บทที่ 734 ประวัติของดินแดนศักดิ์สิทธ

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

ความตั้งใจตั้งแต่แรกของหลิงตู้ฉิงคือการไปที่เมืองศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว เพราะปัญหาของหลิงเทียนหยุนในตอนนี้จำเป็นต้องให้ผู้ปกครองเมืองศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นเป็นคนแก้ไข และยิ่งเขาได้ยินว่าเมืองศักดิ์สิทธิ์จู่ ๆ กลับต้องการคัดเลือกทูตศักดิ์สิทธิ์คนใหม่ เขาก็ยิ่งอยากจะไปที่เมืองศักดิ์สิทธิ์มากกว่าเดิม

“ท่านพ่อ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์มันเป็นสถานที่แบบไหนกัน?” หลิงเทียนหยุนถามขึ้นด้วยความสงสัย

หลิงตู้ฉิงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเขาตอบว่า “ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นชื่อที่ผู้คนในเขตแดนอุดรทมิฬตั้งกันเอง แต่อันที่จริงแล้วชื่อเรียกดั้งเดิมของมันก็คืออาณาเขตเงานิรันดร์ ผู้ที่ปกครองอาณาเขตเงานิรันดร์อยู่นั้นเป็นตัวตนที่มีความแกร่งเหนือล้ำจากโบราณกาล ซึ่งในโลกเบื้องล่างแทบจะไม่มีใครต่อกรกับนางได้ ซึ่งบ่อยครั้งที่อาณาเขตเงานิรันดร์จะทำการคัดเลือกผู้สืบทอดจากทั่วทุกมุมโลกให้เข้ามาที่อาณาเขตเงานิรันดร์เพื่อรับการสืบทอดสุดยอดเคล็ดวิชา และด้วยเหตุผลนี้ผู้คนถึงเปลี่ยนชื่อเรียกอาณาเขตเงานิรันดร์ให้กลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์”

“อันที่จริงเคล็ดวิชาหมื่นเงามายาที่เจ้าบ่มเพาะก็เป็นหนึ่งในสุดยอดเคล็ดวิชาประจำกายของผู้ปกครองอาณาเขตเงานิรันดร์ ซึ่งข้าและผู้ปกครองอาณาเขตเงานิรันดร์นั้น…ครั้งหนึ่งข้าเคยรู้จักกับนาง ดังนั้นข้าเลยได้เคล็ดวิชาหมื่นเงามายามาจากนาง ดังนั้นหากจะถามว่าใครสามารถแก้ปัญหาให้เจ้าได้บ้าง คำตอบมันก็คงมีแค่นางเพียงคนเดียว”

“ท่านพ่อ แล้วความสัมพันธ์ของท่านกับผู้ปกครองอาณาเขตทมิฬเป็นแบบไหน?” หลิงเทียนหยุนถามต่อ

ตามความเข้าใจของหลิงเทียนหยุน ซึ่งรู้ดีว่าลักษณะนิสัยของหลิงตู้ฉิงในอดีตเป็นยังไง ดังนั้นเขาจึงต้องถามแบบนี้

คนแบบพ่อของเขาจะไปมีเพื่อนเหมือนกับคนอื่นเขาได้ยังไง?

หลิงตู้ฉิงยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนและตอบว่า “เอ่อ…ถ้าถามถึงความสัมพันธ์ล่ะก็…มันก็พูดได้ว่าไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ อันที่จริงข้ากับนางไม่ค่อยจะลงรอยกันด้วยซ้ำ”

หลิงเทียนหยุนเดาไม่พลาดเลยแม้แต่น้อยว่าพ่อของเขาต้องตอบประมาณนี้ ดังนั้นเขาจึงถามต่อ “ถ้างั้นท่านจะส่งข้าเข้าไปหาเขา เอ๊ะไม่สิท่านเรียกผู้ปกครองอาณาเขตเงานิรันดร์ว่านางใช่ไหมเมื่อครู่? ช่างเถอะ เอาเป็นว่าการที่ท่านส่งข้าไปแบบนี้มันจะไม่มีปัญหาหรือไงท่านพ่อ?”

หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ไม่ต้องกังวล ๆ ถึงแม้ว่าผู้ปกครองอาณาเขตเงานิรันดร์จะแข็งแกร่งมาก แต่นางก็แข็งแกร่งได้แต่เฉพาะในอาณาเขตเงานิรันดร์เท่านั้น ถ้าหากนางออกนอกอาณาเขตเงานิรันดร์เมื่อไหร่ ความแข็งแกร่งของนางก็จะลดลงไปเป็นอย่างมากและเจ้าลืมไปแล้วเหรอว่าพ่อเคยรู้จักกับนางมาก่อน ดังนั้นเจ้าอย่าห่วงไปเลย พ่อเชื่อว่าเดี๋ยวพ่อจะหาวิธีทำให้นางช่วยเจ้าได้แน่นอน”

“แต่ท่านพ่อ ตอนนี้ความแข็งแกร่งของท่านยังไม่ฟื้นฟูกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนสักหน่อย!” หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นด้วยสีหน้ากังวล

หลิงเทียนหยุนรู้สึกว่าในตอนนี้มันเหมือนพ่อของเขากำลังซ่อนอะไรบางอย่างอยู่

หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “เอาน่า ตอนนี้พวกเราทั้งหมดก็ได้เรียนรู้วิชาพเนจรไร้จำกัดกันหมดแล้ว ตราบใดที่พวกเราไม่เข้าไปในอาณาเขตเงานิรันดร์ พวกเราก็หนีได้ทันอยู่ดี”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิงเทียนหยุนก็ยิ่งรู้สึกขัดแย้งมากกว่าเดิม เขาไม่แน่ใจสักเท่าไหร่แล้วว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นความคิดที่ดี

หลายวันต่อมา เหรินเหยียนฟางที่กินเนื้อของอสูรขอบเขตมหาจักรพรรดิและดูดซับพลังทั้งหมดเรียบร้อยแล้วก็เข้ามาหาหลิงตู้ฉิง และพูดว่า “คุณชายหลิง ตอนนี้สำนักของข้าตัดสินใจว่าจะออกเดินทางก่อนกำหนดไปยังเมืองศักดิ์สิทธิ์ ท่านต้องการจะร่วมทางไปกับพวกเราไหม”

เนื่องจากก่อนหน้านี้นางได้รับประโยชน์จากหลิงตู้ฉิง นางจึงเรียกหลิงตู้ฉิงแบบให้เกียรติมากขึ้น

หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “เอาสิ ไปเร็ว ๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน!”

อันที่จริงก่อนหน้าที่เหรินเหยียนฟางจะเข้ามาบอก หลิงตู้ฉิงก็มีความคิดอยากจะไปหาข้อมูลในเมืองศักดิ์สิทธิ์คนเดียวก่อนล่วงหน้าเช่นกัน

ถึงแม้ว่าเขาจะพูดกับหลิงเทียนหยุนไปแบบนั้น แต่เขาก็อยากจะให้ผลลัพธ์ของการเดินทางครั้งนี้มันออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด ถึงแม้ว่าเขาจะมีอีกวิธีการหนึ่งที่มันก็สามารถนำมาใช้คลี่คลายปัญหาได้เหมือนกัน แต่วิธีการนั้นมันก็มีผลเสียต่อหลิงเทียนหยุน

เหรินเหยียนฟางพยักหน้าและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณชายหลิงโปรดรีบเตรียมตัวเลยก็แล้วกัน เพราะว่าพรุ่งนี้สำนักของข้าจะออกเดินทางกันแล้ว แต่การไปครั้งนี้ข้าคงไม่ได้ไปกับคุณชายหลิงด้วย พรุ่งนี้คุณชายหลิงจะต้องเดินทางไปกับคนอื่น ๆ ในสำนักของข้า ซึ่งหนึ่งในคณะเดินทางก็จะมีสหายของข้า อุลบา รวมอยู่ด้วย แต่ว่าเขาอาจจะมีนิสัยที่โอ้อวดน่ารำคาญสักหน่อย ดังนั้นหากเป็นไปได้ท่านก็พยายามหลีกเลี่ยงเขาไว้ก็ดี”..

“สหายของเจ้า อุลบา เป็นเผ่าพันธุ์อะไร?” หลิงตู้ฉิงถามขึ้น

“เขาเป็นลูกผสมระหว่างเผ่ามนุษย์หินและเผ่าปีศาจยักษ์ ซึ่งแน่นอนว่าด้วยการมีสายเลือดของทั้งสองเผ่านี้ไหลเวียนอยู่ในร่าง มันจึงทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ” เหรินเหยียนฟางพูดขึ้น “แต่น่าเสียดายที่ถึงแม้ร่างกายของเขาจะแข็งแกร่ง แต่เขากลับมีปัญหาบางอย่างเกี่ยวกับร่างกายของเขา ซึ่งทำให้เขาไม่สามารถบ่มเพาะได้ ดังนั้นเขาจึงต้องเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อแก้ปัญหานี้”

หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “อืม ผู้ที่มีสายเลือดผสมระหว่างเผ่ามนุษย์หินและเผ่าปีศาจยักษ์ย่อมต้องมีร่างกายที่แข็งแกร่งแน่นอนอยู่แล้ว แต่เรื่องการบ่มเพาะไม่ได้นั้น…ช่างเถอะ เอาเป็นว่าถ้าหากเขาไม่มารบกวนข้า ข้าก็ไม่ไปยุ่งอะไรกับเขาหรอก”

เหรินเหยียนฟางพยักหน้าและจากไปด้วยใจที่กังวล

หากดูจากลักษณะนิสัยของอุลบาแล้ว เรื่องความขัดแย้งมันคงจะมีโอกาสเกิดสูงพอสมควร

แต่ตอนนี้นางถือว่าได้เตือนหลิงตู้ฉิงไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นถ้าหากเกิดอะไรขึ้นในภายหลังนางก็ถือว่าได้ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้แล้ว

วันถัดมา หลิงตู้ฉิงและกลุ่มคนของเขาก็เดินมารวมกลุ่มกับผู้คนของสำนักเงามายาเพื่อเตรียมออกเดินทางไปยังเมืองศักดิ์สิทธิ์

แน่นอนว่าพวกของหลิงตู้ฉิงได้เจออุลบา

ร่างกายของอุลบามีความสูง 2 เมตรโดยประมาณ ซึ่งถ้าเทียบกับรูปร่างของเผ่ามนุษย์หินหรือเผ่าปีศาจยักษ์แล้วก็นับได้ว่าเตี้ยไปสักหน่อย แต่ถ้าเทียบกับมนุษย์แล้วก็ถือว่าสูงใหญ่กว่าค่าเฉลี่ยค่อนข้างเยอะ

แต่จุดเด่นของร่างกายอุลบานั้นอยู่ที่สีผิว ซึ่งผิวของเขาเป็นสีดำเงาคล้ายกับหินอุกกาบาตไม่มีผิด ซึ่งเป็นเครื่องบ่งบอกชั้นดีว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งแค่ไหน

แต่แล้วหลังจากที่พวกเขาเดินทางออกไปจากสำนักเงามายา อุลบาก็เริ่มออกลายโดยการจ้องเขม็งไปที่หลิงตู้ฉิงอย่างไม่วางตา เขาจ้องอยู่พักใหญ่จนเขาอดไม่ไหวและพูดว่า “เหตุผลที่เจ้าต้องการไปเมืองศักดิ์สิทธิ์ก็เพราะเจ้าต้องการเข้าไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกทูตศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม? ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้เลยว่าเจ้าอย่าได้มาขวางทางข้าเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นว่ามนุษย์แขนขาลีบอย่างเจ้านั้นไม่มีทางเทียบกับข้าได้!”

หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “คุณสมบัติของเจ้าในตอนนี้มันไม่มากพอที่จะเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้หรอก”

“เฮ้! นี่เจ้ากล้าเถียงกับข้างั้นเหรอ?” อุลบาแสดงสีหน้าไม่พอใจ “ถ้างั้นเจ้ากับข้ามาลองสู้กันสักตั้งไหมล่ะ ถ้าหากใครแพ้คนนั้นจะต้องไม่เข้ารับการคัดเลือกเจ้าตกลงไหม!?”

หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ฮ่าฮ่าฮ่า เก็บแรงของเจ้าไว้เถอะ เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าหรอกและอีกอย่างเจ้ากำลังเข้าใจผิดแล้ว ข้าและพวกของข้าไม่มีความคิดจะเข้าร่วมการคัดเลือกทูตศักดิ์สิทธิ์หรือกลายเป็นผู้สืบทอดอะไรนั่นเลยสักนิด”

อุลบารู้สึกโมโหมากเมื่อได้ยินท่อนแรกที่หลิงตู้ฉิงพูดขึ้น แต่เมื่อเขาได้ครึ่งท่อนหลังที่หลิงตู้ฉิงบอกว่าไม่สนใจการคัดเลือกของเมืองศักดิ์สิทธิ์ความโกรธของเขาก็จางหายไปในทันที

“อย่างน้อย ๆ เจ้าก็ยังพอมีความคิดที่เข้าท่าอยู่บ้าง!” อุลบาพ่นลมหายใจ “เอาเป็นว่านับจากนี้ในระหว่างที่พวกเราร่วมทางกัน หากใครรังแกเจ้า เจ้าก็เอ่ยชื่อของข้าได้เลยเดี๋ยวข้าจะคอยปกป้องเจ้าเอง!”

หลิงตู้ฉิงกลั้นขำและตอบกลับ “เอาแบบนั้นก็ได้!”

ตอนนี้หลิงตู้ฉิงรู้แล้วว่า อุลบาเป็นแค่พวกทึ่มมาก ๆ คนหนึ่งและไม่มีพิษภัยอะไรกับเขา!