“พวกเรา… พวกเราควรทำอย่างไร? ” เสียงสั่นเครือของสตรีนางหนึ่งถามขึ้น
“จะทำอย่างไรได้หรือ? คงต้องหลบ หลีกทางไปเถิด! ” เสียงบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น
“เช่นนั้น… เช่นนั้นพวกเราหลีกทางให้นางเถิด ยืนบื้อทำอันใดอยู่? ”
“ช้าก่อน! ทุกคนห้ามเคลื่อนไหว ข้าจะดูสิว่าผู้ใดกล้าปล่อยพวกเขาไป? ”
“ท่าน… ท่านผู้เฒ่า ท่านอยากตายหรือ! พวกเรายังต้องการอยู่รอด! ท่านคือวิญญาณกระบี่ ร่างท่านอยู่ในกระบี่ ท่านยังมีที่พำนัก แต่พวกเราสูญสิ้นเนื้อหนังไปแล้ว ต้องอยู่ในสุสานกระบี่โดยที่ไม่สามารถใช้พลังอันใดได้เลย ทว่านางคือรัชทายาทแห่งแคว้นตงเฉิน หรือว่าท่านไม่เห็นศาสตราเทพที่อยู่ในมือของนาง? อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ขอเพียงนางโบกพัดเหล็กนั่น วิญญาณของพวกเราก็จะสูญสลายทันที”
เสียงของสตรีพูดขึ้นอีกครั้ง “ยังมี ยังมี ท่านเห็นนิ้วมือขวาของนางหรือไม่? แหวนบนนิ้วนั่น เหมือนข้าเคยเห็นแหวนวงนั้นที่ใดสักแห่ง เหมือนว่า… มันจะเป็นอาวุธวิเศษ”
“เจ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็เหมือนจะนึกออก ข้าเคยเห็นแหวนวงนี้ ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก”
“โอ้… นั่นเป็นแหวนเก้ามังกรที่ผู้วิเศษจิ่วเทียนเคยใช้มาก่อนไม่ใช่หรือ? ผู้วิเศษจิ่วเทียนเป็นสุดยอดฝีมือในยุทธภพของอาณาจักรเทียนเหอ มีชื่อเสียงโด่งดัง และหานลู่ ผู้มีวรยุทธ์สูงสุดก็เสียชีวิตด้วยน้ำมือของผู้วิเศษจิ่วเทียน ทั้งร่างของเขายังไม่เหลือแม้แต่กระดูก”
“อ๋า… ”
เสียงถอนหายใจเย็นชาดังขึ้นมาหลายเสียง ส่งผลให้พลังวิญญาณในสุสานค่ายกลกระบี่เจี้ยนหลินลดลงอย่างมาก
ก่อนที่เสียงดุดันเต็มไปด้วยอำนาจจะดังขึ้นมาอีกครั้ง
“พวกสวะ พอถึงช่วงเวลาสำคัญก็กลายเป็นเศษสวะทั้งหมด หรือว่าพวกเจ้าลืมไปแล้วว่าพวกเราเป็นพลังวิญญาณกระบี่ในค่ายกลกระบี่ นางเป็นรัชทายาทแล้วอย่างไร? ต่อให้มีแหวนเก้ามังกรอาวุธวิเศษโบราณแล้วอย่างไร? พวกเราไม่ได้สู้กับนางเพียงลำพัง หรือว่าค่ายกลกระบี่จะสู้นางไม่ได้เชียวหรือ? ”
“ถูกต้อง! ท่านผู้เฒ่าพูดถูก แท้จริงแล้วพวกเราไม่จำเป็นต้องกลัวนางแม้แต่น้อย! พวกเราอยู่ในค่ายกลกระบี่ อีกทั้งค่ายกลกระบี่นี้ นักพรตแห่งโลกวิญญาณเป็นผู้สร้างขึ้นมา เจ้าก็รู้ดีว่านักพรตแห่งโลกวิญญาณคือผู้ใด? เขาคือผู้ฝึกตนขั้นสูงสุด แม้แต่อาณาจักรเทียนเหอยังไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานฝีมือเขาได้
แม้รัชทายาทตงเฉินจะมีอาวุธวิเศษโบราณและแหวนเก้ามังกรของผู้วิเศษจิ่วเทียน ทว่านางไม่ได้เป็นผู้ฝึกตนบำเพ็ญเพียร! หากปราศจากการฝึกตนบำเพ็ญเพียร ใช้เพียงพลังวรยุทธ์อย่างเดียว ไม่มีทางใช้พลังสูงสุดของอาวุธวิเศษนั้นได้!
พวกเราเพียงหวาดกลัวการข่มขู่ของนางเท่านั้น”
แท้จริงแล้ว ตงหลิงหวงรู้เรื่องเกี่ยวกับนักพรตแห่งโลกวิญญาณเช่นกัน
พูดไปแล้ว เขานับเป็นสมาชิกคนหนึ่งในสกุลตงหลิง
ทว่าในตอนนั้น ตงเฉินยังไม่ได้สถาปนาขึ้นเป็นแคว้น จักรวรรดิต้าฉินยังไม่ล่มสลาย และสกุลตงหลิงยังคงเป็นเจ้าเมืองตะวันออกของจักรวรรดิต้าฉิน
อาณาเขตจวนสกุลตงหลิงในตอนนั้นอยู่ภายในพระราชวังแคว้นตงเฉินในปัจจุบัน
ตามตำนานเล่าว่า นักพรตแห่งโลกวิญญาณเกิดในเชื้อสายสกุลตงหลิง มีสถานะต่ำต้อย โดยเฉพาะมารดาที่อยู่ในหอคณิกาชิงโหลวเกอ จึงถูกดูแคลนจากคนในตระกูลตั้งแต่เกิด
เพราะมารดามีฐานะต่ำต้อย ทำให้บิดาของเขาไม่ยินดีที่จะสอนวรยุทธ์ให้แก่เขา ดังนั้น เมื่อนักพรตแห่งโลกวิญญาณอายุได้แปดขวบ เขาจึงไม่ได้เรียนรู้วรยุทธ์ ทำให้ร่างกายอ่อนแอ เด็กข้างถนนที่อายุน้อยกว่าเขายังสามารถต่อยเขาให้ล้มลงได้ด้วยหมัดเดียว
ลองคิดดูว่า ในฐานะที่เป็นสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลนักรบ ทั้งยังเป็นคนในของจวนตงหลิง แต่กลับเป็นคนไร้ประโยชน์ที่ไร้วรยุทธ์ สถานการณ์ของเขาจะยากลำบากเพียงใด
ในตอนนั้น นักพรตแห่งโลกวิญญาณมีความคิดที่จะปลิดชีพตนเอง
ทว่าตอนที่นักพรตแห่งโลกวิญญาณอายุสิบขวบ เขาได้ช่วยเณรน้อยผู้หนึ่งซึ่งกำลังจะอดตายอยู่ที่ประตูเมือง ต่อมาจึงสนิทสนมและผูกพันกับเณรน้อยผู้นั้น
พระอาจารย์ของเณรน้อยเป็นพระภิกษุที่มีชื่อเสียงในอารามละแวกใกล้เคียง วันหนึ่ง พระอาจารย์ได้สนทนาธรรมกับนักบวชผู้บำเพ็ญเพียรแก่กล้าผู้หนึ่ง เณรน้อยจึงพานักพรตแห่งโลกวิญญาณไปด้วยกัน
นักบวชผู้บำเพ็ญเพียรแก่กล้าเห็นว่านักพรตแห่งโลกวิญญาณเฉลียวฉลาดมีไหวพริบ มีวาสนาต่อวิถีแห่งเต๋า จึงรับเขาเป็นศิษย์
ขณะที่รับเขาเป็นศิษย์ ตอนนั้นไม่ได้ระบุว่าต้องการสอนอันใดให้แก่นักพรตแห่งโลกวิญญาณ ทว่านักพรตแห่งโลกวิญญาณติดตามเขาเพื่อเรียนรู้วิถีแห่งเต๋า อีกอย่าง การออกกำลังกายทำงานทุกวัน ทำให้สองปีจากนั้น ร่างกายของเขามีพละกำลังมากขึ้น
จากนั้นนักบวชผู้บำเพ็ญเพียรแก่กล้าได้สอนวิชากระบี่ให้นักพรตแห่งโลกวิญญาณ
สิบปีต่อมา เมื่อนักพรตแห่งโลกวิญญาณหายตัวไปเป็นเวลารวมสิบสองปี เขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่จวนตงหลิง นึกไม่ถึงว่าวรยุทธ์ของเขาจะโดดเด่นสูงส่ง มีชื่อเสียงโด่งดัง และกลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของจวนตงหลิง
ทว่าไม่มีผู้ใดคาดคิด ผู้ที่ปกติไม่มีใครรู้จักและไร้ความสามารถ ทว่าเมื่อเขาแสดงความสามารถออกมาให้เป็นที่ประจักษ์แล้ว กลับสร้างความสำเร็จที่น่าอัศจรรย์ถึงเพียงนี้
อย่างไรก็ตาม การสร้างชื่อเสียงโด่งดังกลับกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่
เนื่องจากถูกทุกคนในจวนเย้ยหยันถากถางตั้งแต่วัยเด็ก รวมถึงอคติของบิดา และการดูถูกเหยียดหยามของคนในตระกูล จึงสร้างความขุ่นเคืองเป็นแผลบาดลึกซึ้งในใจของนักพรตแห่งโลกวิญญาณ
ดังนั้น หลังจากที่เขาสร้างชื่อเสียงโด่งดัง เขาได้สังหารคนในจวนตงหลิงไปกว่าครึ่ง
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ชื่อเสียงของนักพรตแห่งโลกวิญญาณก็โด่งดังอย่างมาก ไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกินเขา
ต่อมา เมื่อเขากลับไปที่อารามได้ไม่นาน นักบวชผู้บำเพ็ญเพียรแก่กล้า ผู้ที่สอนหลักธรรมและการฝึกตนบำเพ็ญเพียรให้เขาก็เสียชีวิต
สิบปีต่อจากนั้น นักพรตแห่งโลกวิญญาณจึงฝึกฝนตามวิธีการในตำราของนักบวชผู้บำเพ็ญเพียรที่ทิ้งไว้ให้เขา และก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเต๋าอย่างแท้จริง
เขาบำเพ็ญเพียรถึงระดับสูงสุดในอาณาจักรเทียนเหอ
หลังจากนั้น… นักพรตแห่งโลกวิญญาณก็ไม่ปรากฏตัวในอาณาจักรเทียนเหออีกเลย
หลายคนลือกันว่า เขาได้บรรลุสู่วิถีแห่งเซียน ไม่อาจอยู่ในอาณาจักรเทียนเหอได้อีกต่อไป จึงไปยังดวงดาวในจักรวาลและไปบำเพ็ญเพียรในโลกอื่น
ทว่าผู้ใดจะรู้?
เรื่องการบรรลุสู่วิถีแห่งเซียน ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนใช้เวลาฝึกตนบำเพ็ญเพียรไม่กี่ปีก็สามารถกระทำได้
นั่นเป็นเพียงเรื่องเล่าขาน มีผู้ใดเคยเห็นกับตาตนเองหรือ?
ทว่านักพรตแห่งโลกวิญญาณเป็นผู้ที่ร้ายกาจอย่างแท้จริง ค่ายกลกระบี่ที่เขาทิ้งไว้ย่อมร้ายกาจอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ตงหลิงหวงไม่คาดคิดว่า นักพรตแห่งโลกวิญญาณจะวางค่ายกลกระบี่ไว้ที่เส้นทางลับในจวนหลู่หยางอ๋อง ทั้งยังเป็นเส้นทางออกของทางลับที่ส่งต่อกันมาโดยตำแหน่งของพระชายาหลู่หยางอ๋องอย่างลับๆ
ทว่าเมื่อคิดดูก็ไม่น่าแปลกใจเท่าใด
ตอนที่ตงเฉินเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรต้าฉิน ซึ่งเดิมทีเป็นที่ตั้งของจวนตงหลิงและสกุลตงหลิง พวกเขาไม่เคยย้ายออกจากบริเวณนี้ นักพรตแห่งโลกวิญญาณก็เป็นคนของสกุลตงหลิงเช่นกัน แม้จะไม่ลงรอยกับบรรพบุรุษ ซึ่งคนปัจจุบันนั้นยากจะคาดเดาได้ ทว่านักพรตแห่งโลกวิญญาณมีวรยุทธ์ที่สูงส่งมาก ไม่แปลกอันใดที่เขาจะทิ้งค่ายกลกระบี่ไว้ที่ใดสักแห่ง
เพียงแต่ การจัดการกับค่ายกลกระบี่นี้ เกรงว่าจะยากและต้องใช้ความพยายามอย่างมาก
“เฮ้… ท่านผู้เฒ่า ท่านเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปของรัชทายาทตงเฉินหรือไม่ หรือว่านางจะเกิดความกลัวแล้ว? ”
“ใช่! นางไม่ดุดันเหมือนก่อนหน้านี้”
“คงจะกลัวจริงๆ อย่างไรเสีย ชื่อเสียงของนักพรตแห่งโลกวิญญาณก็ไร้เทียมทาน ไม่มีผู้ใดคาดเดาความร้ายกาจของเขาได้”
“หึ คิดจะต่อสู้กับนักพรตแห่งโลกวิญญาณ และคิดจะต่อสู้กับพวกเรา ไม่มีทาง”
“ใช่ พวกเราบุกเข้าไป ไม่ต้องกลัวนาง! ”
“ใช่แล้ว พวกเราร่วมมือกัน บุกเข้าไปพร้อมกัน! ”
ตงหลิงหวงไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย
นางเพียงหวนนึกถึงเรื่องใดบางอย่าง
เมื่อนางกลับมาได้สติ นางก็ได้ยินเสียงวิญญาณกระบี่พูดคุยกันไม่หยุด ดวงตาพลันทอประกายความเย็นชาอีกครั้ง และกำพัดเหล็กในมือแน่น
“มัวพูดพล่ามอันใดอยู่? มีความสามารถหรือไม่ แสดงออกมาให้เป็นที่ประจักษ์ก็พอไม่ใช่หรือ? ”
ตงหลิงหวงพูดพลางถือพัดเหล็กในมือ และเหวี่ยงพัดลอยขึ้นไปในอากาศ แสงเย็นยะเยือกของพัดเหล็กสาดส่องไปทางวิญญาณกระบี่ที่หยิ่งผยอง
ในเมื่อเป็นค่ายกลกระบี่ที่นักพรตแห่งโลกวิญญาณทิ้งไว้ ย่อมไม่ใช่สิ่งธรรมดา
วิญญาณกระบี่สีเทาเข้มตนหนึ่งหมุนตัวสองครั้ง เกิดเสียงคำรามของงูหลาม จากนั้นวิญญาณกระบี่สีอื่นๆ ก็ถูกบิดเป็น ‘เชือก’ เหมือนได้รับคำสั่ง และต้านทานแสงเย็นยะเยือกจากพัดเหล็กของตงหลิงหวง
จากนั้น พวกเขาก็เหาะขึ้นไปกลางอากาศอีกครั้งโดยไม่เหลือเวลาให้ตงหลิงหวงได้มองเหลียวหลัง และโจมตีมาทางตงหลิงหวงที่เพิ่งร่อนลงบนพื้นและยังยืนไม่มั่นคง