ตงหลิงหวงสกัดไว้ไม่ทัน จึงทำได้เพียงถอยหลังอย่างต่อเนื่อง
ทว่า ‘เชือกวิญญาณ’ เหล่านั้นไม่ได้ไล่ตามตงหลิงหวงไปไกลนัก ทันใดนั้น พวกเขาก็ดีดตัวกลับราวกับพบสิ่งกีดขวางบางอย่าง
ตงหลิงหวงเข้าใจอย่างรวดเร็วว่าเหล่าวิญญาณกระบี่ไม่สามารถออกมาจากห้องศิลาที่เป็นค่ายกลกระบี่ได้
ไม่ว่านางจะรับมือกับค่ายกลกระบี่ได้หรือไม่ เพียงนางถอยไปยังเส้นทางเดินก็จะปลอดภัย
เมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ตงหลิงหวงก็อดเหลือบมองตงหลิงจวิ้นและพระชายาหลู่หยางอ๋องที่อยู่ข้างหลังไม่ได้
มิน่าเล่า เมื่อครู่ตอนที่สนทนากับวิญญาณกระบี่ พวกเขาไม่ได้เอ่ยถึงตงหลิงจวิ้นและพระชายาหลู่หยางอ๋อง เป็นเพราะพวกเขาไม่รู้ว่ามีตงหลิงจวิ้นและพระชายาหลู่หยางอ๋องอยู่ด้วย
นางพยายามถอยห่างออกไปอีกนิด เป็นจริงดั่งคาด ความฮึกเหิมของวิญญาณกระบี่ลดลงอย่างมาก
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง…
จุดนี้เรียกได้ว่าเป็นจุดอ่อนของค่ายกลกระบี่
ในการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการควบคุมจุดอ่อนของอีกฝ่ายให้ได้
วิญญาณกระบี่สามารถสร้างพลังที่แข็งแกร่งภายในค่ายกลกระบี่ ทว่าไม่สามารถรักษาพลังภายนอกค่ายกลกระบี่ได้
ภายในค่ายกลกระบี่ พวกเขาสามารถผนึกพลังรวมกันเป็นเชือก ทว่าภายนอกค่ายกลกระบี่ พลังของพวกเขาจะกระจัดกระจายอย่างง่ายดาย
หลังจากกระจายออกจากกัน ค่อยทำลายพวกเขาทีละตน เป็นวิธีที่ดีในการจัดการกับวิญญาณกระบี่ทั้งหมด กอปรกับเคล็ดลับการจัดการวิญญาณกระบี่ที่บันทึกไว้ในจวนจิ่วหลงเทียน การต่อสู้ครั้งนี้คงชนะได้ไม่ยาก
เมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ตงหลิงหวงก็กำพัดเหล็กในมือแน่น
ท่ามกลางแววตาอันเยือกเย็น นางหมุนพัดเหล็กอีกครั้ง แสงไอเย็นทำให้ทั่วทางเดินเกิดเสียง ‘ฟู่ว’ ตงหลิงหวงกระโดดขึ้นไปและกำพัดด้วยมือทั้งสองข้าง ก่อนจะฟาดไปทางค่ายกลกระบี่อย่างดุดันและรุนแรง ขณะที่ร่อนลงสู่พื้น นางก็รีบก้าวไปยังทิศทางของค่ายกลกระบี่สองก้าว
วิญญาณกระบี่ภายในค่ายกลกระบี่สัมผัสได้ถึงลมหายใจของตงหลิงหวงและอันตรายที่กำลังเข้ามาใกล้ พวกเขาจึงบ้าคลั่งขึ้นอีกครั้ง
ทว่าคราวนี้ เหล่าวิญญาณกระบี่ไม่ได้ผสานกันเป็นเชือกเส้นเดียวเหมือนคราวก่อน แต่ได้กลายเป็นม่านพลัง
สภาพของม่านพลังเหมือนกับเส้นพลังที่สอดประสานกัน มองดูเหมือนมีรูปแบบ ทว่ามีความซับซ้อน และในขณะเดียวกัน ยังมีพลังที่แข็งแกร่งเปล่งแสงออกมา
ครั้งนี้ทำให้ตงหลิงหวงปวดตา
ตงหลิงหวงยกมือปกป้องดวงตาและถอยหลังสองก้าวอย่างต่อเนื่อง พระชายาหลู่หยางอ๋องและตงหลิงจวิ้นที่อยู่ข้างหลัง รับรู้ได้ถึงความผิดปกติของตงหลิงหวง ทุกคนต่างตกใจและรีบเข้าไปหาตงหลิงหวง
“รัชทายาท! ”
“พี่หวง เป็นอย่างไรบ้าง? ”
ตงหลิงหวงรีบขวางพวกเขา “อย่าเข้ามา! ข้า… ข้าไม่เป็นอันใด”
พระชายาหลู่หยางอ๋องและตงหลิงจวิ้นเกรงว่าหากเข้าไปใกล้อาจสร้างปัญหาที่ไม่จำเป็นแก่ตงหลิงหวง จึงรีบหยุดฝีเท้าและไม่ก้าวไปข้างหน้าอีก ทว่าพวกเขาเห็นแววตาของตงหลิงหวงทอประกายถึงความไม่วางใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
ตงหลิงหวงค่อยๆ ทรุดตัวนั่งลงบนพื้น ลำแสงหลากสีสันจากวิญญาณกระบี่วนเวียนอยู่รอบตัวของตงหลิงหวงอย่างรวดเร็ว ล้อมนางไว้ตรงกลาง
เดิมทีคิดว่าวิญญาณกระบี่สามารถใช้พลังได้เฉพาะในสุสานกระบี่เจี้ยนหลินเท่านั้น ทว่าไม่คาดคิดว่า เมื่อออกมาจากสุสานกระบี่เจี้ยนหลินแล้ว วิญญาณกระบี่ยังสามารถใช้พลังควบคุมทุกสิ่งรอบตัวได้อีกด้วย
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า รัชทายาทตงเฉิน เจ้ายอมแพ้แต่โดยดีเถิด! ”
“วางอาวุธวิเศษในมือของเจ้า มอบชีวิตของเจ้าให้พวกเรา สุสานกระบี่เจี้ยนหลินยอมรับเจ้า พวกเราจะปฏิบัติต่อเจ้าในฐานะแขกผู้มีเกียรติ”
“ไม่ ต่อไปเจ้าจะเป็นหัวหน้าของวิญญาณกระบี่ในสุสานกระบี่เจี้ยนหลินของพวกเรา พวกเราจะเคารพเจ้า”
“ตำแหน่งรัชทายาท เจ้าครองแคว้น มีอันใดดีหรือ? ”
“มนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่ง ร้อยปีผ่านไปก็กลายฝุ่นผงธุลีไม่ใช่หรือ? เข้าสู่สุสานกระบี่เจี้ยนหลินของพวกเราแล้ว อย่าว่าแต่อยู่ได้ถึงหนึ่งร้อยปีเลย พันปีก็ยังสามารถอยู่ได้ เป็นอย่างไร? รัชทายาทตงเฉินลองคิดดูเถิด! ”
ตงหลิงหวงนั่งลงบนพื้น พยายามปรับพลังลมปราณในร่างของนาง ทว่าเสียงรบกวนที่ดังโกลาหลอยู่รอบตัว ทำให้นางอารมณ์เสียอย่างมาก
ไม่นานนัก เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบก็ก่อตัวขึ้นบนหน้าผากของนาง
เหล่าวิญญาณกระบี่เห็นร่องรอยความสับสนภายในใจของตงหลิงหวง จึงยิ่งส่งเสียงยั่วยุอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง
ตงหลิงจวิ้นและพระชายาหลู่หยางอ๋องไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร ทว่าดูจากสภาพของตงหลิงหวง เหมือนสถานการณ์จะไม่ค่อยดีและยิ่งแย่ลงทุกที
อย่างไรก็ตาม แม้จะกังวลมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้ ทั้งสองคนไม่มีวรยุทธ์ป้องกันตัว ไม่สามารถช่วยอันใดตงหลิงหวงได้เลย
ตงหลิงหวงเกือบเข้าสู่จิตมารแล้ว
ทว่าสมาธิของนางยังมั่นคงอย่างยิ่ง
นางนั่งบนพื้นและทำสมาธิ รวบรวมพลังภายในเพื่อควบคุมจิตสำนึกของตนเองอย่างต่อเนื่อง นางยังใช้วิธีการบางอย่างที่เห็นในจวนจิ่วหลงเทียนเพื่อควบคุมพลังลมปราณภายในของตนเอง
หลังจากนั้น… นางไม่มีทางคาดคิดได้เลยว่าจะมีเหตุการณ์อัศจรรย์เกิดขึ้น
ทันใดนั้น ดวงจิตของนางก็ถูกดึงเข้าสู่แหวนเก้ามังกร นางเห็นตำราบนชั้นวางที่บันทึกเกี่ยวกับวิธีจัดการสุสานกระบี่เจี้ยนหลิน จึงเปิดอ่านไปที่หน้าการจัดการกับสุสานกระบี่เจี้ยนหลิน
หน้าตำราพลันเปล่งแสงประหลาดออกมา อักษรจำนวนมากลอยอยู่กลางอากาศท่ามกลางแสงนั้น และเข้าสู่จิตสำนึกของนางอย่างต่อเนื่อง
เมื่อแสงสว่างดับลง ตัวอักษรก็เข้าสู่จิตสำนึกของนางทั้งหมด ดูเหมือนพลังรอบตัวของนางจะแข็งแกร่งขึ้นมาก
ภายในร่างของนาง พลังนั้นยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง ราวกับมันกำลังทะลุผ่านร่างของนาง พลุ่งพล่านเพื่อหาทางออก
ทันใดนั้น พลังได้แปรเปลี่ยนเป็นแสงสว่างเจิดจ้าออกจากร่างของนาง และกำจัดแสงของวิญญาณกระบี่
พูดให้ชัดเจนก็คือ แสงวิญญาณกระบี่เหล่านั้นถูกทำลายให้สลายไป ม่านพลังที่แข็งแกร่งของพลังวิญญาณกระบี่จึงแตกสลายเช่นกัน
ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น
“เป็น… เป็นไปได้อย่างไร? ”
“เมื่อครู่ ดูเหมือนจะเป็นตัวอักษรของผู้วิเศษจิ่วเทียน รัชทายาทตงเฉินไม่ได้เป็นผู้บำเพ็ญเพียร นางควบคุมอักษรของผู้วิเศษจิ่วเทียนได้อย่างไร? ”
“น่าแปลกยิ่งนัก เป็นไปไม่ได้แน่นอน”
“หรือว่าจะพบผีเข้าแล้ว”
“พูดไร้สาระอันใด? พวกเราทุกคนล้วนเป็นวิญญาณอยู่แล้ว ยังจะกลัวผีอีกหรือ? ”
“ทว่า เรื่องประหลาดมหัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้ว รัชทายาทตงเฉินที่ไม่ได้ฝึกตนบำเพ็ญเพียร กลับสามารถควบคุมอักษรของผู้วิเศษจิ่วเทียนได้ ทั้งยังโจมตีค่ายกลสุสานกระบี่เจี้ยนหลิน นี่เป็นเรื่องจริง”
แม้เสียงนั้นจะฟังดูวุ่นวายสับสน ทว่าทุกคนกลับรู้สึกหวาดกลัวและตกตะลึง
ร่างของตงหลิงหวงหมุนวนกลางอากาศอย่างงดงาม จากนั้นก็เหาะลงมาบนพื้นอย่างมั่นคงด้วยสีหน้าเรียบเฉย พลางสะบัดพัดเหล็กในมืออย่างสง่างาม
“ให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้ง จะหลีกทางหรือไม่? ”
แม้น้ำเสียงของนางจะฟังดูผ่อนคลายและเรียบเฉย ทว่าวิญญาณกระบี่ทั้งหมดต่างรู้สึกหนาวสะท้าน
ทันใดนั้น เสียงสตรีผู้หนึ่งก็ดังขึ้น “หลีกทางแล้วอย่างไร? ไม่หลีกทางแล้วอย่างไร? ตอนนี้ไม่มีค่ายกลกระบี่แล้ว พวกเราไม่สามารถหลอมรวมเข้ากับกระบี่เดิมได้อีก ผลลัพธ์ที่ตามมาคือดวงวิญญาณของพวกเราต้องแตกสลาย หากยังต่อสู้กับรัชทายาทตงเฉินต่อไป ผลลัพธ์ก็คือดวงวิญญาณแตกสลายอยู่ดี?
เช่นนั้นจะแตกต่างกันอย่างไร? ”
ดวงตางดงามของตงหลิงหวงค่อยๆ ลืมขึ้น นางมองดูวิญญาณกระบี่ที่หยิ่งผยองบนอากาศ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตนเอง และกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “รู้อยู่แล้ว ยังพูดจาไร้สาระเพื่ออันใด! ”
ทว่าท่าทางของนางกลับไม่เรียบเฉยแม้แต่น้อย แทบจะทันทีที่นางพูดจบ นางก็โบกพัดเหล็กในมือ…
มือขวาถือพัดเหล็ก และบังเอิญเป็นมือที่มีแหวนเก้ามังกรสวมอยู่ด้วย ทันใดนั้น ลำแสงที่ทรงพลังพร้อมอักษรก็ลอยออกมาจากแหวนเก้ามังกร ไหลไปตามแกนพัดทั้งสองเส้น เป็นเหมือนเข็มเรืองแสง และยิงไปที่วิญญาณกระบี่ที่กระจัดกระจาย
ภายใต้ลำแสงนั้น ในชั่วพริบตา ท่ามกลางเสียงกรีดร้องอันน่าสะพรึงกลัว วิญญาณกระบี่ที่ก่อนหน้านี้ต่อสู้กับตงหลิงหวงด้วยท่าทางดุดัน พลันตกลงสู่พื้นดุจเม็ดทรายที่สลายตัวเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นก็ปรากฏเป็นควันสีเขียวลอยหายไปจากโลกใบนี้