เล่มที่ 29 เล่มที่ 29 ตอนที่ 863 สุสานและคนที่ยังไม่ตาย

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

เมื่อขันทีเห็นพระพักตร์ที่เหนื่อยล้าของฮ่องเต้หลู่ จึงเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง

“ฝ่าบาท ต้องการ… เสด็จไปพักผ่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ”

ฮ่องเต้หลู่ทำเพียงโบกพระหัตถ์

หลังผ่านไปครู่ใหญ่ หัวหน้าองครักษ์ที่ออกไปตรวจสอบก็รีบเข้ามาด้วยสีหน้าร้อนรน

“ฝ่าบาท! ” ขันทีเอ่ยรายงาน “หัวหน้าองครักษ์ขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้หลู่พลันลืมตาขึ้น หัวหน้าองครักษ์เซวียก็มาอยู่เบื้องหน้าแล้ว

เมื่อเห็นท่าทางเป็นกังวลของหัวหน้าองครักษ์เซวีย แสงในดวงตาของฮ่องเต้หลู่พลันปรากฏความขึงขัง “มีเรื่องอันใด? ”

“กราบทูลฝ่าบาท มีการลอบโจมตีที่ประตูทางทิศตะวันตก กระหม่อมแจ้งจิงจ้าวหยิ่นแล้ว นอกจากนั้นยังระดมกำลังทหารห้าร้อยนายไปที่นั่น”

ความเหนื่อยล้าในแววตาของฮ่องเต้หลู่หายไปที่ใด?

ตอนนี้ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยไอสังหารอย่างแรงกล้า เขากุมจอกสุราในมือแน่นราวกับเสือดาวรอคอยเหยื่อของมัน

“ในที่สุดก็มาแล้ว! ให้ข้ารอเสียนาน! ตงหลิงไท่ วันนี้ประตูทิศตะวันตกเป็นวันตายของเจ้า! ”

การแสดงฟ้อนรำหยุดชะงัก บรรดาขุนนางต่างก้มศีรษะลงต่ำและไม่กล้าพูดอันใด

ฮ่องเต้หลู่ถามขึ้น “พบตัวตงหลิงไท่หรือไม่? ”

“ระยะทางค่อนข้างไกล อีกทั้งคืนนี้มีหมอกลงจัดจึงเห็นไม่ค่อยชัดพ่ะย่ะค่ะ ทว่ากระหม่อมคาดเดาว่าตงหลิงไท่คงอยู่ด้านนอกประตูทิศตะวันตกพ่ะย่ะค่ะ

เดิมทีพวกเขาสามารถบุกเข้ามาทางประตูทิศตะวันออกได้โดยตรง ทว่าพวกเขาคาดว่าประตูทิศตะวันออกเป็นประตูเมืองที่ใกล้พระราชวังที่สุด ทหารรักษาการณ์เข้มงวด ป้องกันง่ายโจมตียาก ดังนั้นพวกเขาจึงทิ้งสิบเบี้ยใกล้มือไปที่ประตูทิศตะวันตก”

เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้หลู่มีความคิดเช่นเดียวกับหัวหน้าองครักษ์เซวีย

“ดีมาก ระดมกำลังทหาร ข้าจะนำทัพเอง คืนนี้ต้องตัดศีรษะตงหลิงไท่มาให้ได้”

“พ่ะย่ะค่ะ! ”

หัวหน้าองครักษ์รับคำสั่งและรีบไประดมกำลังทหาร

ที่งานเลี้ยงฉลอง จู่ๆ ฮั่วจีและฮั่วซืออวี่ก็ลุกขึ้นยืน

ฮั่วจีพูดขึ้น “ฝ่าบาท ตงหลิงไท่เพียงผู้เดียว ต้องลำบากฝ่าบาทออกศึกด้วยตนเองเชียวหรือ?

ฝ่าบาทอยู่ร่วมฉลองกับบรรดาขุนนางที่นี่ให้สบายใจเถิด ส่วนเรื่องจับกบฏ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสองพ่อลูกสกุลฮั่วอย่างกระหม่อม

กระหม่อมสองพ่อลูกสกุลฮั่วไม่ได้เข้าสู่สนามรบเป็นเวลานานแล้ว กระบี่และชุดเกราะที่ใช้ในสนามรบฝุ่นเกรอะมานาน คืนนี้กระหม่อมจะสวมมันเพื่อออกศึกสักครา ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย พวกเราสองพ่อลูกจะนำทัพไปตัดศีรษะตงหลิงไท่กลับมาให้ฝ่าบาทแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

แม่ทัพหลี่ เดิมทีเป็นตระกูลแม่ทัพเลื่องชื่อของแคว้นตงเฉิน เขาไม่ค่อยพอใจนักจึงลุกขึ้นพูด

“กระหม่อมสองพ่อลูกสกุลหลี่ก็จะไปด้วย คืนนี้มาดูกันว่าสองพ่อลูกสกุลฮั่วของเจ้า กับสองพ่อลูกสกุลหลี่ของข้า ผู้ใดจะชนะ! ”

ไม่รู้ว่าฮั่วจีและฮั่วซืออวี่ครุ่นคิดสิ่งใด สีหน้าของพวกเขาจึงดูไม่ค่อยดีนัก และพวกเขาก็ไม่ได้พูดอันใด

ความคิดของฮ่องเต้หลู่นั้นคาดเดาได้ยาก พระองค์นิ่งเงียบ

ขุนนางผู้หนึ่งลุกขึ้นยืนและพูดว่า “ฝ่าบาท ในราชสำนักมีแม่ทัพมากมาย พ่อลูกสกุลฮั่วและสกุลหลี่มีพรสวรรค์ที่หาได้ยากยิ่ง วันนี้ฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ เหตุใดพระองค์ต้องนำทัพออกไปด้วยตนเอง? มิสู้ทำตามความเห็นของแม่ทัพฮั่วและแม่ทัพหลี่ อยู่รอฟังข่าวดีกับพวกขุนนางเถิด

ตงหลิงหวงไม่อยู่แล้ว กำลังส่วนใหญ่ของตงหลิงไท่ได้สวามิภักดิ์ต่อฝ่าบาท ต่อให้กองกำลังส่วนที่เหลือบุกเข้ามาก็ไม่ได้เรื่องเท่าไรนัก

มังกรที่ไร้หัว คาดว่าพวกเขาไม่สามารถพลิกสถานการณ์อันใดได้พ่ะย่ะค่ะ”

“กระหม่อมเห็นด้วย! ”

“กระหม่อมเห็นด้วย! ”

“กระหม่อมก็เห็นด้วย! ”

ขุนนางใหญ่น้อยล้วนลุกขึ้นยืนสนับสนุนความคิดเห็นของขุนนางฝ่ายบุ๋นผู้นั้น

พระพักตร์ของฮ่องเต้หลู่ไม่ได้แสดงออกถึงพระอาการดีใจหรือโกรธเกรี้ยว พระองค์กวาดสายพระเนตรมองไปที่ใบหน้าของขุนนางใหญ่น้อยทีละคน ก่อนจะประทับลงบนบัลลังก์ด้วยท่าทางเกียจคร้าน

“ตกลง เช่นนั้นก็ให้สองพ่อลูกสกุลหลี่และสองพ่อลูกสกุลฮั่วไป เราจะรอฟังข่าวดีจากพวกเจ้าอยู่ที่นี่”

“กระหม่อมจะไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวัง! ”

ทันทีที่สิ้นเสียงฮั่วจีและคนอื่นๆ พระสุรเสียงของฮ่องเต้หลู่ก็ดังขึ้นเหนือศีรษะ

“ขุนนางฮั่ว ขุนนางหลี่ ที่ข้าต้องการคือศีรษะของตงหลิงไท่ คืนนี้หากพวกเจ้ากล้าปล่อยให้เขามีชีวิตหนีรอดไปจากประตูเมืองทิศตะวันตก ข้าจะเอาศีรษะของพวกเจ้าแทน”

ใบหน้าของฮั่วจีและฮั่วซืออวี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย พวกเขาก้มศีรษะลง

สีหน้าของพ่อลูกสกุลหลี่พลันซีดเผือด เห็นได้ชัดว่าสันหลังของพวกเขาเย็นวาบ

พวกเขารีบตอบรับคำ “พ่ะย่ะค่ะ”

จากนั้น พ่อลูกสกุลฮั่วและสกุลหลี่ก็ออกจากสวนดอกไม้ไปพร้อมกับคนของพวกเขา

การแสดงดำเนินต่อไปอีกครั้ง ทันใดนั้น ฮ่องเต้หลู่ก็ยืนขึ้นพร้อมไหสุราในมือ “ขุนนางทุกท่าน ดื่ม! วันนี้ทุกท่านเชิญดื่มให้อิ่มหนำสำราญ คนทรยศไม่กี่คน อย่าได้เกรงกลัว”

เหล่าขุนนางรีบยกจอกสุราขึ้น “ฝ่าบาทยิ่งใหญ่! ”

ทว่าเหล่าขุนนางที่สายตาเฉียบแหลมพบว่า หลังจากที่พ่อลูกสกุลฮั่วและสกุลหลี่ออกจากสวนดอกไม้ไปแล้ว องครักษ์ รวมถึงผู้ดูแลและนางกำนัลภายในสวนดอกไม้แห่งนี้ที่รู้วรยุทธ์มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นพอสมควร

แต่ละคนต่างมีความคิดเป็นของตนเอง ฮ่องเต้หลู่ร่ำสุราหมดจอกก็นั่งลง นางกำนัลด้านข้างจึงรินสุราให้อีกจอก

ทันใดนั้น เสียงดนตรีที่ไล่ระดับสูงขึ้นก็ดังมาจากระยะไกล ท่วงทำนองและจังหวะรวดเร็วต่างจากทำนองที่นุ่มนวลไพเราะของแคว้นตงเฉินอย่างสิ้นเชิง ดึงดูดความสนใจทั้งหมดของทุกคนในคราเดียว พวกเขาจึงมองไปยังทิศทางของเสียง ก่อนจะเห็นกลุ่มคนสิบกว่าคนในชุดเต้นรำสีสันแปลกตา สตรีร่ายรำงดงามอ่อนช้อยเดินมาที่กลางเวที

นางรำสวมชุดเผยเนื้อหนัง นอกจากนั้นยังมีใบหน้างดงามเย้ายวน แม้เพลงพื้นบ้านของแคว้นตงเฉินจะเปิดกว้าง ทว่ายังให้ความสำคัญและเข้มงวดกับการแต่งกายของสตรีอย่างมาก

ปกติแล้ว เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่เห็นแต่ภรรยาที่บ้านแต่งตัวมิดชิด พวกเขาจะเคยเห็นสตรีแต่งกายร้อนแรงเช่นนี้ได้อย่างไร?

ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่เรือนร่างของนางรำเหล่านั้นโดยไม่ละสายตา

โดยเฉพาะสตรีที่สวมชุดสีแดงเพลิง ครึ่งหน้าของนางถูกปิดด้วยผ้าคลุมหน้า

การที่นางกอดผีผาปกปิดครึ่งใบหน้านั้น ยิ่งทำให้ทุกคนรู้สึกยุบยิบในใจ

นางรำเดินเข้ามากลางเวที สตรีสิบคนกอดผีผาแยกไปทางเวทีทั้งสองฝั่งและเริ่มบรรเลงผีผา นางรำแปดคนเดินตามสตรีชุดสีแดงเพลิงและเริ่มเต้นรำบริเวณกลางเวที

เอวพลิ้วไหวราวกับงูน้ำ ดวงตาพราวเสน่ห์ราวกับเส้นไหมกระชากวิญญาณผู้ชม

ทุกครั้งที่สะบัดแขนเสื้อ ทุกครั้งที่เอนตัวไปข้างหลัง ทุกครั้งที่กวัดแกว่งแขนล้วนพันเกี่ยวหัวใจของทุกคน แววตาขยับไปมาตามการร่ายรำของนางรำทั้งเก้าที่อยู่บนเวที

แม้แต่ฮ่องเต้หลู่ก็มองเพลินโดยไม่รู้ตัว

แท้จริงแล้ว ฮ่องเต้หลู่ไม่ใช่คนฝักใฝ่ในกาม เมื่อครั้งที่เป็นหลู่หยางอ๋อง ในจวนมีเพียงพระชายาหลู่หยางอ๋องและพระสนมน่าหลานสองคน ไม่มีแม้แต่นางกำนัลที่อายุน้อยและสวยสะพรั่ง

นอกจากนั้น คนที่เคยเห็นพระสนมน่าหลานล้วนพูดว่ารูปลักษณ์ของนางคล้ายคลึงกับพระชายาหลู่หยางอ๋องเล็กน้อย

หลู่หยางอ๋องมองสตรีสวมชุดสีแดงเพลิงบนเวทีผู้นั้นและรินสุราให้ตนเองหนึ่งจอก ดวงตาหยาดเยิ้มเล็กน้อยของเขาค่อยๆ นึกย้อนกลับไปเมื่อยี่สิบปีก่อนตามท่วงท่าที่มีชีวิตชีวานั้น

ในวันวานก็เหมือนอย่างวันนี้ ฮ่องเต้องค์ก่อนขึ้นครองบัลลังก์ หลังเสร็จสิ้นพระราชพิธีก็จัดงานเลี้ยงรื่นเริงให้ขุนนางที่สวนดอกไม้

และในวันนั้นเองที่เขาได้พบกับซินหรู พระชายาหลู่หยางอ๋องของเขา

ชื่อซินหรูเป็นเขาที่ประทานให้นาง ในตอนนั้น พระชายาหลู่หยางอ๋องเป็นเพียงนางรำในชั้นเรียนร้องรำของแคว้นตงเฉิน นางไม่มีชื่อเสียงด้วยซ้ำ

ทว่าท่วงท่าของนางโดดเด่น รูปลักษณ์ก็งดงาม

ในขณะที่ทำการแสดง นางดันไปตกหลุมรักตงหลิงไท่เข้า ทว่าตงหลิงไท่รักฮองเฮาอย่างมาก นอกจากนั้น เพราะแรงกดดันจากไทเฮา นางจึงไม่สมปรารถนา

ภายหลังจึงทำได้เพียงมอบนางให้กับตงหลิงชาง หลู่หยางอ๋อง หรือก็คือฮ่องเต้หลู่ในปัจจุบันพระองค์นี้

ในชีวิตนี้ ตงหลิงชางมีซินหรูเป็นสตรีเพียงผู้เดียว แม้แต่พระสนมน่าหลานที่มาทีหลังก็เลือกเพียงเพราะมีรูปลักษณ์ที่คล้ายคลึงกับซินหรูเล็กน้อยเท่านั้น

ทว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ เขากลับชัดเจนในใจ ภายในใจของพระชายาที่รักของตนมีหลุมฝังศพซึ่งซ่อนคนที่ยังไม่ตาย คนผู้นั้นก็คือเสด็จพี่ของตนเอง หรือก็คือฮ่องเต้ตงหลิงไท่องค์ก่อน

บุปผาร่วงโรยด้วยใจคะนึง สายธารไหลไร้ความรู้สึก คำว่ารักนั้นช่างเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน

เขาเจ็บปวดทุกข์ใจมานานหลายปี จะไม่ให้เกลียดชังได้อย่างไร?