ภาค 7 ความผันผวนในใต้หล้าเป็นยุคของข้า บทที่ 686 เป้าหมายที่แท้จริง

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ประชากรบนโลกซ้อนโลกมีมากกว่าโลกต่างๆ อย่างโลกแปดพิภพ หรือโลกผืนสมุทรเสียอีก

ในเงื่อนไขด้านจำนวนประชากรที่มหาศาลเช่นนี้ อัจฉริยะที่ปรากฏตัว คนร้ายกาจที่ปรากฏตัว อัจฉริยะในอัจฉริยะที่ปรากฏตัว ย่อมมีมากตามไปด้วย

จอมยุทธ์จากโลกแปดพิภพ หรือโลกผืนสมุทรยังยากจะเชื่อ บุคคลที่มีพรสวรรค์น่าทึ่งซึ่งไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้

ดังนั้นสำหรับเฉินจื้อเหลียงและเหวินลั่วเสีย ซึ่งเป็นคนที่เห็นอัจฉริยะมาจนชิน ต่อให้ตรงหน้านี้จะมีบุคคลสวรรค์ประทานที่ไม่มีผู้ใดเทียบเคียงได้โผล่มาสักคนจริงๆ พวกเขาก็ไม่ถือเป็นเรื่องสำคัญอยู่ดี

สาเหตุง่ายมาก อัจฉริยะในทุกวันนี้ เมื่อไปถึงวันพรุ่งนี้ ใช่ว่าจะไม่ถูกกลืนไปกับคนส่วนใหญ่

มีเพียงแต่การเปลี่ยนพรสวรคค์และความสามารถของตัวเองให้กลายเป็นพลังอย่างแท้จริงเหมือนที่คนทั่วไปคาดเอาไว้เท่านั้น ความเป็นอัจฉริยะจึงจะสะท้อนออกมาอย่างคุ้มค่า

แต่ปัญหาก็คือ คนที่โผล่ขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา มีพลังฝึกปรืออยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์!

จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ที่อายุไม่ถึงสามสิบปี!

ต่อให้เจิ้งหมิงกับเฉินจื้อเหลียงจะเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะสำแดง ไม่รู้ว่ามีพลังเหนือกว่าจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นรวมรูปทั่วไปขนาดไหน

แต่พวกเขาก็ไม่อาจมองคนหนุ่มที่เลื่อนจากขั้นบรรลุธรรมเป็นระดับศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังมีพรสวรรค์น่าทึ่งเหลือประมาณคนหนึ่งเป็นคนธรรมดาได้

นี่หมายความว่า นอกจากอัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์แล้ว คนหนุ่มตรงหน้านี้อาจจะมีผลสำเร็จและวาสนายิ่งใหญ่

ในอีกความหมายหนึ่ง แค่ความปราดเปรื่องเหล่านี้ ก็ทำให้ผู้คนให้ความสำคัญแล้ว

ถึงอย่างไร พรสวรรค์ก็อาจถูกทิ้งขว้างและลดทอนให้หมดไปได้

เจิ้งหมิงกับเฉินจื้อเหลียงนาทีนี้สนใจในตัวเยี่ยนจ้าวเกอมากกว่าเดิม

แต่ว่าพวกเขาสงบสติอารมณ์อย่างรวดเร็ว สลัดความคิด สีหน้ากับสายตาสงบนิ่งลง มาตราว่าจิตใจจะตื่นตระหนกขนาดไหนก็ไม่เผยออกมาอีก

หลังจากทั้งสองฝ่ายคำนับกันแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอกลับมองไป๋จื่อหมิงด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย

พลังเลื่อนเป็นขั้นเทวะ ลอยขึ้นมาจากโลกเบื้องล่าง ตามที่เยี่ยนจ้าวเกอรู้ในตอนนี้ บนโลกซ้อนโลกมีคนเช่นนี้อยู่ไม่น้อย

ถึงขั้นที่มีบางคนลงหลักปักฐาน ตั้งสำนักสร้างพรรค ทั้งยังสร้างชื่อเสียงขึ้น

นอกจากไป๋จื่อหมิงแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอยังสำรวจเหวินลั่วเสียด้วย

อีกฝ่ายดำลงไปที่ก้นทะเลของทวีปจิ่งชิงเพราะอะไรกันแน่ เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดมาโดยตลอด

ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เหวินลั่วเสียจะถูกขังไว้ ทว่านางได้อะไรมาแล้วหรือไม่ กลับยังไม่รู้

กระนั้นแม้จะช่วยอีกฝ่าย คำถามพวกนี้กลับไม่ควรเอ่ย ถึงอย่างไรทั้งสองฝ่ายก็เพิ่งจะรู้จักกันเป็นครั้งแรก

พวกเจิ้งหมิงสงสัยสถานการณ์ของเยี่ยนจ้าวเกอเช่นกัน แต่ไม่กล้าละลาบละล้วง

พวกเจิ้งหมิงค่อนข้างให้ความสำคัญกับเยี่ยนจ้าวเกอ ไม่ได้ถือตัว หรือทำอะไรไร้มารยาท

พวกเขาเชิญให้สหายของเยี่ยนจ้าวเกอขึ้นเรือเช่นกัน ตัวเขาเห็นว่าไม่มีปัญหาอะไร จึงไม่ได้บอกปัด เพียงเก็บกลิ่นอายของวังฝูงมังกร จากนั้นก็เก็บวังประหลาดนั้นอย่างระมัดระวัง

หลังจากเฟิงอวิ๋นเซิงขึ้นเรือ สีหน้าของเจิ้งหมิงก็สั่นไหวเล็กน้อย มองนางด้วยความสงสัย

บนตัวสตรีนางนี้เหมือนมีตัวตนประหลาดบางอย่างที่ทำให้เขามองไม่ออกในทันที

“สหายของท่าน หรือว่าจะร่ำเรียนวิชาวรยุทธ์กับบิดาของท่านด้วย?” เจิ้งหมิงถามด้วยรอยยิ้ม

เยี่ยนจ้าวเกอมองเฟิงอวิ๋นเซิง พูดกลั้วหัวเราะ “นี่คือภรรยาข้า”

เจิ้งหมิงกับเฉินจื้อเหลียงอดหัวเราะไม่ได้ “ที่แท้เป็นเช่นนี้ พวกเราเข้าใจผิดเสียแล้ว เพียงแต่เห็นนางแต่งตัวแบบหญิงสาว ดังนั้น…”

“ยังไม่ได้แต่งงาน แต่ได้หมั้นหมายกันแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวยิ้มๆ

เฟิงอวิ๋นเซิงยิ้มพลางคำนับทุกคน “คำนับผู้อาวุโสทุกท่าน”

พวกเจิ้งหมิงพยักหน้าเล็กน้อย เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยว่า “เป็นศิษย์น้องร่วมสำนักของข้า แต่พวกเราไม่ได้มีอาจารย์คนเดียวกัน นางเป็นศิษย์ของอาจารย์ป้าของข้า”

คำพูดของเขามีทั้งจริงทั้งลวง ทำให้อีกฝ่ายไม่เห็นตื้นลึกหนาบาง

พวกเจิ้งหมิงอดกังขาในการปรากฏตัวขึ้นที่ทะเลหวง และเขตหยางเทียนตะวันออกเฉียงใต้อย่างกะทันหันของบุคคลที่มีความสมารถล้ำเลิศ ซึ่งปัจจุบันกลับไม่มีใครรู้จักผู้นี้ไม่ได้

หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เฉินจื้อเหลียงก็ตัดสินใจลงลึกในหัวข้อสนทนามากขึ้น “สหายเยี่ยนเหมือนจะไม่ใช่คนของทะเลหวงเจียใช่หรือไม่?”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม ตอบตามตรง “มาที่นี่ได้ราวๆ หนึ่งปีแล้ว”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ชายหนุ่มก็หยุด ไม่ได้บอกเล่าต่อ

ไม่ได้กล่าวโกหก แต่ก็ไม่ได้เผยข้อมูลอย่างอื่น

เฉินจื้อเหลียงอดไม่พอใจและอดขบขันไม่ได้ หากเจอคนทั่วไปที่ทำตัวเจ้าเล่ห์กับเขาขนาดนี้ คงถูกเขาตบติดพื้นไปนานแล้ว

ต่อให้อีกฝ่ายเมื่อครู่เพิ่งช่วยพวกตน ทำให้เหวินลั่วเสียรอดจากอันตราย แต่ความแตกต่างด้านตำแหน่งทางสถานะและพลังของทั้งสองฝ่ายก็ยังมีอยู่

ถ้าหากมีความคิดจะเอาทุกอย่างที่ต้องการจากการทวงบุญคุณ เช่นนั้นก็คิดผิดแล้ว

คนที่มีอำนาจเคยชินกับการส่งสัญญาณหรือออกคำสั่งเพื่อควบคุมสถานการณ์ พวกเขาเข้าหาคนง่าย แต่ถ้าหากคนที่มีตำแหน่งต่ำกว่าคิดจะทำตัวเสมอพวกเขาจริงๆ ผลลัพธ์ไม่มีทางจบสวย

เป้าหมายที่คนซึ่งเคยชินกับการออกคำสั่งยินดีสนทนาแบบเสมอภาคจริงๆ สุดท้ายก็คือคนที่มีพลังใกล้เคียงกัน

แต่เยี่ยนจ้าวเกอได้พิสูจน์ตัวเองแล้ว

ต่อให้เบื้องหลังของเขาไม่มีที่พึ่งใดๆ ทั้งสิ้น พึ่งแค่ตัวเอง ท่าทีของพวกเจิ้งหมิงก็ยังใจกว้างกว่าคนทั่วไปอยู่ดี

บุคคลที่มีความสามารถน่าทึ่งเช่นนี้ ถ้าหากไม่มีเบื้องหลัง กลับได้รับการต้อนรับจากพวกเจิ้งหมิงยิ่งกว่าเดิม เพราะตัวเขามีคุณค่าและความเป็นไปได้ที่จะถูกดึงเป็นพวก

แน่นอนว่าความอดทนก็มีจำกัด ไม่มีทางอดทนได้ตลอด

เยี่ยนจ้าวเกอรักษาความพอดีนี้ไว้ ดังนั้นจึงไม่แต่งเรื่องโกหกอีกฝ่าย หากจบเรื่องอีกฝ่ายตรวจสอบจากช่องทางอื่น อย่างไรคำพูดทุกคำในการสนทนาวันนี้ก็ล้วนเชื่อได้จริงๆ

เฉินจื้อเหลียงหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ไม่ค่อยเชื่อเท่าไร หมายจะสอบถามตรงๆ

ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอกลับหลบเลี่ยง เปลี่ยนหัวข้อสนทนา

เฉินจื้อเหลียงจุ๊ปากชมเชย กลับไม่สืบสาวต่อ ไม่เช่นนั้นจะเป็นการฉีกหน้าจริงๆ

เจิ้งหมิงคอยสังเกตอยู่ด้านข้าง รู้สึกสนใจเช่นกัน

เขาเอ่ยปากเปลี่ยนหัวข้อ “พวกเราน้อยครั้งจะมาที่ทะเลหวงเจีย กลับรู้ว่าไม่นานมานี้ทะเลหวงเจียไม่สงบนัก ราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋อง สำนักแสงสว่าง และสำนักความมืดล้วนต่อสู้กันมาโดยตลอด ทั้งสองฝ่ายกินกันไม่ลง ราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องได้เปรียบเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ยังทำลายหอสักการะหลักสำนักความมืดไปแล้ว”

“เพียงแต่ไม่รู้ว่า รูปการณ์เป็นอย่างไร?”

เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สถานการณ์คร่าวๆ ไม่ต่างจากที่ท่านรู้มากนัก ราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องตอนแรกอยู่ในสภาพเลวร้าย แต่ว่าผู้สืบทอดของผู้วิเศษเซิงที่เคยยกทัพมาทะเลหวงเจียกับเสวียนเหวินอ๋องในอดีต ออกสำนักมาช่วยสู้ ดังนั้นจึงพลิกจากแพ้เป็นชนะ”

พวกเจิ้งหมิงและเฉินจื้อเหลียงพยักหน้าเล็กน้อย สีหน้าไม่ปรากฏแววเหนือความคาดหมาย เห็นได้ชัดว่ารู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว

“แต่ไม่นานมานี้ เหมือนจะมียอดฝีมือคนอื่นมาช่วยเหลือราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องด้วย ข้าไม่รู้จัก แต่คล้ายจะเชี่ยวชาญค่ายกล” เยี่ยนจ้าวเกอพูดต่อ

“ได้ยินคนในท้องที่บอกว่า คนที่เข้ามายังทะเลหวงเจียพร้อมกับเสวียนเหวินอ๋องและผู้วิเศษเซิง ยังมีนักพรตสืออีกคน เขาเป็นปรมาจารย์ด้านค่ายกล แต่กลับไม่รู้ว่ายอดฝีมือด้านค่ายกลที่ข้าพบเป็นผู้สืบทอดหรือไม่”

เจิ้งหมิงกับเฉินจื้อเหลียงมองหน้ากัน ในฐานะลูกศิษย์ของประมุขตงหนาน พวกเขารู้เรื่องที่คนไม่รู้มากมาย

ในอดีต เสวียนเหวินอ๋อง ผู้วิเศษเซิง และนักพรตสือเข้ามายังเขตหยางเทียนตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งยังหยั่งรากบนทะเลหวงเจีย เรื่องนี้ได้รับการอนุญาติอย่างเงียบๆ จากประมุขตงหนาน เหมือนด้านหลังจะยังมีเงาของบุคคลที่ยิ่งใหญ่คนอื่นอยู่ด้วย

แต่ว่าอีกฝ่ายทำเพราะอะไร กลับไม่รู้

ถึงแม้ว่าในตอนแรกจะมีเหตุผล แต่นั่นเป็นเป้าหมายแท้จริงของพวกเขาหรือ?