อน
โชคดีที่ตงหลิงหวงได้อ่านวิธีการทำลายสุสานกระบี่เจี้ยนหลินจากจวนจิ่วหลงเทียนในแหวนเก้ามังกร จึงสามารถนำมาใช้งานในตอนนี้ได้พอดี
ทว่าก่อนหน้านี้ นางไม่คิดว่าจะได้ใช้งานรวดเร็วถึงเพียงนี้ อีกทั้งตงหลิงหวงเพิ่งสัมผัสกับสิ่งเหล่านั้นเป็นครั้งแรก จึงยังจำอันใดได้ไม่มากนัก เพียงดูผ่านตา ไม่ได้อ่านอย่างละเอียด ตอนนี้จำเป็นต้องเข้าไปศึกษาในจวนจิ่วหลงเทียนใหม่อีกครั้งอย่างละเอียด
“จวิ้นเอ๋อร์ เจ้าวางพระชายาลงก่อน พวกเราพักที่นี่สักครู่”
ตงหลิงจวิ้นไม่รู้ว่าตงหลิงหวงกำลังจะทำอันใด จึงทำตามที่นางพูดและวางพระชายาหลู่หยางอ๋องลงบนพื้น
“พี่หวง ต้องการให้จวิ้นเอ๋อร์ช่วยเหลือหรือไม่? ”
“ไม่ต้อง ข้าต้องการปรับพลังภายในสักครู่ เจ้าดูแลพระชายาและช่วยปกป้องข้าด้วย”
ตงหลิงหวงไม่ได้พูดอันใดมาก ตงหลิงจวิ้นทำได้เพียงตอบรับคำและเชื่อฟังโดยไม่ซักถามสิ่งใดอีก
ตงหลิงหวงนั่งสมาธิ นางประสานมือไว้ที่ตักและค่อยๆ หลับตาลง ส่งดวงจิตเข้าสู่แหวนเก้ามังกร
ครั้งสุดท้ายตอนเข้าสู่แหวนเก้ามังกรยังมีชั้นหมอกหนาทึบอยู่ข้างใน ภาพเบื้องหน้าเห็นได้ไม่เกินระยะห้าก้าวเท่านั้น
ทว่าคราวนี้ดูเหมือนหมอกจะบางลงมาก จนสามารถเห็นสิ่งต่างๆ ในระยะสิบก้าวได้อย่างชัดเจน
ทว่าสถานการณ์ภายนอกค่อนข้างคับขัน ตงหลิงหวงไม่มีเวลาสนใจสิ่งเหล่านี้ นางรีบเข้าไปในจวนจิ่วหลงเทียน และหาหนังสือเล่มก่อนหน้าที่บันทึกวิธีการทำลายค่ายกลสุสานกระบี่เจี้ยนหลิน จากนั้นจึงพลิกไปยังหน้าที่ต้องการอ่านและอ่านอย่างละเอียดอีกครั้ง
บันทึกด้านในส่วนใหญ่เกี่ยวกับของวิเศษและพลังวิเศษ
นอกจากอาณาจักรซิวเสวียนที่ใช้พลังวิญญาณบำเพ็ญเพียรของเจ้าของหล่อเลี้ยง หากอาณาจักรเทียนเหอต้องการสร้างค่ายกลสุสานกระบี่เจี้ยนหลิน ส่วนมากต้องอาศัยพลังวิญญาณกระบี่
บางอย่างเป็นพลังวิญญาณกระบี่เอง และบางอย่างเป็นพลังวิญญาณของเจ้าของกระบี่คนก่อนหน้านี้ทิ้งไว้
ไม่ว่าจะเป็นพลังวิญญาณกระบี่แบบใด เพียงแค่มีพลังบำเพ็ญเพียรเพียงพอก็สามารถใช้พวกมันสร้างค่ายกลวิญญาณกระบี่ได้
หากต้องการทำลายค่ายกลกระบี่ ต้องมีระดับการบำเพ็ญเพียรที่สูงกว่าผู้ที่วางค่ายกล มิฉะนั้นอาจได้รับบาดเจ็บจนเสียชีวิตได้ และจะได้รับบาดเจ็บจากพลังวิญญาณกระบี่ที่อยู่ในกระบี่แน่นอน
นอกจากนั้นยังมีบันทึกวิธีการทำลายค่ายกลกระบี่อีกหลากหลายวิธี ตงหลิงหวงจดจำไว้อย่างละเอียดแล้ว
หลังจากนั้น นางก็รีบออกมาจากแหวนเก้ามังกรอย่างรวดเร็ว
ข้างนอกไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ตงหลิงจวิ้นยังอยู่ข้างกายนาง หลู่หยางอ๋องกับพวกยังไล่ตามมาไม่ทัน
“พี่หวงเป็นอย่างไรบ้าง? ก่อนหน้านี้ท่านได้รับบาดเจ็บหรือ? ไม่เช่นนั้น เหตุใด จู่ๆ จึงต้องปรับพลังภายในด้วย? ”
“ไม่ได้บาดเจ็บ พี่แค่ปรับพลังภายในเพื่อรับมือค่ายกลกระบี่นี้” แม้นางจะไว้วางใจตงหลิงจวิ้น ทว่านางไม่อาจบอกเรื่องแหวนเก้ามังกรกับเขาได้
“อ๋อ เช่นนั้น ตอนนี้ท่านพี่เป็นอย่างไรบ้าง? ท่านมีวิธีรับมือกับค่ายกลกระบี่แล้วหรือ? ”
ตงหลิงหวงพยักหน้า “จวิ้นเอ๋อร์ พาพระชายาหลบไปให้ไกลอีกหน่อย หากข้าไม่พูดสิ่งใด อย่าเข้ามาใกล้”
“ตกลง! ”
ตงหลิงจวิ้นรีบพยุงพระชายาหลู่หยางอ๋องขึ้นมาอย่างรวดเร็วและเดินหลบไปไกลเล็กน้อย
เสียง ‘ชริ้ง’ ดังขึ้น ตงหลิงหวงสะบัดพัดเหล็ก แววตาปรากฏความเย็นชาอันรุนแรง นางค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้สุสานกระบี่เจี้ยนหลินทีละก้าว
เมื่อได้ยินเสียงวิญญาณกระบี่ราวกับกำลังร่ายพลังเวท หัวใจของตงหลิงจวิ้นแทบทะลักออกมาจากลำคอ เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ พยายามควบคุมความหวาดกลัวในใจของตนเอง ทว่าใบหน้าที่ซีดเผือดกลับทรยศต่อหัวใจของเขา
พระชายาหลู่หยางอ๋องเห็นถึงความผิดปกติของบุตรชาย นางจึงจับมือตงหลิงจวิ้นและเอ่ยปลอบใจว่า “อย่ากังวลไปเลยจวิ้นเอ๋อร์ พี่หวงมีดวงชะตาแข็งแกร่ง นางต้องไม่เป็นอันใดอย่างแน่นอน วางใจเถิด”
ตงหลิงจวิ้นราวกับได้รับกำลังใจอย่างมหาศาล เขาพยักหน้ากับพระชายาหลู่หยางอ๋อง
“อืม! พี่หวงต้องไม่เป็นอันใดแน่นอน”
เมื่อตงหลิงหวงกำลังจะเข้าใกล้สุสานค่ายกลกระบี่เจี้ยนหลิน วิญญาณกระบี่ที่หลับใหลพลันตื่นขึ้นมาและเริ่มส่งเสียงดังสับสน
ทว่าเสียงนั้นเป็นเหมือนเสียงปีศาจร้าย น้ำเสียงเย็นชาแปลกประหลาด
“ตื่นเร็ว ตื่นเร็ว ตื่นเร็ว มีคนกำลังใกล้เข้ามา”
“พวกที่อยากตาย”
“โอ้ เหมือนจะเป็นสตรี”
“ใบหน้าสง่างาม… งดงาม ว้าว หากข้าได้แทงร่างของนาง เลือดในร่างของนางคงน่าอร่อยกระมัง? ”
“ควรกัดกินกระดูกของนางก่อน สตรีที่แข็งแกร่งสง่างามเช่นนี้ กระดูกของนางคงหอมหวน กรุบกรอบ และอร่อยไม่น้อยทีเดียว”
“ไม่ ควรกินเนื้อของนางก่อน เนื้อของนางต้องสดอร่อย หากทิ้งไว้กินตอนสุดท้าย รสชาติอร่อยสดใหม่จะหายไปอย่างแน่นอน”
……
เสียงภูตผีร้ายแปลกประหลาด ฟังแล้วขนหัวลุก ทว่าตงหลิงหวงกลับไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย
ไม่ต้องกล่าวถึงความหวาดกลัว ไอสังหารบนร่างของนางยังน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเหล่าวิญญาณกระบี่เสียอีก
ทันใดนั้น เสียงผู้เฒ่าผู้หนึ่งก็พูดขึ้นว่า “สาวน้อย ดูเหมือนว่าเจ้าไม่ใช่คนในจวนหลู่หยางอ๋อง หากหลงทาง ข้าให้โอกาสเจ้ากลับไปยังเส้นทางเดิม แล้วพวกข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
ตงหลิงหวงมีแววตาเคร่งขรึมและน้ำเสียงเย็นชา “ข้าไม่ใช่คนในจวนหลู่หยางอ๋อง ทว่าข้ามีสายเลือดเดียวกับหลู่หยางอ๋อง ทุกท่านตายไปแล้ว หยุดพูดจาไร้สาระ หรือว่าคนเป็นๆ อย่างข้าต้องกลัวพวกที่ตายไปแล้ว? ”
เสียงหัวเราะและน้ำเสียงเย็นชาอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น “ฮ่า ฮ่า ฮ่า… เด็กน้อยยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ช่างกล้าพูดจาอวดดี! ”
ท่านผู้เฒ่าไม่พูดสิ่งใดอีก ทว่าพลังวิญญาณกระบี่จากกระบี่ยาวนั้นได้ขยายเสียงเพิ่มขึ้นหลายเท่า ราวกับกำลังตรวจสอบพลังภายในของตงหลิงหวงอย่างละเอียด
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ ทันใดนั้น ผู้เฒ่าก็ราวกับคิดอันใดขึ้นมาได้ จึงเปล่งเสียงด้วยความประหลาดใจ
“เจ้า… เจ้าเป็นเชื้อพระวงศ์ตงหลิงหรือ? ” ผู้เฒ่าพูดขึ้น จากนั้นเขาก็เหมือนจะคิดได้ว่ามีบางจุดไม่เหมาะสม “โอ้ ไม่ หลู่หยางอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์เช่นกัน หากพูดตามตรง เจ้าควรเป็นสายเลือดของฮ่องเต้ตงเฉิน
เจ้าคือผู้ใด… หรือว่า… เจ้าคือรัชทายาทตงหลิงหวง? ”
“ตงหลิงหวง??? ”
ทันทีที่สิ้นเสียงของผู้เฒ่าคนนั้น เสียงประหลาดใจก็ดังแทรกขึ้น เป็นความประหลาดใจที่ปะปนด้วยความหวาดกลัว
“ที่… ที่แท้ เจ้าคือตงหลิงหวง??? เจ้า… เจ้ามาที่นี่ต้องการสิ่งใด? ”
รัชทายาทตงหลิงหวง สตรีผู้นี้มีชื่อเสียงโหดเหี้ยม ไร้ความเมตตา จัดการเรื่องราวต่างๆ อย่างไร้ความปรานี ทุกคนต่างหวาดกลัวนาง โดยเฉพาะคนในแคว้นตงเฉิน
ทว่านางไม่คิดเลยว่า แม้แต่ผีก็ยังหวาดกลัวนาง
ตงหลิงหวงยกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา เผยให้เห็นถึงเจตนามีเลศนัย
นางค่อยๆ ยกพัดเหล็กในมือขึ้น แสงเย็นเฉียบจากใบมีดรูปเพชรบนสันพัดส่องประกายกระทบบนใบหน้าของนาง ขับให้ใบหน้าของนางยิ่งดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก
“วันนี้รัชทายาทอย่างข้าต้องการผ่านเส้นทางนี้ ผู้ที่เคยรู้จักกันโปรดหลีกทางให้ด้วย มิฉะนั้น ข้าจะทำให้ดวงวิญญาณของพวกเจ้าแตกสลาย”