ตงหลิงจวิ้นรีบเดินให้เร็วที่สุด
ไม่นานนัก ทั้งสามคนก็เหงื่อเปียกโชก
ตงหลิงหวงเดินนำอยู่ด้านหน้า ตงหลิงจวิ้นแบกพระชายาหลู่หยางอ๋องเดินตามอยู่ด้านหลัง
จู่ๆ ไม่รู้ว่าตงหลิงจวิ้นเหยียบโดนสิ่งใด เขาหยุดชะงัก และมองไปที่ตงหลิงหวงซึ่งอยู่ด้านหน้าด้วยแววตาแปลกประหลาด
“พี่หวง! ”
ตงหลิงหวงได้ยินเสียงเรียกของตงหลิงจวิ้นก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี นางชะงักฝีเท้าและหันหลังกลับมามอง จากนั้นจึงมองไล่ต่ำลงไปที่เท้าของตงหลิงจวิ้น
เพราะความหวาดกลัว ขาทั้งสองข้างของตงหลิงจวิ้นจึงสั่นเทาเล็กน้อย ตงหลิงหวงรีบตะโกนว่า “อย่าขยับ! ”
ร่างกายตงหลิงจวิ้นแข็งทื่อราวกับท่อนไม้ เขาไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย
ตงหลิงหวงเดินเข้าไปหาอย่างระมัดระวัง และตรวจดูที่เท้าของตงหลิงจวิ้น
เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ท่าทางของนางดูจริงจังขึ้นเล็กน้อย “คงเป็นกลไกอย่างหนึ่ง”
เม็ดเหงื่อบนใบหน้าของตงหลิงจวิ้นไหลลงมา เขาทั้งหวาดกลัวทั้งกังวล
“อ๋า? พะ… พี่หวง เหตุใดข้าถึงได้เหยียบกลไกนี้เล่า? เห็นได้ชัดว่าท่านเดินอยู่ข้างหน้า! ”
ตงหลิงหวงพูดได้ไม่เต็มปาก ทว่านางเพิ่งเดินผ่านตรงนั้น ขณะที่เดินก็ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ
“แย่จริงๆ แย่แล้ว พี่หวงรีบคิดหาวิธีเถิด เสด็จพ่อตามมาอยู่ด้านหลังแล้ว หากช้าไปกว่านี้ พวกเขาตามมาทันแน่”
หน้าผากของตงหลิงหวงเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
นางเหมือนกับซูจิ่นซีที่ไม่รู้เรื่องกลไกมากนัก
ทว่าซูจิ่นซีมีอาคมกำไลปี่อั้นที่สามารถแยกแยะตำแหน่งและโครงสร้างของกลไกตามเสียงการเคลื่อนที่ ทว่านางไม่มี
เรื่องนี้มันช่าง… ยากเสียจริง
เมื่อเห็นตงหลิงหวงเงียบไปครู่ใหญ่ ตงหลิงจวิ้นก็ร้อนใจจนแทบบ้า
“พี่หวง ทำอย่างไรดี? ทำอย่างไรกันดี? ”
ตงหลิงหวงมองไปรอบๆ เส้นทางอยู่ครู่ใหญ่ สายตาของนางไปหยุดอยู่ที่หินก้อนใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ประมาณด้วยสายตา น้ำหนักของหินคงใกล้เคียงกับน้ำหนักของตงหลิงจวิ้นและพระชายารวมกัน นางจึงรีบไปย้ายหินใหญ่ก้อนนั้นมา
“จวิ้นเอ๋อร์ ฟังพี่ เจ้าค่อยๆ ขยับร่างกาย จากนั้นขยับออกไปเบาๆ พี่จะใช้หินก้อนนี้วางแทนที่พวกเจ้า”
แม้หินจะหนักมาก ทว่าโชคดีที่ตงหลิงหวงมีวรยุทธ์และมีกำลังภายในที่แข็งแกร่ง หินยักษ์ก้อนนั้นก้อนเดียวไม่เป็นปัญหาอยู่แล้ว
“ตกลง! เสด็จแม่ค้ำกำแพงไว้ ระวังหกล้ม”
พระชายาหลู่หยางอ๋องร้อนใจจนไม่รู้จะเปิดปากพูดอย่างไร นางทำได้เพียงตอบรับ
สุดท้ายแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้แน่ชัดว่าการซุ่มโจมตีใต้กลไกนี้เป็นอย่างไร หากเป็นหน้าไม้หรือสิ่งอื่นใด ทำให้กลไกทำงานโดยไม่ระวัง พวกเขาทั้งสามอยู่ในเส้นทางแคบยาว ไม่มีทางหลบหนีได้ คงต้องถูกเสียบจนร่างพรุนแน่
ท้ายที่สุด ตงหลิงหวงก็ใช้หินยักษ์แทนที่กลไกและช่วยพระชายาหลู่หยางอ๋องและตงหลิงจวิ้นออกมาได้สำเร็จ
ตงหลิงจวิ้นค่อยๆ วางพระชายาหลู่หยางอ๋องลงบนพื้น ขาทั้งสองข้างทรุดลงกองกับพื้นทันที ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะยืนขึ้น
หินยักษ์ก้อนนั้นสูงพอๆ กับตงหลิงหวง จึงปิดทางสนิท
แววตาของตงหลิงหวงหยุดอยู่บนร่างของตงหลิงจวิ้น นางโน้มตัวลงมาตบหัวไหล่ของตงหลิงจวิ้นเบาๆ
“จวิ้นเอ๋อร์ หินยักษ์ก้อนนี้เป็นสิ่งกีดขวางพอดี ทั้งยังมีกลไกอยู่ใต้หินยักษ์ ต่อให้หลู่หยางอ๋องและคนอื่นๆ ตามมาทัน มันก็ขัดขวางแทนพวกเราได้ชั่วคราวเท่านั้น คงไม่นานนัก พวกเรายังไม่ปลอดภัย อดทนอีกหน่อย ในไม่ช้าพวกเราจะออกไปได้แล้ว”
ตงหลิงจวิ้นกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอแล้วพยักหน้า
“พี่หวงวางใจ จวิ้นเอ๋อร์ทำได้”
“ดีมาก น้องชาย! ”
ดังนั้น ตงหลิงหวงจึงช่วยตงหลิงจวิ้นแบกพระชายาหลู่หยางอ๋องขึ้นหลังอีกครั้ง และมุ่งหน้าเดินต่อไป
ตงหลิงหวงและตงหลิงจวิ้นควบคุมการเคลื่อนไหวของพระชายาหลู่หยางอ๋องได้ ทว่าไม่มีวิธีควบคุมอารมณ์ของนาง
เมื่อครู่ ตอนที่ตงหลิงจวิ้นเหยียบกลไก อารมณ์ของพระชายาหลู่หยางอ๋องถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้ง สติของนางไม่ค่อยชัดเจนและพร่ามัวจนใกล้หมดสติ
ตงหลิงจวิ้นเดินแบกพระชายา เขาและตงหลิงหวงเอ่ยเรียกพระชายาเพื่อไม่ให้นางหลับ
“เสด็จแม่ ตื่นไว้! เสด็จแม่ได้ยินเสียงจวิ้นเอ๋อร์หรือไม่? หากได้ยินตอบลูกด้วย! ”
“พระชายา? อย่าหลับ พวกเราใกล้จะได้ออกไปแล้ว ท่านฟัง จวิ้นเอ๋อร์เรียกท่านอยู่! พระชายา ท่านห้ามหลับเด็ดขาด”
ความสนใจทั้งหมดของตงหลิงจวิ้นพุ่งไปที่ร่างของพระชายาหลู่หยางอ๋องโดยไม่สนใจสิ่งอื่น
แม้ตงหลิงหวงจะระมัดระวังอย่างมาก นอกจากนี้ยังคอยระวังเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดเมื่อใดก็ได้อย่างเช่นเมื่อครู่ ทว่าพิสูจน์แล้วว่า เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นจริงๆ กำลังของนางเพียงผู้เดียวไม่มีทางหยุดมันได้
ตงหลิงหวงเดินค่อนข้างเร็ว นอกจากนั้น แสงของอัญมณีก็อ่อนกำลังลง นางเดินจนเกือบจะชนเข้ากับกำแพงด้านหน้า
ตงหลิงจวิ้นจับตงหลิงหวงเอาไว้
เมื่อตงหลิงจวิ้นเห็นกำแพงที่ขวางอยู่ตรงหน้า ความคิดทั้งหมดพลันดับสลาย
“พี่หวง ทำอย่างไรดี? พวกเราไม่มีทางไปต่อแล้ว”
ไม่มีทางไปต่อแล้วจริงๆ
เดินมาตั้งนาน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นทางตัน ปลายทางไม่มีทางออก และถูกปิดกั้นสนิท
แสงอัญมณีอ่อนลงเรื่อยๆ ภายในหูได้ยินเสียงหัวใจและเสียงลมหายใจของตนเองตลอดเวลา
ไม่มีหนทางอื่นแล้วจริงๆ
ข้างหน้าเป็นทางตัน คนด้านหลังไล่ตามมา และกำลังใกล้เข้ามาทุกที
ตงหลิงจวิ้นรู้สึกว่าพระชายาหลู่หยางอ๋องที่อยู่บนหลังยิ่งอ่อนแรงลงเรื่อยๆ ตงหลิงจวิ้นรีบวางพระชายาหลู่หยางอ๋องและเขย่านางไม่หยุด พยายามปลุกให้นางตื่น
“เสด็จแม่ ตื่นเถิด! ท่านได้ยินเสียงจวิ้นเอ๋อร์หรือไม่ เสด็จแม่ ตื่น! ”
“…”
ดวงตาของพระชายาหลู่หยางอ๋องหรี่ลงจนใกล้จะปิด ไม่รู้ว่านางเห็นท่าทีเป็นกังวลของตงหลิงจวิ้นหรือไม่ นางจึงไม่ได้พูดอันใดออกมาสักประโยค
ตงหลิงจวิ้นกลัวเหลือเกิน น้ำตาของเขาไหลพราก เขาโอบกอดพระชายาหลู่หยางอ๋องไว้ในอ้อมแขนและคร่ำครวญเสียงเบา
“ลูกไม่ดีเอง เป็นความผิดของจวิ้นเอ๋อร์ จวิ้นเอ๋อร์ควรอยู่ข้างกายเสด็จแม่ในตอนนั้น ควรอยู่กับเสด็จแม่ เสด็จแม่… เสด็จแม่… ”
เม็ดเหงื่อหยดลงบนขนตาของตงหลิงหวงและไหลเข้าไปในดวงตาจนรู้สึกแสบเล็กน้อย ทว่าตงหลิงหวงไม่ได้เช็ดมันออก
นางใช้มือข้างหนึ่งค้ำกำแพง อีกข้างเท้าสะเอวพลางสูดหายใจเข้าลึกๆ และพยายามคิดหาวิธี
นางตรวจดูรอบด้านแล้วครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าไม่มีทางออกเลย และไม่มีกลไกเหมือนตอนที่เข้ามา
บางทีที่นี่อาจเป็นเพียงทางที่ยังสร้างไม่เสร็จก็เป็นได้ จึงไม่มีทางออกใด เป็นพวกเขาที่คิดผิดตั้งแต่แรก
พระชายาหลู่หยางอ๋องอยู่ในสภาพไม่ได้สติ
หลู่หยางอ๋องพาคนไล่ตามใกล้เข้ามาทุกที
“ท่านอ๋อง ตรงนี้มีหินยักษ์ก้อนหนึ่งขวางทางอยู่”
“ดูรอบๆ ว่ายังมีทางออกอื่นอีกหรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ! ”
ไม่นานนัก เสียงองครักษ์ก็ดังขึ้น “ท่านอ๋อง รอบด้านไม่มีทางออกอื่น มีทางนี้เพียงทางเดียวพ่ะย่ะค่ะ”
ตงหลิงหวงและตงหลิงจวิ้นอยู่ไม่ไกลจากตำแหน่งของหลู่หยางอ๋องและคนอื่นๆ มากนัก นอกจากนั้น ทางเดินแคบยาวเช่นนี้ เสียงจึงสะท้อนได้ดีมาก
คราวนี้ตงหลิงจวิ้นได้ยินเสียงของหลู่หยางอ๋องอย่างชัดเจน
เขาเงยหน้าทั้งน้ำตา ทันใดนั้นก็หันไปมองยังทิศทางของเสียง แสงในดวงตาของเขาเป็นความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน