เดิมทีกลไกมีอยู่ตลอดทางเดิน หลู่หยางอ๋องและคนอื่นๆ ต่างถอยไป กลไกก็ไล่ตามมาตลอดทาง เมื่อหลู่หยางอ๋องออกมาจากทางเดินและมาถึงห้องศิลา ข้างกายก็เหลือองครักษ์เพียงสี่คน
องครักษ์สิบกว่าคนที่เข้ามาเป็นยอดฝีมือ ไม่คิดว่าจะสละชีพไปแล้ว หลังออกมา รวมหลู่หยางอ๋องแล้วก็เหลือเพียงห้าคน
องครักษ์ที่อยู่ในห้องศิลาและไม่ได้เข้าไปในเส้นทางลับ เมื่อเห็นสภาพคนทั้งห้าที่ออกมาก็ตกใจกลัวอย่างมาก
“ท่าน… ท่านอ๋อง พวกเราจะทำอย่างไรดี? พระชายากับซื่อจื่อยังอยู่ในทางเดิน! ลูกดอกเมื่อครู่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้น พวกเขาคงไม่… คงไม่… ”
สถานการณ์ในเส้นทางลับเมื่อครู่อันตรายมากจริงๆ เมื่อนึกขึ้นมา แผ่นหลังของหลู่หยางอ๋องก็เย็นวาบ
การที่เขาพาองครักษ์เหลือรอดกลับมาเพียงสี่คน นับได้ว่าเป็นโชคดีมากแล้ว พระชายาและบุตรของตนเองไม่มีวรยุทธ์ แม้ตงหลิงหวงจะปกป้องได้ ทว่าต่อให้วรยุทธ์ของนางจะสูงส่งเพียงใด แต่พลังของนางมีขีดจำกัด และนางไม่ได้โชคดีอย่างพวกเขา
ต้องทราบว่าชีวิตของพวกเขาห้าคนแลกมาด้วยความตายของคนอีกหลายคน
เมื่อครุ่นคิดถึงจุดนี้ ภายในใจของหลู่หยางอ๋องพลันเจ็บปวดลึกซึ้ง เขากำหมัดแน่น แววตาเคร่งขรึมมองไปในเส้นทางลับ ทั่วทั้งร่างปรากฏกลิ่นอายเยือกเย็นจนน่าหวาดกลัว
องครักษ์ที่อยู่โดยรอบล้วนก้มต่ำ ไม่กล้าส่งเสียงออกมา
ผ่านไปครู่ใหญ่ ทันใดนั้น หลู่หยางอ๋องก็หันหลังเดินออกไปนอกเส้นทางลับ
ระหว่างที่เดินออกไป เขาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า
“สร้างสุสานให้พระชายาและซื่อจื่อ จัดพระราชพิธีถวายเพลิงพระศพอย่างสมเกียรติและยิ่งใหญ่! ”
รองหัวหน้าองครักษ์ไม่กล้ารีรอแม้แต่น้อย และรีบพาคนไปจัดการทันที
ทันทีที่เดินออกมาจากเส้นทางลับจนมาถึงเรือนของพระชายาหลู่หยางอ๋อง จู่ๆ องครักษ์ผู้หนึ่งที่ร่างเต็มไปด้วยเลือดก็ล้มลงแทบเท้าหลู่หยางอ๋อง
“ท่านอ๋อง… ท่านอ๋อง… แย่แล้ว”
องครักษ์ชี้ไปทางเรือนของพระสนม ทว่าพูดยังไม่ทันจบประโยค เขาก็หมดสติและไร้ซึ่งลมหายใจ
“รีบไปดูว่าเกิดอันใดขึ้น! ”
หลู่หยางอ๋องรีบพาคนไปยังเรือนของพระสนมน่าหลาน
ตลอดทางเต็มไปด้วยซากศพที่เลือดอาบกาย แม้แต่ผู้ดูแลกับนางกำนัลในจวนก็ไม่เว้น
ในที่สุด เขาก็มาถึงเรือนของพระสนมน่าหลาน ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า ทำให้ดวงตาทั้งสองข้างของหลู่หยางอ๋องร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
พื้นดินเต็มไปด้วยซากศพ เจิ่งนองไปด้วยเลือด
หลู่หยางอ๋องกวาดสายตามองไปรอบด้าน นึกไม่ถึงว่าองครักษ์และองครักษ์เงาของเขาล้วนพ่ายแพ้และเสียชีวิตในสถานที่แห่งนี้
ทันใดนั้น เสียงครวญครางก็ดังขึ้นไม่ไกลนัก หลู่หยางอ๋องและคนอื่นๆ รีบมองไปยังทิศทางของเสียง เป็นหัวหน้าองครักษ์เซวียที่มีบาดแผลทั่วร่าง เขาพยุงตนเองขึ้นมาจากกองซากศพอย่างยากลำบาก
เมื่อหัวหน้าองครักษ์เซวียเห็นหลู่หยางอ๋องก็ราวกับเห็นฝนในหน้าแล้ง ทว่าเป็นฝนหน้าแล้งที่ตกช้าไปเสียหน่อย
“ท่าน… ท่านอ๋อง… ”
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น? ”
แม้จะรู้อยู่แล้วว่าเกิดอันใดขึ้น ทว่าหลู่หยางอ๋องยังถามอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ
เลือดเคล้าน้ำตาไหลอาบหน้าของหัวหน้าองครักษ์เซวีย “เป็นกลุ่มนักฆ่าฉีเฟิง… ท่านอ๋อง เป็นกลุ่มนักฆ่าฉีเฟิงของตงหลิงหวง หลังพระองค์จากไปไม่นาน พวกเขาก็ลงมือ
พละกำลังของกลุ่มนักฆ่าฉีเฟิงแข็งแกร่งอย่างมาก เหล่าพี่น้องเราต้านทานไม่อยู่
ท่านอ๋อง กระหม่อมไร้ความสามารถ กระหม่อมยินดีรับโทษ”
กลุ่มนักฆ่าฉีเฟิงมีเพียงไม่กี่สิบคน องครักษ์และองครักษ์เงาในจวน รวมถึงทหารที่จิงจ้าวหยิ่นส่งมา ไม่คาดคิดว่าจะถูกพวกเขากวาดล้างจนหมด
แววตาของหลู่หยางอ๋องปรากฏความเย็นชา ดวงตาเย็นยะเยือกจ้องมองภาพเบื้องหน้าทั้งหมดโดยไม่พูดอันใด เขากำมือจนกระดูกข้อนิ้วลั่นดังกรอบแกรบ
ยกเว้นหัวหน้าองครักษ์เซวียที่ตัวสั่นหงึกๆ ใกล้จะล้มลง สิ่งมีชีวิตรอบบริเวณที่หายใจได้ล้วนไม่กล้าหายใจและไม่กล้ามองไปที่หลู่หยางอ๋อง ทุกคนต่างก้มหน้าลงต่ำ
ทันใดนั้น เสียงทุ้มต่ำที่แหบพร่าเล็กน้อยของหลู่หยางอ๋องก็ดังขึ้น
“ปิดล้อมประตูเมืองทุกจุด ค้นหาทีละบ้าน จับตัวกลุ่มนักฆ่าฉีเฟิงมาให้ได้ ข้าจะฆ่ามันด้วยมือของข้าเอง”
กลุ่มนักฆ่าฉีเฟิง?
ยังต้องฆ่าอีก?
องครักษ์และองครักษ์เงา รวมถึงเหล่าทหารล้วนพ่ายแพ้ เรื่องนี้จะทำได้หรือ?
หัวหน้าองครักษ์เซวียไม่ได้ส่งเสียง ทว่ารองหัวหน้าองครักษ์กลับตอบรับเสียงเบาอย่างไม่มั่นใจ
“พ่ะ… ย่ะ… ค่ะ! ”
หลู่หยางอ๋องหันกลับมาทันที เขาแย่งกระบี่จากมือขององครักษ์ผู้หนึ่ง และแทงเข้าที่ท้องของรองหัวหน้าองครักษ์โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ดวงตากระหายเลือดมองไปยังคราบเลือดและซากศพที่นอนเกลื่อนพื้น
“หากผู้ใดยังคิดส่งเสริมให้ผู้อื่นมีอำนาจเพื่อทำลายขวัญกำลังใจกองทัพของข้า ก็จะมีจุดจบเช่นเดียวกับเขา”
เหล่าทหารต่างตกใจกลัวจนตัวสั่นและรีบคุกเข่าลงกับพื้น
“ท่านอ๋องทรงพระปรีชา! ”
“ท่านอ๋องทรงพระปรีชา! ”
บรรยากาศรอบตัวของหลู่หยางอ๋องพลันเย็นยะเยือกมากขึ้น หนึ่งในองครักษ์รีบตอบสนองโดยการเปลี่ยนคำพูดของตนเอง “ฝ่าบาททรงพระเจริญ อายุยืนหมื่นปี! ”
หลายคนที่อยู่ด้านหลังจึงตะโกนตาม “ฝ่าบาททรงพระเจริญ อายุยืนหมื่นปี! ”
ไม่นานก็มาถึงวันงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของหลู่หยางอ๋อง
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกของแคว้นตงเฉินเป็นไปตามธรรมเนียมของตระกูล ยุ่งยากและยืดยาวน่าเบื่อ ใช้เวลาทั้งวันกว่าพิธีจะเสร็จสิ้น
เดิมที หลังจากพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอันยุ่งยากซับซ้อนเสร็จสิ้น หลู่หยางอ๋องก็ไม่มีกำลังไปปรากฏตัวที่งานเลี้ยงมื้อค่ำแล้ว ทว่าคืนนี้ หลู่หยางอ๋องกลับมีพละกำลังล้นเหลือ และดูเหมือนจะไม่ได้ใช้รูปแบบพิธีที่ยุ่งยากซับซ้อนจนกินเวลาทั้งวัน
เพราะคืนนี้เขาต้องจับปลาตัวใหญ่
บรรดาขุนนางที่มาชุมนุมในสวนดอกไม้ของวังหลวง ตราบใดที่อยู่ในราชสำนัก ย่อมมีสถานะพิเศษพอสมควร ทุกคนต่างให้เกียรติเวลาอยู่ต่อหน้าหลู่หยางอ๋อง วันนี้ทุกคนรวมตัวกันที่ห้องโถงใหญ่ ร่วมดื่มอวยพร สนทนา และชมการแสดงฟ้อนรำทำเพลง บรรยากาศครื้นเครงยิ่งนัก
ผู้ที่มีสายตาเฉียบแหลมเท่านั้นจะดูออกว่างานเลี้ยงในคืนนี้ไม่ใช่งานเลี้ยงธรรมดา ดูผิวเผินแล้วเป็นงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยอาหารรสเลิศ สุราชั้นดี และบรรยากาศหรูหรา
ทว่าภายในงานมีบรรยากาศของไอสังหารแฝงอยู่ สถานการณ์อันตรายและการซุ่มโจมตีมีอยู่ทุกซอกทุกมุม แม้แต่นางกำนัลและขันทีที่คอยรับใช้อยู่ในสวนดอกไม้ก็เปลี่ยนใหม่ยกชุด
ดังนั้นทุกคนจึงต้องระวังตัวให้มาก
หลู่หยางอ๋องขึ้นครองบัลลังก์ เปลี่ยนรัชศกเป็นหลู่ ขุนนางและทหารสถาปนาเขาเป็นฮ่องเต้หลู่
สุราเวียนดื่มหลายจอก ทันใดนั้น ฮ่องเต้หลู่ก็เหลือบมองหัวหน้าองครักษ์ประจำวังหลวงที่แต่งตั้งขึ้นใหม่
หัวหน้าองครักษ์ก้าวไปเบื้องหน้าฮ่องเต้หลู่และโค้งคำนับเล็กน้อย
ฮ่องเต้หลู่ถามขึ้น “ว่าอย่างไร? ”
หัวหน้าองครักษ์ประจำวังหลวงทูลว่า “กราบทูลฝ่าบาท จนถึงตอนนี้ ยังไม่พบความผิดปกติใดๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หลู่ขมวดคิ้ว หรือว่าตนคิดผิด
พ่อลูกตงหลิงไม่เคลื่อนไหวอันใด?
เป็นไปไม่ได้!
ตามอุปนิสัยของตงหลิงไท่ ต่อให้ไม่อาจเข้ามาล้างแค้นให้บุตรและภรรยาถึงเมืองหลวง ก็ไม่ยินยอมให้บ้านเมืองตกอยู่ในเงื้อมมือของผู้อื่นโดยเปล่าประโยชน์
หรือว่าตนจะคิดผิดไปเองจริงๆ ?
ตงหลิงไท่ชราภาพ ไร้จิตวิญญาณการสู้รบอีกต่อไป หรือว่าหลังจากที่ตงหลิงหวง สายเลือดเพียงผู้เดียวตายไป เขาจึงทราบดีว่าไร้ผู้สืบทอด ต่อให้แย่งชิงบ้านเมืองไปก็เปล่าประโยชน์ จึงถอดใจไปแล้ว?
ฮ่องเต้หลู่คิดอยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าไม่สามารถผ่อนคลายความระมัดระวังลงได้ ตราบใดที่ยังไม่ได้รับข่าวการเสียชีวิตของตงหลิงไท่ เขาที่นั่งบัลลังก์ได้เพียงหนึ่งวันย่อมไม่มีทางนอนหลับได้เป็นสุข
“ตรวจสอบอีกครั้ง เกิดเหตุการณ์เล็กน้อยอย่างไร ต้องรายงานเราทุกเรื่อง! ”
“พ่ะย่ะค่ะ! ”
หัวหน้าองครักษ์นำคนไปตรวจสอบอีกครั้ง ฮ่องเต้หลู่เอนหลังพิงเก้าอี้มังกร พลางจิบสุราและมองการแสดงฟ้อนรำด้วยสายตามึนเมา
แม้จะดื่มสุราที่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่รินให้ รวมกับที่รินให้ตนเองไปสองสามจอก แต่ก็ไม่สามารถระงับความอ่อนล้าได้ เขาต้องการนอนมาก ทว่าไม่กล้านอนหลับ
กลัวว่าหากหลับไปแล้วจะไม่ได้ตื่นอีกเลย ทันทีที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ศีรษะก็ไม่ได้อยู่บนคอตนเองอีกแล้ว