ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 43 มุ่งไปข้างหน้าเสมอ ไม่ว่าจะไปที่ใดก็ตาม

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ถนนอยู่ห่างจากกำแพงของลานบ้านแค่สิบกว่าจั้ง

แต่เพื่อข้ามระยะทางนี้กลับเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างที่สุด

หากมันยากที่จะก้าวข้าม ก็ควรเลือกที่จะเดินอ้อมไป

แนวไฟพลันปรากฏขึ้น เพลิงร้อนแรงละลายหิมะเป็นไอหมอกแล้วก็ควัน

ตรงหน้าเปลวเพลิงนี้คือเฉินฉางเซิง หากบอกให้ชัดเจน เปลวเพลิงนี้มีต้นกำเนิดมาจากกระบี่ในมือของเขา

นี่เป็นเพลงกระบี่ที่สองที่ซูหลีสองให้กับเขา เพลงกระบี่สันดาป

เสี่ยวเต๋อมีระดับการบำเพ็ญเพียรสูงมากและมีประสบการณ์มากมาย แต่เขาก็ยังถูกกระบี่นี้ของเฉินฉางเซิงโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว

กระบี่นี้ใช้เจตจำนงของกระบวนท่าสุดท้ายของเพลงกระบี่หลีซาน เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นไม่หวั่นแม้แต่ชีวิตของตัวเอง

เสี่ยวเต๋อประหลาดใจที่กระบวนท่าแรกของเฉินฉางเซิงก็เป็นเพลงกระบี่ที่รุนแรงซึ่งทำร้ายทั้งตนเองและผู้อื่น

นี่เป็นสิ่งที่เฉินฉางเซิงได้เตรียมตัวเอาไว้แล้ว

เขาในตอนนี้มีปราณแท้สะสมอยู่มากมายและมีดวงจิตที่มั่นคง แต่ก็ยังมีระยะห่างอย่างมากระหว่างเขากับยอดฝีมือบนประกาศเซียวเหยา

เขารู้ดีว่าหากต้องการจะเอาชนะยอดฝีมือเช่นนี้ เขาจำเป็นต้องลงมือโดยไม่ทันตั้งตัว ใช้ความสามารถที่ไม่มีใครรู้จนถึงขีดสุด นี่เป็นเพราะเมื่อใดที่ความสามารถและกลยุทธ์ที่ไม่มีใครรู้ถูกนำมาใช้ ก็จะไร้ประสิทธิภาพต่อยอดฝีมือ

นี่หมายความว่าเขาจะใช้กลยุทธ์นี้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น

ในสำนักฝึกหลวง เขาได้ใช้หินดำกับกระบี่หลายพันเล่มเอาชนะหลินกงกง แต่ตอนนี้เขาไม่อาจใช้สิ่งนั้นเอาชนะยอดฝีมือในระดับเดียวกันนั้นได้อีก

เขารู้ว่าหากเขาต้องการจะสังหารโจวทง เขาต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่แท้จริงมากมาย ดังนั้นในเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาได้ทำการอนุมานมากมาย ตัดสินใจวางแผนการมากมาย คิดคำนวณการต่อสู้กับเสี่ยวเต๋อ เซียวจาง โจวทง จงซานอ๋อง เซียงอ๋อง…

เขาถึงขนาดคิดว่าหากต้องสู้กับหวังผ้อจะหาโอกาสสักเล็กน้อยได้อย่างไร

คนที่ชอบอ่านหนังสือ ชอบใช้ความคิด ชอบจดบันทึก ชอบแก้ปัญหา ก็มักจะเตรียมพร้อมมากกว่าคู่ต่อสู้และมักจะได้รับชัยชนะอย่างคาดไม่ถึง

หวังจื่อเช่อเพิ่งเริ่มบำเพ็ญเพียรเมื่อเข้าวัยกลางคน แล้วเหตุใดเขาถึงได้แทบไม่เคยพ่ายแพ้หลังจากก้าวขึ้นสู่เวที

ทำไมตอนที่โก่วหานสือยังอยู่ขั้นทะลวงอเวจีทุกคนถึงเชื่อว่าเขาจะเข้าสู่ขั้นรวบรวมดวงดาวได้สำเร็จ

เฉินฉางเซิงก็เป็นคนแบบนี้เช่นกัน

ดังนั้นเขาจึงสำเร็จเช่นกัน

ความสำเร็จที่พูดถึงนี้ไม่ได้หมายความว่าเขาเอาชนะเสี่ยวเต๋อ แต่หมายความว่าเขาสำเร็จในการทำให้การต่อสู้เป็นไปตามที่เขาอนุมานไว้

ในฐานะยอดฝีมือเผ่าปีศาจรุ่นเยาว์ เสี่ยวเต๋อมีการตอบสนองอย่างรวดเร็วมาก การประเมินสถานการณ์ก็เป็นไปอย่างถูกต้องแม่นยำ

เมื่อกระบี่ของเฉินฉางเซิงที่เปี่ยมไปด้วยเจตจำนงอันเด็ดเดี่ยวแทงเข้ามาที่ร่างของเขา มือซ้ายของเสี่ยวเต๋อก็พุ่งผ่านลมหิมะ ฟาดลงใส่เฉินฉางเซิง

ร่างของเสี่ยวเต๋อแข็งแกร่งยิ่งกว่าหินหรือเหล็ก อาวุธทั่วไปและการโจมตีจากผู้บำเพ็ญเพียรขั้นกลางระดับรวบรวมดวงดาวลงไปไม่อาจทำร้ายเขาได้

แต่เขาไม่รู้ว่ากระบี่ของเฉินฉางเซิงนั้นแหลมคมกว่าที่บรรยายเอาไว้บนอันดับร้อยศาสตรา และความเข้าใจในกระบี่ของเฉินฉางเซิงรวมถึงคุณภาพของปราณแท้นั้นเหนือกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับรวบรวมดวงดาวขั้นต้นมากนัก

เสียงแผ่วเบาดังขึ้น กระบี่สั้นแทงเข้าสู่ฝ่ามือของเสี่ยวเต๋อราวกับกระดาษแข็งตัดลงไปบนก้อนเค้ก แต่ก็ไม่อาจแทงลึกลงไปได้

เสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวดังออกมาจากริมฝีปาก

แม้แต่ตอนนี้ เขาก็ยังเชื่อว่าการตอบสนองของตนเองนั้นถูกต้อง

แม้ว่ากระบี่ของเฉินฉางเซิงอาจแทงทะลุผ่านมือของเขาและแทงเข้าสู่หน้าอกมาได้ ตัวเฉินฉางเซิงเองก็ไม่อาจที่จะจากไปได้ อย่างน้อยก็ชั่วขณะหนึ่ง

เมื่อหมัดของเสี่ยวเต๋อตกลงมา ก็จะบดขยี้ใบหน้าของเฉินฉางเซิงจนกลายเป็นก้อนเนื้อเลอะเลือน

เฉินฉางเซิงไม่อาจเลี่ยงหมัดนี้ได้อย่างแท้จริง หนีไปยิ่งเป็นไปไม่ได้ ต่อให้เขายอมปล่อยกระบี่สั้น ต่อให้เขาใช้ย่างก้าวหยั่งเทวา

เขาเคลื่อนไหวเร็วเกินไป ใช้พลังทั้งหมดลงไป เมื่อเขาตัดสินใจที่จะมุ่งไปข้างหน้าแล้วเขาจะถอยหนีได้อย่างไร ดูเหมือนกับว่าเขาจะส่งตัวเองเข้าหาหมัดของเสี่ยวเต๋อ

แต่หมัดของเสี่ยวเต๋อก็ไม่อาจตกลงบนใบหน้าของเฉินฉางเซิง

ร่มกระดาษที่ดูเก่าโทรมกางออกจากมือซ้ายของเฉินฉางเซิง ร่มกางออกด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าฟาดป้องกันร่างของเขาเอาไว้

หมัดของเสี่ยวเต๋อตกลงบนร่ม

เสียงตุ๊บดังกระหึ่ม!

ร่มโค้งลงแต่ก็ไม่ขาดออก

พลังที่เหนือจินตนาการแผ่ออกมาจากหมัดของเสี่ยวเต๋อเข้าสู่ร่มและเข้าสู่ร่างของเฉินฉางเซิง

พลังอันเกรี้ยวกราดนี้ไม่อาจที่จะยักย้ายถ่ายเทได้ เป็นการแสดงออกถึงความแข็งแกร่งของเสี่ยวเต๋อ เฉินฉางเซิงไม่อาจทนรับไว้ได้และถอยหลังไปหนึ่งก้าว

น้ำแข็งใต้เท้าของเขาแตกเสียงดังเปรี๊ยะ ถนนใต้น้ำแข็งก็เช่นกัน

เลือดคำหนึ่งพุ่งขึ้นจากลำคอ รสชาติค่อนข้างหวาน

กลายเป็นว่าหนึ่งก้าวไม่เพียงพอ

เขาถอยไปอีกก้าว

ก็ยังไม่พอ

ความแข็งแกร่งที่ถ่ายทอดผ่านร่มกระดาษทองนั้นน่าหวาดหวั่นและเกินต้านทาน

เขาถอยหลังอย่างต่อเนื่อง รองเท้าลอยขึ้นจากพื้นประดุจก้อนหินที่ถูกโยนไปในอากาศ

……

……

หมัดของเสี่ยวเต๋อดูง่ายดายแต่บรรจุไว้ด้วยการหล่อหลอมอย่างยากลำบากมาชั่วชีวิต

การโจมตีเต็มกำลังของยอดฝีมือบนประกาศเซียวเหยาน่าหวาดหวั่นอย่างแท้จริง

เฉินฉางเซิงถูกซัดปลิวไป ความเร็วไม่น้อยไปกว่าตอนที่เขาใช้กระบี่สันดาปพุ่งตรงมา

โชคยังดีที่เขาลอยไปเร็วมากจนเขาสามารถหลบเจตจำนงกระบี่ที่แข็งแกร่งด้านหลังได้อย่างหวุดหวิด

อย่างน้อยเขาก็หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บได้ เจตจำนงกระบี่พวกนั้นทิ้งไว้แค่รอยฉีกขาดเล็กน้อยบนเสื้อผ้า

เขาตกลงบนหิมะที่ปลายอีกฝั่งของถนน

ร่างของเขาโอนเอนราวกับจะทรุดลงได้ทุกขณะ

เขาเดินตรงไปอย่างเด็ดเดี่ยว การปะทะครั้งแรกเขาได้โจมตีด้วยกระบี่สันดาปโดยอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวแต่ก็ไม่อาจที่จะเอาชนะได้ เขาถูกบีบให้ต้องถอยหลังหนึ่งก้าว สองก้าว สุดท้ายก็ถอยไปหลายสิบก้าว

เป็นใครก็มองออกว่าเขาพ่ายแพ้อย่างยับเยิน

ทว่าเฉินฉางเซิงไม่คิดเช่นนั้น

เสี่ยวเต๋อก็ไม่คิดเช่นนั้น เพราะเขารู้สึกได้อย่างเลือนรางว่าเฉินฉางเซิงจงใจทำเช่นนี้

การที่เขาหลีกการโจมตีของเจตจำนงกระบี่สิบกว่าสายได้นั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากแต่เป็นการคำนวณเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว

ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เสี่ยวเต๋อไม่ยินดีเป็นอย่างมาก

และตอนที่เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ท้อง ความรู้สึกไม่ยินดีก็ลึกล้ำยิ่งขึ้น

เขาพุ่งผ่านหิมะบนถนนมาพร้อมกับเสียงคำรามอย่างโมโหโทโส

แต่เขาพุ่งใส่ความว่างเปล่า

แสงเจิดจ้าแผ่ออกมาจากกระบี่ไร้ราคี ระเบิดเจตจำนงกระบี่ที่ทะลุทะลวงไปทั้งถนน

เฉินฉางเซิงใช้กระบี่สันดาปอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันก็ใช้ย่างก้าวหยั่งเทวาด้วย

ในครั้งนี้เขาไม่ได้พยายามบุกไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญอีกครั้ง แต่พุ่งผ่านหิมะไปอีกมุมหนึ่ง

เขาเป็นเหมือนกับควันกลุ่มหนึ่ง สายฟ้าเส้นหนึ่ง

ที่ตรงนี้ก็มีกำแพงเช่นกัน แต่กำแพงนี้ไม่ได้บังกิ่งเปลือยเปล่าของต้นไห่ถังและลานบ้านด้านหลัง อันที่จริงไม่มีใครรู้ว่าด้านหลังกำแพงคืออะไร

เฉินฉางเซิงพุ่งผ่านกำแพงนั้นไป

ตามมาด้วยเสียงกำแพงถูกทะลวงชั้นแล้วชั้นเล่าที่ดังก้องไปทั่วถนน

มีลานบ้านและเรือนมากมายบนถนน แต่ไม่มีที่แห่งใดเป็นที่ซึ่งเขาต้องการจะไป

แต่อาคารเหล่านี้ล้วนเชื่อมต่อกันผ่านกำแพง ดังนั้นหากเขาทะลวงผ่านกำแพงต่อไป เขาก็ย่อมต้องพุ่งเข้าสู่สถานที่ซึ่งเขาต้องการจะไป

ลานบ้านที่มีต้นไห่ถัง

เมื่อเขารู้อยู่เสมอว่าลานบ้านแห่งนี้อยู่ตรงไหน ดังนั้นทิศทางของเขาย่อมไม่ผิดพลาด

ถอยหรืออ้อมไปไม่ได้หมายความว่ายอมแพ้ แต่เป็นการเลือกวิธีไปข้างหน้าที่ต่างออกไป

นั่นคือสิ่งที่เฉินฉางเซิงคิด ดังนั้นเขาจึงทำเช่นนี้

ท้องฟ้าพร่างดาวมักสงสารผู้เยาว์ที่กล้าหาญและเตรียมตัวอยู่เสมอ

เขาทำสำเร็จอีกครั้ง

ต้นไห่ถังสะท้อนอยู่ในดวงตา ตามมาด้วยเงาของกระบี่

แสงดาวส่องประกายอยู่ในแขนเสื้อของมือสังหาร เป็นมือสังหารขั้นรวบรวมดวงดาวอีกคนหนึ่ง อาจมาจากหอความลับสวรรค์

แม้อยู่ตรงหน้าการโจมตีที่น่ากลัวและชั่วร้ายเฉินฉางเซิงก็ไม่หยุดหรือลดความเร็วลง

ร่มกระดาษทองกางออกอีกครั้งดังพรึบ กั้นหิมะที่ตกลงมาจากต้นไห่ถังและกระบี่เล่มนั้น

เจตจำนงกระบี่จำนวนเล็กน้อยหลุดผ่านขอบของร่มและฉีกเสื้อผ้าบนไหล่ของเขา

ประกายกระบี่ส่องแสงออกจากมือ ถูกร่มกระดาษทองบดบังเอาไว้ มันสร้างแผลลึกบนลำคอของมือสังหาร

มือสังหารจากหอความลับสวรรค์ล้มลงเอามือกุมลำคอเอาไว้

มือสังหารผู้นี้อาจเคยฆ่าคนมีชื่อเสียงมาหลายคน และหากผู้คนได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาพวกเขาต้องตะลึงเป็นแน่

แต่เฉินฉางเซิงไม่แม้แต่จะเหลียวมองตอนที่เขาพุ่งตรงต่อไป

ไม่ใช่เพราะเขาคุ้นเคยกับมือสังหารที่เก่งกาจที่สุดในโลกกับมือสังหารอันดับสามของโลก

ทว่าเป็นเพราะสิ่งเขาต้องการที่สุดในตอนนี้ก็คือเวลา

เสี่ยวเต๋อสามารถตามมาได้อย่างรวดเร็ว

เซียวจางก็อาจปรากฏตัวขึ้นได้ทุกขณะ

ยอดฝีมือพวกนี้อาจล้อมลานบ้านอีกครั้งได้ทุกขณะ

ที่สำคัญก็คือ หวังผ้อจะสามารถถ่วงเวลาเถี่ยซู่ไว้บนถนนได้นานแค่ไหน

เขาไม่ล่วงรู้

ต้นไห่ถังส่ายไหว ไม่มีใบไม้ให้ร่วงดังนั้นจึงมีแต่กิ่งเปล่าเปลืองหักร่วงลงมากิ่งสองกิ่ง

ในตรอกด้านนอกลานบ้าน เสี่ยวเต๋อส่งเสียงร้องอย่างโกรธเกรี้ยวยาวนาน

ปราณที่ทรงพลังหลายสิบสายพุ่งเข้ามาจากทุกทิศทาง

เฉินฉางเซิงอยู่ที่บันไดหินแล้ว

ด้านบนคือเก้าอี้มีที่เท้าแขน

บนเก้าอี้มีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่

ชายคนนี้สวมชุดขุนนางสีแดงเข้ม

เขาดูเหมือนจะนั่งอยู่ในทะเลเลือด

เขาผู้นั้นก็คือโจวทง