จังหวะที่เฉินฉางเซิงเห็นโจวทง เสียงฟ้าคำรามก็ดังจากถนนด้านหลัง ฟาดลงบนบางแห่งห่างไกลออกไป
เขาสัมผัสได้ถึงการต่อสู้ที่เกิดขึ้นบนแม่น้ำลั่ว สัมผัสได้ถึงกฎเกณฑ์ของโลกที่เปลี่ยนไป และสัมผัสได้ถึงเจตจำนงดาบที่เขามีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิด
ทันทีหลังจากนั้น เจตจำนงดาบก็พังทลาย เจตจำนงดาบใหม่เกิดขึ้นแทนที่
เขาตกใจแล้วก็ตื่นเต้น อีกทั้งยังเข้าใจในสถานการณ์ปัจจุบันชัดเจนขึ้น
สังหารโจวทงเป็นภารกิจที่เขากับหวังผ้อได้ตัดสินใจทำ ตอนนี้หวังผ้อได้กำจัดเถี่ยซู่อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในภารกิจนี้ไปแล้ว ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับเขาแล้ว
ร่างพร่าเลือนพลันสลายไปกลางลมหิมะในลานบ้าน
เฉินฉางเซิงยืมพลังของพายุหิมะเพื่อมาถึงเก้าอี้มีที่เท้าแขน กระบี่สั้นในมือแทงใส่โจวทงที่นั่งอยู่
เจตจำนงกระบี่ของเขานำมาซึ่งแสงและความร้อน
แสงและความร้อนนี้มาจากปราณแท้ที่ลุกไหม้อย่างรุนแรง
ลมเย็นเยียบพัดชุดขุนนางของโจวทงแล้วคลื่นใหญ่ก็พุ่งขึ้นจากทะเลโลหิต
กระบี่ไร้ราคีแทงเข้าใส่คลื่น แทงตรงเข้าสู่ส่วนลึกของทะเลโลหิต
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เฉินฉางเซิงมายังลานบ้านนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพยายามฆ่าโจวทงเช่นกัน
ประสบการณ์ก่อให้เกิดความระวังตัวดังนั้นเขาจึงทำการเตรียมพร้อมมากมายเพื่อเวลานี้
การโจมตีของเขาดูเรียบง่ายแต่มีแผนสำรองมากมายรออยู่เบื้องหลัง
การโจมตีนี้คือเพลงกระบี่รอบรู้ เป็นเพลงกระบี่แถวหน้าท่ามกลางหมู่เพลงกระบี่มากมายนับไม่ถ้วนอย่างแท้จริง
เพลงกระบี่แท้สำนักฝึกหลวง พลองพลิกขุนเขา เก็บเมฆสนธยาจากเพลงกระบี่เวิ่นสุ่ยสามกระบวนท่า ล้วนบรรจุอยู่ในการโจมตีครั้งนี้
และเบื้องหลังการโจมตีนี้ เขาได้เตรียมวิชาขั้นสูงอีกสามวิชาที่ไม่มีใครรู้เอาไว้
ไม่ว่าโจวทงจะตอบโต้อย่างไร ก็ต้องถูกกลืนกินด้วยคลื่นอันเกรี้ยวกราดของสายธารแห่งเพลงกระบี่ที่ไม่มีวันจบสิ้น
บางทีเขาอาจถูกฆ่าด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวนี้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมานั้นนอกเหนือความคาดหมายของเขาอยู่บ้าง
ไม่ใช่เพราะโจวทงพลันทะลวงผ่านอย่างฉับพลันกลายเป็นยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์
หรืออาจารย์ของเฉินฉางเซิงปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลัน
หากแต่เป็นเพราะปฏิกิริยาของโจวทงค่อนข้างประหลาดอยู่บ้าง
ปฏิกิริยาของโจวทงก็คือไม่ทำอะไรเลย
เขาไม่ทำอะไรสักอย่างเดียว
กระบี่สั้นที่แหลมคมหาใดเปรียบแทงผ่านชุดขุนนางเสียบเข้าสู่ท้องของโจวทง ราวกับเป็นโคลนเหลว
บางทีเพราะชุดขุนนางมีสีแดงเหมือนเลือดอยู่แล้ว จึงยากที่จะมองออกว่าโจวทงเลือดไหลหรือไม่
ใบหน้าโจวทงซีดขาว ดวงตาเย็นเยียบอย่างที่สุด กระบี่แหลมคมได้แทงผ่านร่างของเขา ทว่าเขาไม่แสดงความเจ็บปวดเลย
เขามองไปที่เฉินฉางเซิง ดวงตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยันราวกับว่าเขามองดูศพของคนที่โง่เขลา
โจวทงเป็นขุนนางกังฉินผู้มีอำนาจมากมาย ทั้งยังเป็นยอดฝีมือขั้นรวบรวมดวงดาวอีกด้วย
ข่าวที่เฉินฉางเซิงกับหวังผ้อต้องการฆ่าเขาได้แพร่กระจายไปทั่วจิงตูนานแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่เตรียมตัว
ไม่ว่าเฉินฉางเซิงจะเตรียมตัวมามากมายเพียงใด ก็ไม่อาจสังหารโจวทงได้อย่างง่ายดาย
ในตอนที่กระบี่สั่นปักเข้าไปในชุดขุนนางสีแดงเข้ม เฉินฉางเซิงก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
บางทีอาจมีบางอย่างผิดปกติกับเรื่องทั้งหมดนี้ หรือบางทีอาจมีบางอย่างผิดปกติกับตัวโจวทงเอง
จากนั้นร่างของโจวทงก็หายไปต่อหน้าต่อตาเขา
ชุดขุนนางสีแดงเข้มร่วงลงจากเก้าอี้มีที่เท้าแขน
กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นไหลลงมาตามบันไดหินราวกับเลือด กระจายไปจนปกคลุมไปทั่วลานบ้าน
โจวทงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อยู่ตลอดเวลานั้นไม่ใช่ตัวจริง เป็นเพียงแค่เสื้อคลุมเท่านั้น
เขาทำได้อย่างไร เขาสามารถปกปิดจากผู้ใต้บังคับบัญชาได้อย่างไร และสิ่งที่ยากจะเข้าใจที่สุดในเรื่องนี้ก็คือ เขาสามารถปกปิดจากสายตาเฉินฉางเซิงได้อย่างไร
เฉินฉางเซิงเกิดในแสงศักดิ์สิทธิ์ อาบด้วยเลือดมังกร อวัยวะภายในถูกจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ชำระล้าง ดวงตาของเขาสุกใสอย่างที่สุด ค่ายกลและการปลอมตัวใดๆ ล้วนถูกมองออกได้อย่างง่ายดายในสายตาเขา
ดังนั้นก็มีความเป็นไปได้เดียว ที่ถูกหลอกไม่ใช่ดวงตาของเขาทว่าเป็นจิตใจ
ผู้คนรู้ว่าโจวทงนั้นมีวิชาเกี่ยวกับจิตที่น่าหวาดกลัวและสูงล้ำยิ่งเรียกว่าสนอบโรหิต
บางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้อย่างนั้นหรือ
เฉินฉางเซิงย่อมรู้ว่าวิชาทางจิตของโจวทงนั้นแข็งแกร่ง ในที่แห่งนี้เขาเคยต่อสู้กับสนอบโรหิตมาครั้งหนึ่ง และเขาก็เคยสัมผัสมันมาแล้วสองครั้ง
แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าสนอบโรหิตของโจวทงจะแข็งแกร่งเพียงนี้ เหนือล้ำกว่าสองครั้งที่เขาได้ประสบพบเจอมาก่อนหน้านี้ไปมาก
เขาไม่รู้ว่าสองครั้งก่อนหน้านี้ที่เขาสามารถรอดไปจากสนอบโรหิตของโจวทงไปได้อย่างปลอดภัยนั้นเป็นเพราะจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ได้ใช้หยดน้ำชานวดหน้าผากของเขา
แต่ตอนนี้นางจากไปแล้ว ชานั้นก็เย็นชืดแล้ว
……
……
โจวทงไม่อยู่ที่นี่
เป็นธรรมดาที่กระบี่ของเฉินฉางเซิงจะพลาดเป้า
การเตรียมการทั้งหมด วิชากระบี่ทั้งหมดที่เขาซุกซ่อนเอาไว้ แผนการทั้งหมด ล้วนแต่พลาดเป้า
ที่สำคัญที่สุดก็คือจิตใจ ความมุ่งมั่นและความเด็ดเดี่ยวของเขาล้วนพลาดเป้า
ต้นไห่ถังสั่นไหวพร้อมกับเสียงโหยหวนของสายลมเย็นเยียบ เสี่ยวเต๋อแหวกผ่านอากาศมาพร้อมหมัดที่โบยบิน
เฉินฉางเซิงไม่ได้แทงกระบี่ออกด้วยทุกอย่างที่มี ดังนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะดึงกลับมาได้อย่างรวดเร็ว
ลมที่ปั่นป่วนเพราะหมัดนี้ทำให้เสื้อผ้ากระพือพลิ้ว ทำให้การเคลื่อนไหวดูเหมือนเชื่องช้ายิ่ง
แต่ความเชื่องช้านี้ก็เป็นจังหวะที่มั่นคงยิ่ง
เขาพลิกข้อมือและส่ายมือเบาๆ ร่มกระดาษทองในมือซ้ายกางออกอยู่บนบ่า
การเคลื่อนไหวนี้เป็นไปอย่างหมดจดและมีประสิทธิภาพ
หมัดของเสี่ยวเต๋อเคยต่อยใส่ร่มกระดาษทองอีกครั้งหนึ่ง พลังอันไร้ขอบเขตตกลงบนร่ม
เฉินฉางเซิงลอยไปในอากาศราวกับว่าวสายป่านขาด ตกลงสู่ห้องโถงที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน
ร่างของเขาฟาดลงบนกำแพงหินแข็งจากนั้นก็ตกลงบนพื้นเสียงดังโครม
ฝุ่นลอยคลุ้ง อาคารก็พังทลายลงช้าๆ
เขายืนขึ้นจากกองเศษซากบนพื้น
เสี่ยวเต๋อปกคลุมไปด้วยเลือดดูเหมือนกับสัตว์อสูรตัวหนึ่งเดินมาจากด้านหลัง
ยอดฝีมือคนแล้วคนเล่าพุ่งผ่านอากาศ ปรากฏขึ้นบนกำแพงและต้นไม้ห้อมล้อมลานบ้านเอาไว้
แม้แต่คนที่อ่อนแอที่สุดในยอดฝีมือเหล่านี้ก็อยู่ขั้นรวบรวมดวงดาว
พวกเขามาจากกรมต่างๆ ในราชสำนัก กองทัพ หอความลับสวรรค์และบางคนก็เป็นคนของที่แห่งนี้ เป็นมือสังหารของกรมอาญา
โจวทงไม่อยู่ที่นี่
เขาได้ใช้วิชาสนอบโรหิตเพื่อสร้างการหลอกลวงครั้งใหญ่
เห็นได้ชัดว่าวันนี้เป็นกับดัก
เฉินฉางเซิงได้ก้าวเข้าสู่กับดัก
ต่อหน้าความเป็นจริงนี้ คนมากมายต้องงงงันจิตใจสับสน
ต่อให้พวกเขาไม่สับสนงงงัน ก็ต้องรู้สึกพ่ายแพ้อยู่บ้าง
ต่อให้มีความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวเพียงใด การตกสู่กับดักของผู้อื่นย่อมทำให้รู้สึกระแวงระวังอยู่บ้าง
ต่อให้ห้วงแห่งจิตกระจ่างใสเพียงใด สามารถขับไล่ความรู้สึกด้านลบออกไปได้จนหมด ก็ยังอดรู้สึกเสียใจอยู่บ้างไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องอยากรู้ว่าโจวทงอยู่ที่ใดหากไม่อยู่ที่นี่
เฉินฉางเซิงกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น
เขาวางร่มกระดาษทองลง ปักด้ามกระบี่ลงในฝัก จากนั้นก็หันมาเผชิญหน้าเสี่ยวเต๋อและเหล่ายอดฝีมือที่ล้อมเอาไว้
การกระทำของเขาไม่ได้เป็นไปอย่างแตกตื่นหรือสับสน สีหน้าสุขุมอย่างมาก ใบหน้าไม่แสดงความรู้สึกพ่ายแพ้แต่อย่างใด หรือไม่ได้แสดงความกังวลต่อกับดักและแผนการของศัตรู
เขาย่อมไม่เคยจินตนาการว่าโจวทงในลานบ้านจะเป็นตัวปลอม ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่โจมตีอย่างรุนแรงเช่นนั้น
ทำไมตอนนี้เขาถึงไม่สับสนราวกับว่าคาดเดาสิ่งเหล่านี้เอาไว้แล้ว
เสี่ยวเต๋อพบว่าไม่อาจเข้าใจท่าทีของเขาได้และถามออกไป “เจ้าเดาได้?”
เฉินฉางเซิงตอบ “ข้าเคยคิดถึงความเป็นไปได้นี้ แต่การมาถึงที่แห่งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย หากข้าต้องการเข่นฆ่าเข้ามา ข้าไม่อาจคิดถึงความเป็นไปได้ ดังนั้นข้าจึงเลิกคิด”
นี่เป็นคำอธิบายที่ค่อนข้างอ้อมค้อมแต่เสี่ยวเต๋อเข้าใจ
หากเฉินฉางเซิงคิดจริงๆ ว่าโจวทงไม่อยู่ที่นี่ แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่โอกาสเล็กน้อยเท่านั้น เขาก็คงจะไม่บุกเข้ามาอย่างกล้าหาญเช่นนี้
และหากเขาไม่อาจบุกมาไปได้ เขาคงไม่อาจมาถึงที่ลานบ้านแห่งนี้และปักกระบี่เข้าใส่ชุดสีแดงเข้มบนเก้าอี้มีที่เท้าแขนได้
เสี่ยวเต๋อถาม “แล้วเจ้ายังสงบอยู่ได้อย่างไร”
เฉินฉางเซิงอธิบาย “ข้าได้ทำเต็มที่แล้วและก็ไม่มีอะไรให้ต้องละอายดังนั้นข้าจึงสงบใจได้เป็นธรรมดา”
เสี่ยวเต๋อเย้ย “ยังคงเป็นประโยคที่น่าเบื่อนั่น”
“ข้าไม่ได้พูดเรื่องใจข้า ข้าพูดว่าข้าได้ทำตามเป้าหมายสำเร็จแล้ว”
ว่าแล้วเฉินฉางเซิงก็ไอออกมาอย่างเจ็บปวด
แม้ว่าจะมีร่มกระดาษทองป้องกันเอาไว้ กระดูกของเขาก็ยังถูกหมัดทั้งสองครั้งของเสี่ยวเต๋อทำให้หักไปบ้าง
ไม่มีเลือดให้เห็นเพราะเขาได้สั่งสมนิสัยในการซ่อนสิ่งเหล่านี้ในการต่อสู้ อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้วปราณแท้ในเส้นลมปราณของเขาเริ่มเคลื่อนไหวช้าลง
เสี่ยวเต๋อหรี่ตาลงช้าๆ และกล่าว “เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโจวทงอยู่ที่ไหน แล้วเจ้ายังกล้าพูดว่าเป้าหมายของเจ้าสำเร็จแล้วอีกหรือ”
“ไม่มีใครรู้ว่าว่าวที่สายป่านขาดจะตกลงที่ใด แต่เขาไม่ใช่ว่าว เขาเป็นแค่สุนัขที่หวาดกลัวข้าจนต้องไปจากที่แห่งนี้”
“แล้วสุนัขจรจัดตัวหนึ่งจะมีชีวิตรอดอยู่ได้นานแค่ไหนกัน” เฉินฉางเซิงถาม