บทที่ 1435 : ตำหนิตนเอง
  ในเมื่อหลิงหยุนไม่ต้องการให้ผู้ใดไปรบกวนฉินจิวยื่อในเวลานี้นางจึงได้แต่เหาะตามหลิงหยุนกลับไปยังยอดเขาเจงิชโชกูซู
  “มีเรื่องอะไรจะปรึกษาข้างั้นรึ”
  ทันทีที่เหาะลงไปบนพื้นของยอดเขาสูงแห่งนี้ฉินตงเฉวี่ยจึงเอ่ยถามหลิงหยุนขึ้นมาด้วยความอยากรู้..
  “เรื่องตระกูลหนิง!”
  หลิงหยุนจึงได้เล่าเรื่องราวและปัญหาที่เกิดขึ้นให้กับฉินตงเฉวี่ยฟัง “ข้ามาช้าไปเพียงก้าวเดียว เมื่อครั้งที่ข้ามาถึงนั้น ท่านลุงหนิงก็ได้สิ้นใจไปเสียก่อนแล้ว..”
  “ท่านแม่ต้องการเซ่นไหว้วิญญาณท่านลุงหนิงเจ็ดวันจากนั้นก็น่าจะนำร่างของเขาไปฝัง.. เพียงแต่จะฝังร่างของลุงหนิงที่ใด และจะต้องบอกกล่าวกับคนตระกูลหนิงหรือไม่? เรื่องเหล่านี้ข้าเองก็มิอาจตัดสินใจได้..”   ที่ผ่านมานั้นร่างไร้วิญญาณที่ถูกหลิงหยุนสังหารตายไปมากมายนั้น เขาก็จัดการใช้ยันต์เตโชเผาร่างทิ้งเสีย หรือไม่ก็ใช้ผงละลายศพจัดการทำลายให้สิ้นซาก แต่หนิงเทียนหยาหาใช่ศัตรูของเขาไม่ อีกทั้งยังเป็นคนที่ฉินจิวยื่อรักมากด้วย
  นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่หลิงหยุนมาจุติบนโลกใบนี้และพบเจอกับเรื่องที่ต้องมีพิธีกรรมเช่นนี้ อีกทั้งฉินจิวยื่อก็เป็นแม่ของเขา เขาจึงต้องคิดว่าจะจัดการเช่นใดให้เหมาะสม
  แต่ฉินตงเฉวี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยนางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบกลับไปว่า “หลิงหยุน เจ้าปรึกษาเรื่องนี้กับข้า ข้าก็คงช่วยอะไรไม่ได้ นั่นเพราะข้าเองก็หาได้รู้จักตระกูลหนิงดีนัก แต่ข้าคิดว่าพี่ใหญ่คงจะมีแผนของนางอยู่ในใจแล้วว่าจะจัดการเรื่องนี้เช่นใด ฉะนั้น เรื่องนี้คงต้องปล่อยให้นางตัดสินใจด้วยตัวเอง”
  หลิงหยุนได้แต่นิ่งเงียบไป..
  เหตุผลที่เขาปรึกษาเรื่องนี้กับฉินตงเฉวี่ยนั้นก็เพราะไม่ต้องการให้ฉินจิวยื่อต้องกังวลใจครุ่นคิดกับเรื่องพวกนี้ เขาจึงอยากจะแอบช่วยจัดการเรื่องนี้ให้กับนางอย่างเงียบๆ เพื่อให้ฉินจิวยื่อสามารถส่งดวงวิญญาณของหนิงเทียนหยาเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยจิตใจที่สงบนิ่งไร้เรื่องกังวลใจ
  แต่คิดไม่ถึงว่าการตายของหนิงเทียนหยาจะนำเรื่องยุ่งยากมาให้ถึงเพียงนี้แม้แต่ฉินตงเฉวี่ยยังมิกล้าที่จะตัดสินใจใดๆแทน
  “เช่นนั้นแล้วเรื่องเหล่านี้พวกเราก็มิควรยุ่งเกี่ยว แล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของท่านแม่จัดการตามลำพังอย่างนั้นหรือ”
  ยิ่งนึกถึงสภาพร่างกายที่ผ่ายผอมของฉินจิวยื่อเวลานี้หลิงหยุนก็ยิ่งเศร้าใจ และโกรธแค้นตี๋เสี่ยวเจินมากขึ้นเท่านั้น
  “หลิงหยุนเจ้าอย่าได้กังวลใจไปเลย จิตใจของพี่ใหญ่นั้น ข้าย่อมรู้ดีกว่าผู้ใด”
  ฉินตงเฉวี่ยรู้ดีว่าหลิงหยุนรู้สึกเช่นใดนางจึงได้แต่ปลอบประโลม “ที่นี่นางขออยู่คนเดียวตามลำพังนั้น ก็คงจะต้องการครุ่นคิดไตร่ตรองเรื่องเหล่านี้ล่ะ..”   “ที่สำคัญ..จากนี้ไปนางต้องมีชีวิตอยู่ให้ได้!”
  ฉินตงเฉวี่ยย้ำประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงหนักแน่น..
  “แล้ว..หลิงยู่เล่า” หลิงหยุนสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเอ่ยถามเสียงเบา
  “หลิงยู่”
  ฉินตงเฉวี่ยร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงพร้อมกับนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามหลิงหยุนด้วยความประหลาดใจ
  “อะไรกัน!เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ เจ้ายังมิได้บอกกับหลิงยู่หรอกรึ?”
  หลิงหยุนส่ายหน้าไปมาพร้อมกับตอบไปว่า“ยังเลย!”
  ฉินตงเฉวี่ยรีบเรียกเครื่องมือสื่อสารของตนออกมาและกำลังจะส่งข้อความบอกหนิงหลิงยู่ แต่จู่ๆก็ชะงักพร้อมกับเอ่ยถามหลิงหยุนว่า
  “แล้วเรื่องของหลิงยู่พี่ใหญ่ของข้าว่าอย่างไรบ้าง”
  หลิงหยุนส่ายหน้าไปมาพร้อมตอบกลับไปว่า“เวลานี้ท่านแม่รู้เพียงแค่ว่าหลิงยู่สอบเข้ามหาวิทยาลัยหยานจิงได้แล้ว แต่ก็มิได้กล่าวสิ่งใดออกมาทั้งสิ้น ข้าจึงไม่รู้ว่านางคิดสิ่งใดอยู่..”
  ฉินตงเฉวี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเก็บเครื่องมือสื่อสารของตนกลับคืนไป“ข้าคิดว่าพี่ใหญ่คงจะมีแผนอยู่ในใจแล้ว รอพรุ่งนี้ค่อยฟังว่านางจะตัดสินใจเช่นใด แล้วพวกเราค่อยจัดแจงตามที่นางต้องการ..”
  “ก็ดีเหมือนกัน!”
  แม้ทั้งคู่จะปรึกษาหารือกันอยู่นานและถึงแม้จะมิได้คำตอบหรือผลสรุปอันใดนัก แต่หลิงหยุนก็รู้สึกจิตใจสงบลงมาก
  นี่เป็นครั้งแรกที่หลิงหยุนได้พบเจอหนิงเทียนหยาเมื่ออีกฝ่ายเสียชีวิตเขาจึงมิได้รู้สึกอันใดมากนัก แต่ฉินจิวยื่อกับหนิงหลิงยู่นั้นคงมิได้รู้สึกเช่นเดียวกับเขาเป็นแน่ หลิงหยุนจึงพยายามที่จะแอบจัดการเรื่อราวทุกอย่างให้อย่างเงียบๆ
  “แล้วเหตุใดยอดเขาแห่งนี้จึงได้กลายเป็นคูน้ำลึกเช่นนี้ไปได้”
  ฉินตงเฉวี่ยสำรวจภูมิทัศน์รอบกายและเอ่ยถามหลิงหยุนด้วยความประหลาดใจ “หลิงหยุน เจ้าเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ข้าฟังอย่างละเอียดจะได้หรือไม่”
  ในเมื่อไม่มีสิ่งใดต้องจัดการต่อจากนี้แล้วหลิงหยุนจึงค่อยๆย่อยสลายกระบี่ลมปราณภายในร่าง และเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กับฉินตงเฉวี่ยฟัง
  “นับว่าโชคดียิ่งนักที่เจ้าไม่มาช่วยพี่ใหญ่ก่อนหน้านี้..”
  ……
  เนื่องจากที่นี่สุดเขตตะวันตกของประเทศจีนเวลาของที่นี่จึงล่าช้ากว่าปักกิ่งไปสองชั่วโมง ในขณะที่ปักกิ่งเป็นเวลาแปดโมงเช้า แต่ที่นี่พระอาทิตย์เพิ่งจะโผล่ขึ้นเหนือท้องฟ้า  ท้องนภาเวลานี้เป็นสีฟ้าสดใสสว่างเจิดจ้าอีกทั้งอากาศยังเย็นและสดชื่นยิ่งนัก..
  แต่แล้วจู่ๆเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ก็ดังก้องไปทั่วทั้งยอดเขามนุษย์ที่ปกคลุมไปด้วยก้อนเมฆสีขาว..
  “ท่านพ่อ!โฮ่วเอ๋อ!”
  ตี๋เสี่ยวเจินตื่นขึ้นมาหลังจากที่สลบไสลไปนานและภาพที่นางเห็นภาพแรกก็คือร่างไร้วิญญาณทั้งสองร่างที่นอนอยู่ข้างกาย นางจึงได้กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดใจอย่างที่สุด จากนั้นน้ำตาก็ไหลออกมาเป็นสายจากดวงตาทั้งสองข้าง
  เมื่อวานนี้..นางยังเป็นนายหญิงผู้สูงศักดิ์แห่งสำนักกระบี่เทียนซานอยู่เลย แต่เพียงแค่ชั่วข้ามคืน สำนักกระบี่เทียนซานกลับถูกหลิงหยุนทำลายสิ้น คนของสำนักกระบี่เทียนซานถูกเขาสังหารตายไปมากมาย ฐานะของตี๋เสี่ยวเจินจากนายหญิงผู้สูงศักดิ์พลันเปลี่ยนเป็นนักโทษในทันที วรยุทธถูกทำลายจนสิ้น อีกทั้งพ่อและลูกชายของตนก็ยังถูกสังหารตายด้วย และเวลานี้ร่างไร้วิญญาณของทั้งคู่ก็ถูกนำมาวางไว้ข้างกายนาง
  ตี๋เฮ่อหมิงตายในสภาพที่เวทนายิ่งนักแขนขาทั้งสี่ถูกหลิงหยุนตัดขาด เหลือเพียงแค่ลำตัวที่ไม่ต่างจากก้อนเนื้อ ดูแทบไม่เป็นผู้เป็นคน และเวลานี้ร่างของเขาก็แข็งและเย็นเฉียบ ในขณะที่ดวงตาทั้งสองข้างเบิกโพลง สีหน้าบ่งบอกถึงความทุกข์ทรมาน และความหวาดผวาอย่างยิ่ง..
  “เป็นไปไม่ได้!เป็นไปไม่ได้! ข้าไม่เชื่อ.. ข้าไม่เชื่อ..”
  ตี๋เสี่ยวเจินเวลานี้ผมเผ้ายุ่งเหยิงและกำลังพยายามลากร่างที่เกือบจะแข็งของตน คืบคลานเข้าไปหาร่างไร้วิญญาณทั้งสองร่าง ในขณะที่ปากก็คร่ำครวญออกมาอย่างเจ็บปวด และไม่อาจทนยอมรับความจริงที่ขมขื่นใจในครั้งนี้ได้
  “นี่..นี่มันอะไรกัน!”
  ตี๋เสี่ยวเจินพยายามพยุงร่างที่เกือบกลายเป็นน้ำแข็งของตนลุกขึ้นนั่งและจ้องมองไปทางร่างไร้ลมหายใจของตี๋ชิงโหว แต่แล้วสายตาของนางก็พลันเหลือบไปเห็นร่างไร้วิญญาณอีกร่าง..
  ตี๋เฮ่ออี้!
  ร่างของตี๋เฮ่ออี้ถูกหลิงหยุนฟันขาดเป็นท่อนๆแต่เวลานี้ศิษย์สำนักกระบี่เทียนซานที่ทำหน้าที่เก็บกวาดทำความสะอาดนั้น ได้นำชิ้นส่วนที่ขาดมาวางต่อกัน ตามร่างกายของเขาก็มีบาดแผลที่เกิดจากคมกระบี่อยู่ทั่วทั้งร่าง คราบโลหิตสีแดงไหลปกคลุมจนแทบจดจำไม่ได้
  “ทะ..ท่านลุงหก!!”
  ตี๋เสี่ยวเจินตกใจอย่างที่สุดนางกรีดร้องพร้อมกับทิ้งร่างลงบนพื้นด้วยความท้อแท้หมดฝัง ปากก็พล่ามแต่คำพูดว่า
  “จบแล้ว..มันจบสิ้นแล้ว.. สำนักกระบี่เทียนซานของข้าจบสิ้นแล้วจริงๆ!”
  แต่แล้วจู่ๆตี๋เสี่ยวเจินก็ถึงกับขนหัวลุก และเย็นยะเยือกไปทั่วทั้งแผ่นหลัง แววตาของนางเต็มไปด้วยความสะพรึงกลัว..
  “เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้เจ้าคงต้องตำหนิตนเองแต่เพียงผู้เดียว!” เสียงเย็นชาของหลิงหยุนดังขึ้น
  ในเวลานั้น..ทั้งหลิงหยุน เย่ซิงเฉิน ฉินตงเฉวี่ย ไป๋เซียนเอ๋อ ตี้เสี่ยวอู๋ หวังชงเซียว และคนอื่นๆ ต่างก็อยู่บนยอดเขามนุษย์แล้ว และได้เฝ้ามองภาพของตี๋เสี่ยวเจินอยู่อย่างเงียบๆ
  เวลานี้..ทุกคนที่ยืนอยู่ต่างก็ได้รู้เรื่องที่ตี๋เสี่ยวเจินทรมานฉินจิวยื่อกับหนิงเทียนหยา ทั้งกายและใจมาตลอดหกเดือนแล้ว ทุกคนล้วนแล้วแต่โกรธแค้นตี๋เสี่ยวเจินยิ่งนัก และเฝ้ามองนางรับกรรมด้วยความสะใจ
  หลี่เพียวหยางกัวผิง เจิ้งซิ่วยี่ และศิษย์สำนักกระบี่เทียนซานในขั้นพลังชี่ขึ้นไปนั้น ก็ได้ยืนอยู่ข้างหลิงหยุนเพื่อรอฟังคำสั่งของเขาด้วย
  คนเช่นตี๋เสี่ยวเจินในยามที่มีอำนาจนั้นมิเคยสร้างความสมัครสมานกลมเกลียวขึ้นภายในสำนักกระบี่เทียนซานเลย ตรงข้าม..ในยามที่คนตระกูลตี๋รุ่งเรืองถึงขีดสุดนั้น กลับข่มเหงรังแกศิษย์สำนักคนอื่นๆที่มิใช่เครือญาติ ในยามที่ตี๋เสี่ยวเจินและตระกูลตี๋มีชะตากรรมตกต่ำเช่นนี้ มีหรือที่ศิษย์สำนักกระบี่เทียนซานคนอื่นๆจักรู้สึกเสียใจ และเห็นใจคนตระกูลตี๋เล่า..
  “พวกเจ้าฟังข้า!”
  หลิงหยุนคร้านที่จะเสียเวลาอีกจึงร้องสั่งศิษย์สำนักกระบี่เทียนซานในทันที “พวกเจ้าช่วยกันนำร่างของหญิงผู้นี้ และคนอื่นๆ รวมทั้งร่างไร้วิญญาณของคนตระกูลตี๋ทั้งหมดไปที่ยอดเขาเทียนเฟิง และรอฟังคำตัดสินโทษจากท่านแม่ของข้า!”