ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 42 มุ่งหน้า มุ่งหน้า

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ก้อนน้ำแข็งลอยอยู่ในแม่น้ำลั่ว เถี่ยซู่ที่ดวงตาเบิกค้างลอยอยู่ท่ามกลางก้อนน้ำแข็ง ตายไปเรียบร้อยแล้ว

ดวงตาของเขาสะท้อนภาพท้องฟ้าที่หม่นมัว เช่นเดียวกับผิวน้ำและก้อนน้ำแข็งโดยรอบ

รอยแผลตรงอย่างยิ่งปรากฏที่ท้องเขา แผลลึกมาก รอยตัดตรงผ่านแดนลี้ลับและจุดลมปราณทั้งหมด ทำลายโอกาสรอดชีวิตไปหมดสิ้น

จากบาดแผลนี้ก็สามารถมองเห็นการโจมตีจากดาบของหวังผ้อได้

ดาบของเขายังเป็นเหมือนเช่นเคย แต่ก็ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงมากมาย ดูเหมือนการบำเพ็ญเพียรจะถึงระดับที่ก้าวหน้ายิ่งกว่าเดิม

เมื่อดาบของเขาทะลวงผ่านฝักออกมา เขาก็ทะลวงผ่านขั้นได้สำเร็จ

เพื่อให้สำเร็จ เขาจำเป็นต้องขับไล่เงาของโจวตู๋ฟูที่ทอดอยู่บนดวงจิตของเขา

ต่อหน้ายอดเขาสูงใหญ่ บางคนเลือกที่จะเดินอ้อมไป บ้างก็เลือกที่จะถอยหนี และก็มีบางคนที่เลือกจะปีนขึ้นไป

หวังผ้อได้เลือกเดินบนเส้นทางที่มุ่งตรงไปข้างหน้าผ่านภูเขาสูงอยู่เสมอ ยอดเขาที่อยู่ใกล้ตาเสมอ ทว่าเขาก็ไม่อาจเข้าใกล้ได้เลยแม้แต่น้อย

กระทั่งตอนนั้น ยามที่เขาทำลายมารในใจ เขาจึงสามารถสร้างวิถีดาบของตัวเองขึ้นมาได้ในที่สุด

การที่เถี่ยซู่ตายในการต่อสู้ครั้งนี้ซึ่งหวังผ้อสร้างวิถีดาบของตนเองขึ้นมานั้นไม่ใช่เรื่องน่าอับอายเลย

อย่างไรก็ตาม หวังผ้อเพิ่งทะลวงผ่านและไม่ได้สะสมพลังไว้มากพอ การจะสังหารยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ เขาจำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนสูงมาก

เขาได้ตัดแขนไปข้างหนึ่งแล้วและตอนนี้ อาการบาดเจ็บที่น่ากลัวยิ่งกว่าแขนที่ขาดก็เริ่มรุกเข้าสู่เส้นลมปราณและจิตของเขา

ลมเย็นของฤดูหนาวพัดผ่านต้นหลิวที่ริมแม่น้ำลั่ว พัดก้อนน้ำแข็งบนผิวน้ำและทุกสิ่งที่อยู่ภายใน

สายลมแม้เย็นเยียบแต่ไม่รุนแรง อย่างไรก็ตาม ร่างของเถี่ยซู่ที่อยู่ท่ามกลางก้อนน้ำแข็งสลายกลายเป็นควันในสายลมและหายไปจากโลกนี้

ในทันทีหลังจากนั้น ลมก็พัดใส่เสื้อผ้าของหวังผ้อทำให้รอยขาดกว้างขึ้น เลือดพุ่งออกมาจากร่างของเขาราวกับน้ำตก

เส้นใยปราณที่เลือนรางจำนวนนับไม่ถ้วนไหลออกมาจากร่างพร้อมกับเลือด

ใบหน้าหวังผ้อไร้สีเลือด ขาวยิ่งกว่าหิมะที่ปกคลุมเขื่อนกันคลื่นริมแม่น้ำเสียอีก

ร่างกลายเป็นหนักอึ้งและไร้ซึ่งกำลัง

เขาเดินไปที่ชายฝั่ง

น้ำเย็นเยียบในแม่น้ำดูเหมือนจะกลายเป็นเหนียวข้น เขาเดินอย่างยากลำบาก

รอยเลือดเป็นทางปรากฏขึ้นบนแม่น้ำ ขอบของรอยเลือดนี้เริ่มแข็งตัว กลายเป็นสิ่งที่ดูเหมือนกับปะการังสีเลือด

เขาไม่รู้ว่าเขาควรไปที่ไหน แต่มองไปทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำลั่วตรงหน้าแล้วเดินไปที่นั่น

เขาคุ้นกับการเดินไปข้างหน้า

แต่เขาดูเหมือนจะเลือกผิดไป

ร่างมากมายปรากฏขึ้นท่ามกลางต้นหลิวในสายลมริมแม่น้ำ

คนแรกที่มาถึงฝั่งแม่น้ำก็คือประมุขรองตระกูลถัง ด้านหลังเป็นทหารม้าหลายร้อยนายจากกองทัพอวี่หลินและขุนพลเทพแห่งต้าโจวสองคน

ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยรอยแผลเล็กๆ มากมาย ทำให้ดูยับเยินอย่างมาก

บาดแผลนี้เกิดขึ้นเมื่อหวังผ้อกับเถี่ยซู่ปะทะกันครั้นแรกบนถนนที่ปกคลุมด้วยหิมะ

เมื่อเขาจ้องไปที่หวังผ้อ ความตกใจและโกรธเกรี้ยวในดวงตาก็ค่อยๆ หายไป แทนที่ด้วยความเย็นชาเฉยเมย

จากนั้นเขาก็หัวเราะอย่างไร้เสียง รอยยิ้มบรรจุไว้ด้วยความเย้ยหยัน ดูหมิ่นและเสียดายอย่างไม่อาจบรรยาย

ใช่ เจ้าทะลวงผ่านสำเร็จ กลายเป็นยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนทั่วโลกเคารพเทิดทูน

แต่เจ้าจะต้องตายในไม่ช้านี้

ความจริงนี้ช่างสิ้นหวัง มีเรื่องใดให้น่ายินดี

ประมุขรองตระกูลถังหุบยิ้มและยกมือขวาขึ้น เขาโบกมือด้วยสีหน้าไม่แยแส

ลูกศรหลายร้อยดอกบรรจุไว้ด้วยแสงเจิดจ้าพุ่งขึ้นจากริมแม่น้ำลั่วและตกลงสู่ใจกลาง

……

……

พระราชวังหลีเงียบงันบรรยากาศตึกเครียดผิดปกติ หิมะบนชายคาละลายอย่างเงียบงัน ทว่าก่อนที่มันจะตกลงมาก็แข็งเป็นก้อนน้ำแข็ง

เวลาผ่านไปช้าๆ แต่ไม่มีใครปรากฏกายขึ้น

มู่ฮูหยินมองไปที่เมฆหิมะบนท้องฟ้า คิ้วนางเลิกขึ้นอย่างประหลาดใจ

ใครกันที่สามารถทำให้ซางสิงโจวอยู่ในราชวังต่อไปได้

แล้วใครกันที่สร้างความปั่นป่วนบนถนนในจิงตู

เถี่ยซู่? ไม่ หากเป็นเขาคนเดียว เสียงฟ้าร้องคงไม่ดังก้องเช่นนี้

สายฟ้านี้ตกลงบนแม่น้ำลั่วในที่สุด

กฎเกณฑ์ของโลกเหนือแม่น้ำลั่วได้เปลี่ยนไป

ดอกไม้ไร้ตัวตนได้ร่วงลงมาบนโลกนี้

เจตจำนงของดาบเหล็กพุ่งขึ้นไปปะทะกับมัน

มู่ฮูหยินเคลื่อนไหวในที่สุด

หวังผ้อทะลวงผ่านแล้ว!

เถี่ยซู่ตายแล้ว!

นี่ทำให้นางประหลาดใจ ทำให้นางเงียบงันไป แล้วจากนั้นก็กลับคืนสู่ท่าทีเคร่งขรึม

คำพูดของจูลั่วได้กล่าวไว้ก่อนที่จะตายในสุสานเทียนซูไม่ได้เพื่อให้ซางสิงโจวฟังเท่านั้น แต่ให้นางกับสามีด้วยเช่นกัน

หากเป็นเวลาอื่นนางคงต้องลงมือสังหารหวังผ้อด้วยตัวเอง

แต่ในตอนนี้ นางต้องอยู่ในพระราชวังหลีเพื่อต้อนเมฆหิมะบนท้องฟ้า สะกดเจตนาของนิกายหลวงเอาไว้ชั่วคราวทำให้พวกเขาไม่อาจจากไปได้

โชคยังดี นางสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าหวังผ้อไม่มีแรงเหลือให้ต่อสู้หลังจากเอาชนะเถี่ยซู่แล้ว

อยู่ในจิงตูหากเขาไม่สามารถต่อสู้ก็มีแต่ทางตายเท่านั้น

หากเขาตายแล้วเฉินฉางเซิงจะรอดได้อย่างไร

……

……

ที่รอบกายเขาล้วนเป็นมือสังหาร นักฆ่าและยอดฝืมืออันลึกล้ำ

เสี่ยวเต๋อยืนตรงหน้าเขา

เฉินฉางเซิงไม่ได้ประหลาดใจกับสภาพในปัจจุบัน

เขารู้ว่าอาจารย์ต้องการจะฆ่าเขา และต้องการจะฆ่าเขาเสมอมา

เหตุเกี่ยวพันกับตำแหน่งสังฆราช แต่ยังมีเหตุผลที่สำคัญยิ่งกว่า เขาใกล้ชิดกับศิษย์พี่มากเกินไป

ไม่มีใครที่พูดถึงเรื่องนี้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเองจะไม่รู้

เขาเชื่อมาเสมอว่าอาจารย์จะยื่นมือออกมาในวันที่อาจารย์อาสังฆราชกลับคืนสู่ทะเลดวงดาว

ก่อนที่วันนั้นจะมาถึงเขาก็ทำภารกิจสำเร็จแล้ว

เมื่อท้องฟ้าเต็มไปด้วยใบไม้เหลือง เขาได้ไปที่สะพานหน่ายเหอและใช้กำลังทั้งหมดเพื่อเตรียมการให้มังกรดำน้อยหนีไปได้ภายในสองปี

เมื่อท้องฟ้าเต็มไปด้วยลมหิมะ เขาก็มายังตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งเพื่อฆ่าโจวทง

เขาไม่คาดคิดว่าอาจารย์จะรีบร้อนต้องการให้เขาตายขนาดนี้

บางทีอาจเป็นวันนี้

ใช่ ยังไม่มีเสียงมาจากถนนยาว

ดังนั้นก็ต้องเป็นวันนี้

ใบไม้ใบสุดท้ายยังอยู่บนกิ่งที่ว่างเปล่าของต้นไห่ถัง ตอนที่มือสังหารชนกำแพงใบไม้นี้ก็ร่วงลงมา ใบไม้ใบนั้นก็ร่วงลงบนพื้นหิมะอย่างไร้เสียง ตกลงตรงหน้ารองเท้าของเฉินฉางเซิง

สายตาเฉินฉางเซิงไล่ขึ้นไปจนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่ใบหน้าของเสี่ยวเต๋อ

ผู้นำยอดฝีมือรุ่นเยาว์ของเผ่าปีศาจปรากฏตัวขึ้นที่ตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งในวันนี้ ย่อมเป็นเจตนาของเมืองไป๋ตี้ อย่างน้อยก็ต้องได้รับการยินยอมโดยไม่เอ่ยปากของนักปราชญ์ทั้งสอง

สองปีที่ผ่านมามีของขวัญ คำชมและเกียรติยศมากมายถูกส่งมายังสำนักฝึกหลวงจากเมืองไป๋ตี้ ทว่าตอนนี้ดูเหมือนว่าสิ่งเหล่านั้นล้วนไร้ความหมาย เขาไม่ถามหาเหตุผลหรือความยุติธรรม เพราะเหตุผลทั้งมวลในโลกนี้มักถูกทำลายลงด้วยคำว่า ‘ผลประโยชน์’ และ ‘สิ่งตอบแทน’ จักรพรรดิขาวสองสามีภรรยาพิจารณาถึงผลประโยชน์ของเผ่าปีศาจ ความประทับใจอันดีที่มีต่อเฉินฉางเซิงไม่มีผลต่อการตัดสินใจอย่างเย็นชานี้ เสี่ยวเต๋อก็คิดถึงผลประโยชน์ของตัวเอง อีกทั้งยังไม่มีความประทับใจอันดีต่อเฉินฉางเซิง เพื่อแม่น้ำแดงแปดร้อยลี้กับลั่วลั่ว เขายินดีอย่างยิ่งที่จะได้เห็นเฉินฉางเซิงตาย

“ข้าต้องขอให้เจ้าตาย”

เสี่ยวเต๋อกล่าวกับเขาอย่างจริงจัง จากนั้นก็ต่อยหมัดออกมา

นี่เป็นหมัดง่ายๆ แต่มันน่าหวาดกลัวยิ่ง ปราณแท้ที่แข็งแกร่งของเผ่าปีศาจกระตุ้นปราณของโลกและพุ่งเข้าดวงตาของเขาในทันที

ในเวลาเดียวกันกระบี่สิบกว่าเล่มจากมือสังหารขั้นรวบรวมดวงดาวก็แทงผ่านหิมะเข้ามาตัดเส้นทางหนีทั้งหมดไป

หากเฉินฉางเซิงถูกบีบให้ถอย เขาต้องเจอกับกระบี่ที่น่าหวาดกลัวและยังต้องรับมือกับหมัดของเสี่ยวเต๋อที่น่าหวาดกลัว

หากเขาเลือกที่จะมุ่งไปข้างหน้า ก็ต้องหยุดหมัดของเสี่ยวเต๋อก่อน กระบี่สิบกว่าเล่มด้านหลังก็จะระเบิดพลังที่น่ากลัวที่สุด

ในตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาคงต้องตายไม่ว่าจะเลือกเช่นใด

บางทีด้วยเหตุนี้เขาจึงเรือกที่จะก้าวต่อไป

หากต้องตายไม่ว่าจะเลือกไปข้างหน้าหรือถอยหลัง เหตุใดไม่เลือกไปข้างหน้าเล่า ดังนั้นเขาจึงมุ่งไปข้างหน้า

เขาพุ่งผ่านลมหิมะ กระบี่ในมือแทงตรงไปข้างหน้า

เขาเคลื่อนไหวเร็วยิ่งกว่าหมัดของเสี่ยวเต๋อ

เจตจำนงกระบี่เหมือนกับไฟป่า

ไม่ มันเหมือนกับไฟสวรรค์มากกว่า

ไฟที่ตกลงมาจากสวรรค์พร้อมกับสายฟ้า

กระบี่ของเขาแทงเข้าใส่ร่างของเสี่ยวเต๋อราวกับสายฟ้า

ในเวลาเดียวกันหมัดของเสี่ยวเต๋อก็มาถึงร่างของเขาเช่นกัน

……