ตอนที่ 2184 ความลับของสหายเก่า

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

อิ๋นเย่ว์เห็นหานลี่ก็พิจารณาขึ้นลงแล้วใบหน้าถึงได้เผยรอยยิ้มออกมา และเอ่ยแสดงความยินดี

“ยินดีกับพี่หานที่บรรลุระดับมหายานสำเร็จ ตั้งแต่นี้ไปก็กลายเป็นบรรพชนระดับมหายานคนที่สามของสองเผ่ามนุษย์และปีศาจแล้ว ดูแล้วจากนี้น้องหญิงคงต้องปฏิบัติกับท่านด้วยฐานะท่านอาวุโสแล้ว”

“อิ๋นเย่ว์ เจ้าล้อเลียนพี่งั้นหรือ จากความสัมพันธ์ของเจ้ากับข้า แม้ว่าผู้แซ่หานจะบรรลุระดับมหายานแล้ว แน่นอนว่าย่อมยังคงเป็นรุ่นเดียวกัน” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา ตอบกลับอย่างไม่ต้องขบคิด

อิ๋นเย่ว์ได้ยินคำนี้ ย่อมรู้สึกดีใจ

“ท่านอาวุโสหาน เป็นเจ้าสินะ! เจ้าบรรลุระดับมหายานแล้วจริงๆ หรือ?” สวี่เชียนอวี๋ที่ยืนอยู่ด้านหลังอิ๋นเย่ว์พิจารณาหานลี่อย่างระมัดระวังครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ

หานลี่ได้ยินพลันตกตะลึงแล้วถึงได้กวาดตาไปยังคนกลุ่มใหม่แวบหนึ่ง แล้วพบคนที่รู้จักทันที หลังจากที่มุมปากกระตุกเล็กน้อยก็เผยสีหน้าอมยิ้มออกมา

ส่วนฮูหยินกระโปรงดำและชายร่างใหญ่ไว้เคราก็ใช้สายตาลังเลมองมาทางผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานคนใหม่อย่างหานลี่ด้วยความตกตะลึงเช่นกัน

ทว่าเทียบกับราชาหนูสวรรค์แล้ว ราชาหงส์ดำที่กลายร่างเป็นฮูหยินตกตะลึงในใจยิ่งกว่าหลายเท่า

นางที่เคยพบกับหานลี่ในอดีต ย่อมมองปราดเดียวก็ดูออกว่าตอนนั้นหานลี่อยู่แค่ระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้น ในใจจะตกตะลึงแค่ไหนแค่คิดก็รู้แล้ว

“คิดไม่ถึงว่าวันที่ผู้แซ่หานบรรลุระดับมหายาน จะได้พบกับสหายเก่า ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง สหายสวี่ สวี่วิญญาณน้ำแข็งวิญญาณโลหิตสบายดีหรือ” ในที่สุดหานลี่ก็เอ่ยปากถามสวี่เชียนอวี๋ตรงๆ

“เป็นท่านอาวุโสหานจริงๆ! รายงานท่านอาวุโส บรรพชนวิญญาณโลหิตออกจากตระกูลสวี่ไปหลายปีก่อนแล้วหายตัวไป” สวี่เชียนอวี๋ได้ยินคำพูดของหานลี่ ก็ฝืนระงับความไม่อยากจะเชื่อเอาไว้ รีบร้อนก้มหน้าลงตอบกลับอย่างนอบน้อม

“หายตัวไปอีกแล้ว น่าแปลกใจนัก! ทว่าแม้นางจะเป็นแค่ร่างแยกวิญญาณโลหิต แต่จากประสบการณ์ของระดับผสานอินทรีย์ คิดดูแล้วคงไม่เป็นอันใด” หานลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ปากก็เอ่ยอย่างแช่มช้า

“ยืมคำพูดดีๆ ของท่านอาวุโส หวังว่าจะไม่เป็นอันใดจริงๆ บรรพชนวิญญาณโลหิตคือความหวังเดียวที่ตระกูลสวี่จะหาร่างเที่ยงแท้บรรพชนกลับมาได้ หากเป็นอันใดไปจริงๆ เกรงว่าบรรพชนวิญญาณน้ำแข็งคงไม่อาจกลับคืนสู่ตระกูลได้” สวี่เชียนอวี๋หัวเราะอย่างขมขื่นขณะตอบกลับ

หานลี่พยักหน้าไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา กลอกตาไปมา ชั่วขณะนั้นพลันตกอยู่ที่ร่างของฮูหยินสวมกระโปรงสีดำ และเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มจางๆ

“คิดไม่ถึงว่าสหายเสี่ยวจะมาปรากฏตัวที่นี่ ไม่ได้พบกันหลายปี เซียนยังคงงดงามดังเก่า ไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด”

“สหายหงส์ดำ เจ้ารู้จักท่านอาวุโสผู้นี้หรือ?” ชายร่างใหญ่ไว้เคราที่อยู่ด้านข้างได้ยินคำนี้ก็อดไม่ไหว แววตาเปล่งประกายประหลาดใจพลางมองไปทางฮูหยินกระโปรงดำแล้วเอ่ยถามอย่างแผ่วเบา

“สหายหาน…ไม่ ยามนี้น่าจะเรียกว่าท่านอาวุโสหานถึงจะถูก ข้าเองก็คิดไม่ถึงเลยว่า หลังจากจากลากันครั้งที่แล้ว ยามพบกันอีกจะกลายเป็นท่านอาวุโสระดับมหายานแล้ว ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีของสองเผ่าอย่างพวกเราจริงๆ! สหายสวรรค์ ความจริงแล้วเจ้าก็ได้ยินชื่อเสียงของท่านอาวุโสมาเนิ่นนานแล้ว ก็คือผู้บำเพ็ญเพียรที่บรรลุระดับขั้นได้ไวที่สุดในเผ่ามนุษย์” ฮูหยินสวมกระโปรงสีดำพ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วเข้ามาคารวะหานลี่ และเอ่ยกับชายร่างใหญ่ที่อยู่ด้านข้างอย่างมีเลศนัย

“อันใด เขาก็คือหานลี่ของเผ่ามนุษย์! ไม่…คือหาน…ท่านอาวุโสหานในตำนาน!” ชายร่างใหญ่ไว้เคราพลันหน้าถอดสี ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ แม้กระทั่งยังพูดติดอ่าง

“สวรรค์? หรือว่าเจ้าคือราชาหนูสวรรค์ผู้นั้น!”

หานลี่ใจเต้นกวาดตามองชายร่างใหญ่แวบหนึ่ง พบว่าพลังยุทธ์ของเขาแม้ว่าจะต่ำกว่าราชาหงส์สวรรค์ขั้นหนึ่ง แต่กลิ่นอายบนเรือนร่างกลับเข้มข้น เห็นได้ชัดว่าเคล็ดวิชาที่เขาฝึกฝนนั้นร้ายกาจมาก และไม่อาจดูแคลนได้ ดวงตาทั้งสองจึงอดที่จะหรี่ลงไม่ได้

“ท่านอาวุโสหานมีดวงตาเฉียบแหลมนัก ยามนี้ชนรุ่นหลังคือผู้ดูแลตระกูลหนูแล้ว วันนี้ได้เห็นท่านอาวุโสหานบรรลุระดับมหายานด้วยตาของตนเองช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีในชีวิตนัก” ราชาหนูสวรรค์เปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว หลังจากหน้าเปลี่ยนสีไปสองสามครา คาดไม่ถึงว่าจะเต็มไปด้วยรอยยิ้มทันที

หานลี่ได้ฟังคำพูดแสดงความยินดีของชายร่างใหญ่ไว้เครา พิจารณาราชาหนูผู้นี้อยู่นานอีกครั้ง ฉับพลันนั้นก็เอ่ยสิ่งที่ทำให้ชายร่างใหญ่ไว้เคราตกตะลึงเป็นอย่างยิ่งออกมา

“ข้าเคยพบสหายสวรรค์ที่ไหนสักแห่งก่อนหน้านี้หรือไม่? ข้าดูเหมือนจะเคยรู้จักสหาย กลิ่นอายเหมือนสหายเก่าของข้าในอดีต”

“ท่านอาวุโสหานล้อเล่นแล้ว ชนรุ่นหลังเพิ่งเคยพบท่านอาวุโสครั้งแรก อาจจะเป็นที่งานหมื่นสมบัติตอนนั้น ท่านอาวุโสเคยเจอร่างแยกของชนรุ่นหลังกระมัง ร่างแยกของชนรุ่นหลังเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาแปลงกาย อาจจะได้พบกับท่านอาวุโสโดยบังเอิญ แต่ท่านอาวุโสกลับจำไม่ค่อยได้นัก” ชายร่างใหญ่ไว้เคราหน้าซีดขาว แต่ปากก็รีบอธิบายทันที

“ก็อาจจะกระมัง ทว่าเจ้าสองคนคือราชาปีศาจ เหตุใดถึงมาปรากฏตัวที่นี่ตามลำพัง อย่าบอกนะว่าเจ้ารู้ว่าผู้แซ่หานจะทะลวงจุดคอขวดที่นี่ ดังนั้นจึงจงใจแลกเปลี่ยนประสบการณ์” หานลี่หัวเราะแผ่วเบา คาดไม่ถึงว่าจะไม่ได้ซักถามต่อ กลับหุบยิ้ม แล้วเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา

“ข้าและสหายสวรรค์มาที่นี่เพราะมีธุระเรื่องหนึ่ง ความจริงเป็นเช่นนี้…”

“ช่างเถิด ข้าไม่สนใจธุระของพวกเจ้า และไม่อยากรู้อันใด ทว่ายามนี้ข้าเพิ่งพัฒนาระดับมหายาน เพื่อความปลอดภัย ต้องพักอยู่ที่นี่ก่อน เพื่อให้ระดับมั่นคง ช่วงนี้ข้าไม่อยากให้ผู้ใดรู้ข่าวการบรรลุระดับขั้นของข้า พวกเจ้าเป็นแขกที่ถ้ำพำนักของข้าชั่วคราวสักระยะก็แล้วกัน พอถึงเวลาพวกเจ้าค่อยไป” หานลี่ไม่รอให้ฮูหยิน

กระโปรงสีดำเอ่ยให้มากความ ฉับพลันนั้นก็นึกอันใดได้ โบกมือตัดบท แล้วใช้น้ำเสียงที่ไม่อาจสงสัยได้เอ่ยขึ้น

“ในเมื่อท่านอาวุโสรับสั่งเช่นนี้ ข้าย่อมไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ” ราชาหงส์ดำร้องว่าแย่แล้วอยู่ในใจ แต่ใบหน้าไม่เผยอันใดออกมาเลยสักนิด กลับตอบรับทันที

ชายร่างใหญ่ไว้เครากลับเผยสีหน้าลังเลออกมา แต่ทันใดนั้นก็มีปฏิกิริยาตอบสนองพยักหน้ารับคำสั่งอย่างเป็นพัลวัน

ส่วนสวี่เชียนอวี๋ที่เป็นผู้นำของผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลสวี่ย่อมไม่กล้าคัดค้านเลยสักนิด

หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันพยักหน้า ฉับพลันนั้นก็เงยหน้าขึ้นกวักมือเรียกไปกลางอากาศ

ชั่วขณะนั้นเห็นเพียงเสียงแหวกอากาศดังขึ้น ล้อรถสามล้อสีทองร่อนลงมาจากท้องฟ้า และส่งเสียงหวีดร้องพลางม้วนวนอยู่เหนือหัวของหานลี่ไม่หยุด

ทุกคนพลันมองไปด้วยความตกตะลึง ถึงได้พบว่าเป็นแมลงเกราะสีทองขนาดยักษ์สามตัว ทุกตัวมีลวดลายสีม่วง ภายนอกดูโหดเหี้ยม กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากเรือนร่างน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง

หานลี่ไม่ได้ให้มองทุกคนมองนานนัก สะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นรัศมีลำแสงสีเขียวพลันม้วนวนไป แมลงเกราะสีทองยักษ์สามตัวเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป

จากนั้นภายใต้การนำของหานลี่ คนกลุ่มนั้นจึงกลายเป็นลำแสงหลักหนี บินไปทางถ้ำพำนักชั่วคราวของหานลี่

หลังจากผ่านไปสองชั่วยาม ภายในห้องโถงในถ้ำพำนัก สวี่เชียนอวี๋นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้อย่างไม่สบายใจ และอธิบายอันใดอยู่อย่างระมัดระวัง

และบนที่นั่งหลักของห้องโถง หานลี่นั่งสบายใจอยู่ตรงนั้น บนเก้าอี้อีกตัวหนึ่งที่อยู่ด้านข้างกลับมี

อิ๋นเย่ว์นั่งอยู่

ทั้งสองฟังเนื้อหาที่สวี่เชียนอวี๋พูด สีหน้าค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้น

ส่วนศิษย์ตระกูลสวี่คนอื่นๆ ราชาหงส์ดำและคนอื่นๆ กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ดูเหมือนจะถูกจัดให้พักอยู่อีกที่

หลังจากนั้นไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ สวี่เชียนอวี๋ก็หยุดพูด

หานลี่และอิ๋นเย่ว์กลับอดที่จะมองสบตากันแวบหนึ่งไม่ได้

หลังจากผ่านไปชั่วครู่อิ๋นเย่ว์ถึงได้ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามสวี่เชียนอวี๋อย่างละเอียด

“ตามที่สหายสวี่กล่าว แดนมารไปจากแดนวิญญาณของพวกเราเมื่อสามสิบปีก่อน และยิ่งไปกว่านั้นกองทัพเผ่ามารก็ถอนทัพออกจากแดนวิญญาณเช่นกัน แต่เผ่ามารที่ข้าพบเมื่อครู่หนึ่งในนั้นมีแม้กระทั่งมารโบราณระดับผสานอินทรีย์ นี่มันเรื่องอันใดกัน”

“ท่านอาวุโสไม่รู้อันใด แม้ว่ากำลังหลักของเผ่ามารจะถอนตัวออกจากแดนวิญญาณ แต่ยังมีเผ่ามารส่วนหนึ่งที่ไม่ยอมถอนตัวออกไปง่ายๆ และอยู่ที่แดนวิญญาณไม่ถอนทัพออกไปเสียเลย แม้ว่าเผ่าต่างๆ ของพวกเราจะร่วมมือกัน โจมตีเผ่ามารที่หลงเหลืออยู่อย่างรวดเร็ว แต่เผ่ามารที่หลบซ่อนตัวอยู่ตามที่ต่างๆ ก็ยังคงมีจำนวนที่น่าตกตะลึง หนึ่งในนั้นยังมีเผ่ามารระดับสูงอย่างระดับจอมมารอยู่ด้วย ดังนั้นหากอยากกำจัดเผ่ามารทั้งหมดย่อมทำไม่ได้ในระยะเวลาอันสั้น สาเหตุที่ชนรุ่นหลังพาศิษย์ของตระกูลสวี่มาในครั้งนี้ ความจริงแล้วก็ได้รับคำสั่งมา เดิมเตรียมจะสังหารเผ่ามารระดับต่ำที่แอบอยู่ละแวกนี้ให้หมด แต่คิดไม่ถึงว่าจะติดกับของเผ่ามาร หากไม่ใช่เพราะท่านอาวุโสหลิงหลงลงมือช่วยเหลือ ชนรุ่นหลังและพวกก็คงไม่เหลือรอดชีวิต”

สวี่เชียนอวี๋ รีบอธิบาย ใบหน้าเผยสีหน้าซาบซึ้งใจออกมาเช่นกัน

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง แต่ยามที่ข้ากักตัว ทั้งๆ ที่เผ่ามารรู้ว่าที่ๆ ยึดครองคือดินแดนของเผ่าพฤกษา คาดไม่ถึงว่าจะละทิ้งไปเสียเช่นนั้น นี่ไม่เหมือนกับนิสัยของเผ่ามาร เผ่าต่างๆ ทำสนธิสัญญาอันใดกับเผ่ามารกันแน่ ถึงได้ทำให้เผ่ามารยอมถอยให้” หลังจากที่อิ๋นเย่ว์พยักหน้า ก็ยังคงมีท่าทีฉงน

“จุดนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงเล็กๆ อย่างชนรุ่นหลังจะเข้าใจได้ ทว่าชนรุ่นหลังเคยได้ยินท่านผู้นำตระกูลกล่าวว่าสิ่งมีชีวิตระดับมหายานเป็นตัวแทนของเผ่าต่างๆ ไปทำสนธิสัญญาลับกับบรรพชนแรกเริ่มทั้งสามของเผ่ามาร เผ่ามารถึงได้วางใจยอมถอนทัพออกมาจากแดนวิญญาณของพวกเรา” สวี่เชียนอวี๋ครุ่นคิดแล้วตอบกลับ

“สนธิสัญญาอันใด ที่ทำให้สามบรรพชนแรกเริ่มยอมละทิ้งความพยายามทุกอย่างในแดนวิญญาณ?” หานลี่แววตาเปล่งประกาย แล้วเอ่ยพึมพำด้วยสีหน้าครุ่นคิด

“พี่หานไม่ต้องกังวล! จากพลังยุทธ์ของท่านในยามนี้ คิดดูแล้วหากไปหาบรรพชนประจำตระกูลหรือท่านอาวุโสม่อก็คงรู้เรื่องนี้อย่างละเอียดแล้ว ไม่ว่าอย่างไรคาดไม่ถึงว่าเผ่ามารจะล้มเลิกการรุกรานเผ่าวิญญาณของพวกเรา นี่เป็นเรื่องที่ดีมาก” อิ๋นเย่ว์กลับหัวเราะร่าขณะเอ่ย

“นั่นมันก็ใช่! อิ๋นเย่ว์ เจ้าไปจัดการที่พักให้เซียนสวี่เถิด ข้าจะไปคุยกับสหายเก่าอีกคนสักหน่อย” หานลี่พยักหน้าแล้วยืนขึ้นพร้อมกับฉีกยิ้ม

“สหายเก่าอีกคน! พี่หานจะไปหาสหายเสี่ยวหรือ?” อิ๋นเย่ว์พลันตกตะลึง แล้วเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

“ไม่ใช่ เป็นราชาหนูสวรรค์ผู้นั้น”

หานลี่แค่สาวเท้าออกไป คาดไม่ถึงว่าลำแสงสีทองจะเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายวับไปจากตรงหน้า ในห้องโถงจึงเหลือเพียงเสียงสะท้อนไปมา

“ราชาหนูสวรรค์! เขากลายเป็นสหายเก่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่ใช่เพิ่งพบกันครั้งแรกหรือ?”

อิ๋นเย่ว์ประหลาดใจเล็กน้อย

ในเวลาเดียวกันภายในห้องลับที่เงียบสงัด ราชาหนูสวรรค์กำลังนั่งสมาธิอยู่บนฟูกด้วยสีหน้าร้อนใจ

ฉับพลันนั้นเบื้องหน้าพลันมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น หานลี่ปรากฏขึ้นท่ามกลางลำแสงสีทอง

“เจ้ามาหาข้าด้วยตนเองดังคาด” ราชาหนูสวรรค์เห็นสถานการณ์นี้ ใบหน้าที่ไม่สบายใจกลับหายไปกว่าครึ่ง และเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมาขณะเอ่ย

“ดูแล้วเจ้าคงรอผู้แซ่หานนานแล้วสินะ! เจ้ารู้จักวางตัวดีมาก รู้ว่าคำพูดก่อนหน้าไม่มีทางปิดบังได้” หานลี่หัวเราะคาดไม่ถึงว่าจะนั่งสมาธิตรงข้ามชายร่างใหญ่ไว้เคราเสียเลย