บทที่ 2989 ร่วมมือ 2
หลังจากเธอพบตี้เฮ่าในทะเลทรายแล้ว ก็ต้องการจะติดต่อกับตี้ฝูอีหรือไม่ก็เถิงเสออยู่ตลอด แต่ทะเลทรายแห่งนี้เสมือนเขตหวงห้าม ไม่มีสัญญาณอันใดเลย ไม่อาจติดต่อกับผู้ใดได้
ระหว่างที่พาตี้เฮ่า ‘เล่นซ่อนแอบ’ กับฟั่นเชียนซื่ออยู่ เธอได้ลองทำลายเขตแดนในทะเลทรายดูแล้ว ผลคือไม่มีประโยชน์เลย
เธอเป็นเช่นเดียวกับฟั่นเชียนซื่อ มองไม่เห็นชายขอบของทะเลทรายเลย เหาะขึ้นสู่ด้านบนก็เป็นเมฆาอันไร้ที่สิ้นสุด ออกไปจากที่นี่ไม่ได้…
เธอคิดจะตามหาผู้ที่เรียกว่ามารเทพตนนั้น แต่ต่อให้เป็นชนพื้นเมืองของทะเลทรายแห่งนี้อย่างมังกรประทีปชมพู ก็ยังไม่รู้เลยว่าปกติแล้วมารเทพตนนี้ไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ทุกครั้งล้วนปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน และหายตัวไปอย่างฉับพลัน…
ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งวันแล้ว
กู้ซีจิ่วนั่งอยู่บนกองทราย เงยหน้ามองตะวันที่สามารถเผาคนให้ตายได้ดวงนั้น ระงับอารมณ์ที่อยากจะหลบหนีเอาไว้
การฝึกฝนในช่วงหลายปีมานี้ของเธอมิใช่ของปลอม ไม่ว่าจะพบพานกับเรื่องราวย่ำแย่อันใดก็สามารถจัดการอย่างสงบเยือกเย็นได้ แต่หลังจากมาถึงที่นี่ อารมณ์มักจะดิ่งลงอย่างไม่มีสาเหตุ ราวกับมีความโศกเศร้าที่ไม่อาจบรรยายได้ล่องลอยอยู่ในอากาศ กดทับจนเธอแทบหายใจไม่ออกแล้ว
‘เจ้านาย ท่านร้องไห้ทำไม?’ เสี่ยวเฝิ่นเข้ามาหา มองเธอด้วยดวงตาโตคู่หนึ่ง
กู้ซีจิ่วยื่นมือขยี้ตาเล็กน้อย ขยี้พบน้ำตาจริงๆ
เธอส่ายหน้า สะกดข่มความโศกเศร้าที่เอ่อล้นอยู่ในอกลงไป ยืดกายขึ้น “ไม่ได้ร้อง แค่ทรายเข้าตาเท่านั้น”
เสี่ยวเฝิ่นค่อนข้างกลัดกลุ้ม ‘ทำไมคนผู้นั้นถึงไล่ตามพวกเราตลอดเลย? เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าผู้ใดก็หนีออกไปไม่ได้เหมือนกัน…’
“เขาเป็นโรคประสาท” กู้ซีจิ่วมอบคำวิจารณ์ให้ฟั่นเชียนซื่อห้าคำ
เนื่องจากฟั่นเชียนซื่อไล่ตามอย่างทรหดอดทนมาโดยตลอด ภายหลังกู้ซีจิ่วจึงคร้านจะตั้งกระโจมต่อแล้ว ทุกๆ สามสี่นาทีจะทำการเคลื่อนย้ายรอบหนึ่ง ทำให้ฟั่นเชียนซื่อไม่อาจจับตำแหน่งของเธอได้
ขณะนี้เธอนั่งอยู่บนลนเนินทรายแห่งหนึ่ง เดิมทีเสี่ยวงเฝิ่นอยู่เป็นเพื่อนตี้เฮ่าที่กำลังฝึกฝนฟื้นฟูอยู่ คงจะรู้สึกเบื่อแล้ว ถึงได้เข้ามาพูดคุยอยู่ข้างกายกู้ซีจิ่ว
‘เขาไล่ตามแบบนี้ไม่เหนื่อยหรือไง?’
“คนโรคประสาทไม่รู้จักเหนื่อยก็เป็นเรื่องปกติ”
เสี่ยวเฝิ่นเงียบไปครู่หนึ่ง กำอุ้งเท้า ‘หากว่าสามารถหนีออกไปจากที่นี่ได้ก็ดีสิ ข้าอยากออกไปยังโลกภายนอกยิ่งนัก เจ้านาย มารเทพตนนั้นหน้าตาเหมือนท่านทุกอย่างเลย นางจะใช่อดีตชาติอันใดของท่านหรือเปล่า?’
กู้ซีจิ่วตะลึงงันไปแวบหนึ่ง เธอยังไม่เคยเจอผู้หญิงคนนั้น ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าสรุปแล้วนางคล้ายกับตนขนาดไหน แต่ถ้าบอกว่าอดีตชาติ…
เธอส่ายหน้า “น่าจะไม่ใช่ ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้ ล้วนมีวิญญาณดวงเดียว หากว่าอดีตชาติของข้ายังมีชีวิตอยู่ดีที่นี่ แล้วข้าจะมีตัวตนได้อย่างไร?”
‘บางทีนางอาจไม่ใช่อดีตชาติของท่าน แต่เป็นความยึดติดในอดีตของท่านก็ได้ ยึดติดจนก่อเป็นมาร...เจ้านาย ในอดีตท่านมีความยึดติดอันใดที่ทำให้กลายเป็นจริงไม่ได้หรือเปล่า?’
กู้ซีจิ่วกอดเข่า คิดอยู่ครู่หนึ่ง ส่ายหน้าอีกครั้ง “ไม่มีหรอก” ตอนนี้เธอมีสามีที่รักเธอ มีลูกน้อยที่เฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง ไหนเลยจะยังมีความยึดติดอันใดที่ไม่เป็นจริงอีก?
หากจะต้องตามหาความยึดติดสักอย่างออกมาล่ะก็…
“ข้าอยากให้ฟั่นเชียนซื่อหายไปจากโลกนี้โดยอัตโนมัติ ไม่ออกมาปรากฏตัวต่อหน้าข้าอีก!” เธอรังเกียจคนผู้นี้จะตายแล้ว!
มังกรประทีปชมพูเงียบงัน…
กู้ซีจิ่วลุกขึ้นยืน หาวคราหนึ่ง เดินไปทางตี้เฮ่า “พวกเราไปกันดีกว่า”
เธอพลันจับมือตี้เฮ่าไว้ ขณะที่กำลังจะทำอะไรบางอย่าง มังกรประทีปชมพูก็วิ่งเข้ามาแล้วยื่นอุ้งเท้าข้างหนึ่งให้เธอ ‘เจ้านาย อย่าลืมข้าสิ…’
“แน่นอน!” กู้ซีจิ่วยื่นมือไปจุบอุ้งเท้ามัน
มังกรประทีปหดอุ้งเท้าของมันกลับไปทันทีราวกับถูกแมงป่องต่อยก็มิปาน พลันถอยหลังออกไปสองก้าว ‘เจ้านาย ท่าน…’
————————————————————————————-
บทที่ 2990 ร่วมมือ 3
แทบจะในชั่วพริบตาเดียว อุ้งเท้านุ่มนิ่มของมังกรประทีปชมพูก็กลายเป็นสีคล้ำ เห็นได้ชัดว่าถูกพิษแล้ว
กู้ซีจิ่วยิ้มหยัน “ฟั่นเชียนซื่อ เจ้านึกว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าคือฟั่นเชียนซื่อ?”
มังกรประทีปชมพูเงียบไป
มีแสงสว่างวาบรอบกายมัน มังกรประทีปชมพูหายไปแล้ว ผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นตรงจุดเดิมคือฟั่นเชียนซื่อ
มือข้างหนึ่งของเขายังคงเขียวคล้ำอยู่ ทว่าในดวงตากลับมีความอนิจจังวาบผ่านแวบหนึ่ง “ซีจิ่ว เจ้าเฉลียวฉลาดเป็นที่สุดโดยแท้ ดูเหมือนไม่ว่าเปิ่นจุนจะทำอย่างไรก็ตบตาเจ้าไม่ได้เลย เผลอเรอไปสักนิด ก็ถูกเจ้าเล่นงานได้แล้ว”
เขากล่าวไปพลาง โคจรเลือดลมไปพลาง บนมือที่ถูกพิษข้างนั้นมีโลหิตสีดำหยดหนึ่งผุดออกมา…
กู้ซีจิ่วเม้มปากนิดๆ หนักใจนิดๆ เธอใช้พิษที่ร้ายแรงที่สุดไปแล้ว แถมยังเป็นผลงานที่สำเร็จจากการคิดค้นครั้งล่าสุดด้วย ไม่นึกเลยว่าจะไม่มีผลต่อร่างกายของฟั่นเชียนซื่อ พิษร้ายแรงขนาดนี้ถูกเขาขับออกมาได้ในชั่วพริบตา…
นี่ก็คือเทพผู้สร้างโลกหรือ?
พลังยุทธ์ของเธอกับเขาห่างชั้นกันเกินไป ถ้าเผชิญหน้ากันตรงๆ ไม่มีทางเอาชนะได้!
เห็นทีว่าในสามสิบหกกลยุทธ์ยังคงต้องหนีเท่านั้นถึงจะดี แต่ว่ามังกรประทีปชมพูตัวนั้นล่ะ?
คล้ายว่าจะรับรู้ถึงความคิดของกู้ซีจิ่วได้ ฟั่นเชียนซื่อจึงยิ้มน้อยๆ มองดูเธอ “ซีจิ่ว อย่าได้คิดหลบหนีอีกเลย มิเช่นนั้นเปิ่นจุนจะกำจัดไอ้ตัวนี้ซะ!”
เขาวาดดึงข้างกายคราหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะลากมังกรประทีปตัวนั้นออกมาจากอากาศ เพียงแต่ยามนี้มันสะลึมสะลืออยู่ ร่างกายที่เดิมทีเป็นสีแดงอมชมพูแดงก่ำแล้ว บนเกล็ดล้วนเป็นหยาดเหงื่อที่ดุจแก้วผลึก
สีหน้าของกู้ซีจิ่วแปรเปลี่ยน “ฟั่นเชียนซื่อ ถุงเก็บของไม่อาจบรรจุสิ่งมีชีวิตได้ ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะใส่มันเข้าไปในนั้น!” เกรงว่าถ้าปล่อยไว้นานไปอีกนิด มังกรประทีปชมพูคงขาดอากาศตายไปแล้ว!
“ที่แท้ก็ไม่สามารถบรรจุสิ่งมีชีวิตได้หรอกหรือ?” ฟั่นเชียนซื่อใช้มือเช็ดหยดเหงื่อบางส่วนบนร่างมังกรประทีปชมพู “มิน่าเล่าถึงได้เหงื่อออกมากขนาดนี้”
เขาเงยหน้ามองไปที่กู้ซีจิ่ว เอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ซีจิ่ว ไม่หนีแล้วดีไหม? มิเช่นนั้นเปิ่นจุนจะใส่มันเข้าไปในถุงเก็บของแล้วไล่ตามเจ้าอีกครั้ง…เจ้าก็รู้นี่ เปิ่นจุนมีนิสัยเกียจคร้านอยู่บ้าง มักจะสะเพร่าอยู่บ่อยครั้ง ระหว่างที่ไล่ตามเจ้าอาจจะลืมดึงมันออกมาสูดรับอากาศ ไม่แน่ว่าอาจลืมมันไว้ด้านในสามสี่วันเลยก็ได้…”
ข่มขู่! เป็นการข่มขู่กันชัดๆ!
แต่ว่า ด้วยนิสัยอันเลวร้ายของฟั่นเชียนซื่อ เขาสามารถทำได้จริงๆ!
กู้ซีจิ่วไม่ได้เลือกที่จะหลบหนีไปอีกแล้ว แต่ยิ้มแวบหนึ่ง “อันที่จริงข้าไม่ได้อยากจะหนีเพียงแต่เห็นท่านผู้สูงศักดิ์ไล่ตามอย่างสนุกสนานอยู่ตลอด จึงให้ความร่วมมือกับเจ้าก็เท่านั้น”
เธอบิดขี้เกียจทีหนึ่ง “ถึงอย่างไรพวกเราก็ออกไปไม่ได้ทั้งคู่ ต่อให้เจ้าจับข้าได้แล้วจะทำอะไรได้ล่ะ?”
ฟั่นเชียนซื่อหลุบตาลง “ตี้ฝูอีเล่า?”
“เขา…แยกกับข้าเพื่อค้นหา เดิมทีพวกเราคุยกันไว้แล้ว ใครหาตี้เฮ่าก็ให้แจ้งต่ออีกฝ่าย ผลคือสถานที่ผุพังแห่งนี้เข้าได้ออกไม่ได้ แม้แต่สัญญาณก็ส่งออกไปไม่ได้ คิดจะแจ้งให้เขาทราบก็ไม่อาจทำได้แล้ว”
วาจานี้ของเธอจริงครึ่งเท็จครึ่ง ฟั่นเชียนซื่อยังคงไม่พบพิรุธเลยจริงๆ
“ฟั่นเชียนซื่อ ตอนนี้พวกเราล้วนถูกขังเอาไว้ที่นี่แล้ว ไม่ต้องทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่ด้านในต่อไปอีกแล้วกระมัง? มิสู้คิดหาทางออกไปจากที่นี่ด้วยกันดีกว่า มีบุญคุณความแค้นอันใดออกไปข้างนอกได้แล้วค่อยสะสางต่อ” กู้ซีจิ่วเงยหน้ามองดวงตะวันเหนือศีรษะ “หนึ่งคนคิดการไม่กว้างไกล สองคนคิดได้ยาวไกลกว่ามิใช่หรือ?”
คำพูดของเธอมีเหตุผลยิ่ง ฟั่นเชียนซื่อถอนหายใจ “ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล ต่อให้เปิ่นจุนสังหารพวกเจ้าที่นี่ ก็หนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้ไม่ได้อยู่ดี พอถึงเวลานั้นแม้แต่คนให้พูดคุยด้วยสักคนก็คงไม่มีแล้ว คงน่าอึดอัดมากจริงๆ”
เขายื่นมือข้างหนึ่งมาหาเธอ “ในเมื่อจะร่วมมือกัน เช่นนั้นก็แสดงความจริงใจออกมาหน่อยสิ”
กู้ซีจิ่วตอบไป “เจ้าต้องการความจริงใจแบบไหนเล่า?”
“มีสุราเหมยเขียวที่เจ้าชอบที่สุดหรือไม่? มอบให้ข้าสองผลน้ำเต้า”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกเลย…
————————————————————————————-