ตงหลิงจวิ้นกอดพระชายาหลู่หยางอ๋องด้วยร่างกายสั่นเทา ตงหลิงหวงกุมมือตงหลิงจวิ้นไว้
“จวิ้นเอ๋อร์! ”
ใบหน้าของตงหลิงจวิ้นยังเปื้อนคราบน้ำตา “พี่หวง เสด็จพ่อตามมาทันแล้ว พวกเราหนีไม่รอดแล้ว”
“วางใจ ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็จะปกป้องเจ้าและเสด็จแม่ของเจ้า”
“พี่หวง ต้องการ… ต้องการให้ข้าไปขอร้องเสด็จพ่อหรือไม่! เสด็จแม่เป็นพระชายาของเขา ข้าเป็นบุตรของนาง ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นสายเลือดที่เชื่อมถึงกัน ตอนนี้เสด็จแม่กลายเป็นเช่นนี้ เขาไม่มีวันเห็นความตายแล้วไม่ช่วย”
สิ่งที่ตงหลิงจวิ้นพูดนั้นไม่ผิด ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็เป็นครอบครัวเดียวกัน หลู่หยางอ๋องไม่มีวันเห็นคนตายแล้วไม่ช่วยแน่
ทว่านางเล่า?
นางเป็นถึงรัชทายาทของราชวงศ์ปัจจุบัน เบื้องหลังนาง มีผู้ใดบ้างที่คอยสนับสนุน? มีผู้ใดบ้างที่คอยการปรากฏตัวของนาง?
การมีอยู่ของตงหลิงหวงถือเป็นภัยคุกคามอันยิ่งใหญ่สำหรับหลู่หยางอ๋อง เขาจะปล่อยนางไปได้อย่างไร?
ไม่มีทางอย่างแน่นอน!
ตงหลิงหวงไม่ได้เอ่ยอันใด
“เอาหินออกไป! ”
เสียงของหลู่หยางอ๋องดังมาจากฝั่งตรงข้าม ถึงแม้ระยะทางจะไกลไปบ้าง ทว่าเสียงนั้นกลับดังชัดเจนอย่างมาก
ความหวาดกลัวในดวงตาของตงหลิงจวิ้นค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวังและความสุข
ทว่าสีหน้าตงหลิงหวงกลับถมึงทึงมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่านางหยิบพัดเหล็กออกมาตั้งแต่เมื่อใด นางถือพัดในมือแน่น
‘ครืน ครืน! ’
เสียงเคลื่อนย้ายหินก้อนใหญ่ดังขึ้น
ตามมาด้วยเสียงฝีเท้า ความมืดที่อยู่ตรงหน้ากลายเป็นแสงสว่าง หลู่หยางอ๋องพาองครักษ์สิบกว่าคนปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าทุกคน และปรากฏตัวท่ามกลางแสงจ้าของคบเพลิง
สีหน้าของตงหลิงหวงเย็นชาจนน่าหวาดกลัว นางลุกขึ้นยืนและมองไปที่หลู่หยางอ๋อง
แววตาของหลู่หยางอ๋องเย็นชาสุดขั้ว ขณะที่เขามองตงหลิงหวงนั้น ยากที่จะซ่อนไอสังหารในสายตาได้
“พวกกบฏ ไม่คิดว่าจะแอบเข้าไปในจวนของข้าราวกับเป็นสถานที่ไร้ซึ่งผู้ใด เจ้าเห็นข้าเป็นอันใดหรือ? ”
ตงหลิงหวงยกยิ้มมุมปากเยาะเย้ย “หลู่หยางอ๋อง เจ้าก่อกบฏ นึกไม่ถึงว่าพระชายาและบุตรของตนเองก็ไม่เว้น แท้จริงแล้วผู้ใดเป็นกบฏ ผู้ใดทรยศกันแน่? ”
การก่อกบฏเป็นเรื่องที่ค้างคาใจของหลู่หยางอ๋อง
เขาหลบซ่อนมานานหลายปี คิดอยากจะเป็นฮ่องเต้จนแทบบ้า ตอนนี้โอกาสอยู่แค่เอื้อม กลับถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏ จะไม่ให้เขาเจ็บใจได้อย่างไร?
ทันทีที่สิ้นเสียงของตงหลิงหวง กล้ามเนื้อบนใบหน้าของหลู่หยางอ๋องก็กระตุกอย่างแรง
เขาออกคำสั่งเสียงเย็นชา “องครักษ์ คุมตัวทุกคนเดี๋ยวนี้! ”
องครักษ์กำลังจะเข้าไปจับตัวตงหลิงหวง ทว่าตงหลิงจวิ้นกลับร้องห้าม “เสด็จพ่อ ไม่ต้องสู้แล้ว! หยุด พวกท่านหยุดต่อสู้ได้แล้ว! ”
อย่างไรเสีย ตงหลิงจวิ้นก็เป็นบุตรชายของหลู่หยางอ๋อง ทั้งยังเป็นบุตรผู้สืบทอดของพวกเขา พวกองครักษ์ยังหวั่นเกรงอยู่สามส่วน ทุกคนหยุดการกระทำและหันไปมองหลู่หยางอ๋องที่อยู่ด้านหลัง
ไม่รอให้หลู่หยางอ๋องพูดอันใด ตงหลิงจวิ้นก็พูดขึ้นทั้งที่กำลังร้องไห้ “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ได้รับพิษแล้ว เสด็จแม่จะไม่ไหวแล้ว พวกท่านหยุดได้แล้ว รีบช่วยเสด็จแม่ก่อนเถิด! ช่วยเสด็จแม่ด้วยเถิด! ”
ในแววตาของหลู่หยางอ๋องปรากฏความเจ็บปวดลึกซึ้งและความเป็นกังวล เขามองพระชายาหลู่หยางอ๋องที่อยู่ในอ้อมแขนตงหลิงจวิ้นผ่านทางแสงของคบเพลิง
เพียงมอง ใบหน้ายิ่งเป็นกังวล ทว่าครู่เดียว ใบหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาและไร้ความรู้สึก
“ตงหลิงหวงจับพระชายาและซื่อจื่อเป็นตัวประกัน โอ้ ไม่ใช่! เป็นฮองเฮากับรัชทายาท อภัยให้ไม่ได้ ช่วยฮองเฮาและรัชทายาทออกมา ส่วนตงหลิงหวงไม่ต้องไว้ชีวิต ประหารได้ทันที! ”
ตงหลิงจวิ้นไม่คิดเลยว่าบิดาของตนจะออกคำสั่งเช่นนี้ สายตาที่มองตงหลิงหวงเต็มไปด้วยความกังวล ทว่าที่ลึกกว่าความกังวลคือความผิดหวังและความโศกเศร้าที่ไม่อาจปกปิดได้
ตอนนี้เหตุการณ์คับขัน ชีวิตของพระชายาหลู่หยางอ๋องแขวนอยู่บนเส้นด้าย อย่างแรกที่หลู่หยางอ๋องควรทำคือถอนพิษให้พระชายาไม่ใช่หรือ?
เขาเป็นผู้วางยาพิษ การถอนพิษไม่น่าจะเป็นปัญหาไม่ใช่หรือ?
ทว่าเขากลับไม่ทำเช่นนั้น สิ่งแรกที่ทำคือจับตงหลิงหวง
อำนาจการปกครองสำคัญถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
“ยืนเหม่อทำอันใดอยู่ ยังไม่ไปจัดการให้ข้าอีก! ”
หลู่หยางอ๋องเห็นพวกองครักษ์ไม่ขยับ จึงตะโกนด้วยน้ำเสียงเดือดดาล
แม้พวกองครักษ์จะหวาดกลัวตงหลิงหวง ทว่าพวกเขายังถือกระบี่เดินเข้าไปหาตงหลิงหวง
‘ฟึบ’ ตงหลิงหวงกางพัดเหล็กออก แววตาปรากฏไอสังหารที่เพิ่มขึ้น เตรียมพร้อมรับมือกับศึกนองเลือด
อย่างไรก็ตาม นางไม่คาดคิดว่าองครักษ์ที่มีท่าทางขึงขังเต็มไปด้วยไอสังหารยังไม่ทันโจมตีนาง และยังไม่ทันได้เริ่มลงมือ กำแพงทั้งสองด้านก็มีเสียงดัง ‘ฟู่ว ฟู่ว ฟู่ว’ หลายครั้ง ลูกดอกหลายร้อยดอกพุ่งเสียบองครักษ์เหล่านั้นจนกลายเป็นเม่น
ลูกดอกจำนวนมากพุ่งออกมาจากกำแพงและเล็งไปยังตำแหน่งที่หลู่หยางอ๋องกับคนอื่นๆ ยืนอยู่
คนจำนวนมากล้มลงเป็นระลอก ไม่มีโอกาสให้ต่อต้าน
ตงหลิงหวงหุบพัดอย่างเชื่องช้า พลางมองเหตุการณ์ทั้งหมดที่อยู่เบื้องหน้าด้วยท่าทางเย็นชา
ก่อนหน้านั้น นางยังรู้สึกสับสน!
เห็นได้ชัดว่ามีกลไกอยู่ใต้หินยักษ์ก้อนนั้น หลู่หยางอ๋องสั่งให้คนยกหินก้อนใหญ่นั้นออกไปแล้ว ทว่าเหตุใดถึงไม่เห็นกลไกทำงาน!
หรือว่ากลไกนั้นพัง หรือทำขึ้นมาหลอก?
เดิมทีกลไกไม่ได้พัง ทว่ามีวงจรเปิดปิดต่อกันหลายชิ้น
ก่อนหน้านี้ ตอนที่นาง ตงหลิงจวิ้น และพระชายาหลู่หยางอ๋องมาที่นี่ พื้นที่ข้างทางไม่กว้างนัก ดังนั้นจึงไม่ไปโดนเข้ากับกลไกอื่นที่เชื่อมต่อกัน
ทว่าเหล่าองครักษ์ของหลู่หยางอ๋องเข้ามาพร้อมกันทีเดียว ซึ่งไม่เหมือนกัน
หรือว่ากลไกนี้คือ…
ตงหลิงหวงลอบคิดในใจ ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องของตงหลิงจวิ้นก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง “อ้าก! ”
ตงหลิงหวงหันกลับไปมองทันที นางตกใจเมื่อเห็นว่าตำแหน่งที่ตงหลิงจวิ้นกับพระชายายืนอยู่กลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ ร่างของตงหลิงจวิ้นและพระชายาหลู่หยางอ๋องหายไปนานแล้ว
นางรีบพุ่งไปดูที่ปากหลุมขนาดใหญ่ ด้านล่างมืดสนิทมองไม่เห็นสิ่งใดแม้แต่น้อย
“จวิ้นเอ๋อร์… พระชายา… ”
“จวิ้นเอ๋อร์… จวิ้นเอ๋อร์… ”
ตงหลิงหวงพยายามเรียกอยู่หลายครั้ง ทว่าไม่มีเสียงตอบกลับมา นางมองคนของหลู่หยางอ๋องที่ถูกลูกดอกยิงใส่จนไม่เห็นแม้แต่เงา ก่อนจะตัดสินใจกระโดดลงไปในหลุมดำมืดขนาดใหญ่
ตงหลิงหวงไม่รู้ว่าหลังจากที่นางกระโดดลงไป พื้นของหลุมค่อยๆ ปิดอีกครั้ง
ขณะที่ตกลงมา นางไม่รู้ว่าลอยอยู่กลางอากาศนานเท่าใด ทันใดนั้น ตงหลิงหวงก็ตกลงไปในน้ำ อุณหภูมิของน้ำเย็นเข้ากระดูกจนตงหลิงหวงเกือบหมดสติ
ที่แท้ด้านล่างเป็นสระเย็น
หลังจากตงหลิงหวงตกลงไปในสระเย็น นางก็เห็นพระชายาหลู่หยางอ๋องและตงหลิงจวิ้นที่ตกลงไปในสระเย็นเช่นกัน
แม้ตงหลิงหวงจะว่ายน้ำเป็น ทว่าการจะดึงพระชายาหลู่หยางอ๋องที่อยู่ในสภาพหมดสติขึ้นเหนือน้ำนั้นยากเกินไป
ในไม่ช้า ทั้งสองคนก็สามารถดึงพระชายาหลู่หยางอ๋องขึ้นสู่ผิวน้ำได้สำเร็จ
ก่อนหน้าที่จะตกลงมา ตงหลิงหวงพบว่าพื้นที่ด้านบนสระเย็นมีขนาดใหญ่มาก ดูเหมือนเป็นถ้ำหินขนาดใหญ่ ถ้ำหินแห่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ทว่าเป็นมนุษย์ที่สร้างมันขึ้นมา ไม่รู้ว่าบนกำแพงหินใช้หินชนิดใด นึกไม่ถึงว่าจะให้ความสว่างได้อีกด้วย
ด้วยแสงจากหิน ตงหลิงหวงจึงมองเห็นรอบด้านทั้งหมดอย่างชัดเจน
สระเย็นอยู่ทางทิศตะวันออกและตะวันตก ดังนั้นทิศเหนือและทิศใต้จึงมีแท่นหินรองรับให้ทั้งสองคนเดินไปได้
ตงหลิงหวงและตงหลิงจวิ้นแบกพระชายาหลู่หยางอ๋องขึ้นบนฝั่ง