หลิงตู้ฉิงรู้สึกว่ามันจะเป็นการดีกว่าที่ตัวตนของเขาจะรู้ไปถึงหูของผู้ปกครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์โดยตรง เพื่อที่เขาจะได้ลดความเสี่ยงในการเผชิญหน้ากับราชาปีศาจหกปรารถนาที่งานคัดเลือก
ทางด้านของหลูเหลียง เมื่อเห็นว่าหลิงตู้ฉิงไม่ค่อยจะทุกข์ร้อนในคำเตือนของเขาสักเท่าไหร่ เขาจึงขอตัวกลับในทันที
ถึงแม้ว่าพวกเขาทั้งคู่จะเป็นคู่ค้าที่ดีต่อกัน แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ยังไม่สนิทถึงขั้นเรียกว่าสหาย ดังนั้นมันจึงไม่จำเป็นที่เขาจะต้องเป็นเดือดเป็นร้อนแทนอะไรมากนัก
หลังจากหลูเหลียงจากไป หลิงตู้ฉิงก็วานให้คนของสำนักเงามายาช่วยปล่อยข่าวว่าเนื้อปลาเจ็ดสีที่เขามีอยู่นั้นถูกแลกเปลี่ยนออกไปจนหมดแล้ว เพื่อที่จะได้ไม่มีใครมารบกวนเขาอีกในอนาคต
ทางฝั่งของสำนักเงามายาก็ยอมร่วมมือปล่อยข่าวให้กับหลิงตู้ฉิงเป็นอย่างดี ในขณะเดียวกับที่พวกเขาก็จดจ่อกับวันเวลาที่ค่อย ๆ เข้าใกล้งานคัดเลือกไปทุกขณะด้วยความกังวลใจ เนื่องจากปัญหาของอุลบายังไม่ได้รับการแก้ไขเพราะหลิงฟ่างหัวยังไม่นำเลือดทรราชสวรรค์กลับมาสักที..
ในระหว่างที่รอหลิงฟ่างหัวได้เกือบปีและนางยังไม่กลับมา หลิงตู้ฉิงจึงตัดสินใจฆ่าเวลาโดยการนำไข่หินออกมาศึกษา
อันที่จริงก่อนหน้านี้เขาก็พยายามลองใช้ทุกวิธีการกระตุ้นไข่ใบนี้เพื่อดูปฏิกิริยาของมัน แต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะเป็นวิธีการไหนมันก็ไม่ได้ผลทั้งหมด
มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลิงตู้ฉิงถึงขนาดเอาง้าวเทวะพินาศจำลองขึ้นมาลองฟันมันด้วยซ้ำ แต่ผลที่ได้รับกลับทำให้เขาตื่นตะลึงยิ่งกว่า เนื่องจากแม้แต่ง้าวเทวะพินาศจำลองยังไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับเปลือกไข่ได้เลย สิ่งที่มันทำได้ก็เป็นเพียงทิ้งรอยข่วนจาง ๆ ไว้บนเปลือกไข่ก็เท่านั้น
“นี่มันไข่บ้าอะไรกันแน่?” หลิงตู้ฉิงเริ่มรู้สึกหมดความอดทน “ในเมื่อเจ้ายังดื้อดึงไม่ตอบกลับข้าเลยแบบนี้ เจ้าก็อย่าได้โทษข้าที่จะใช้เพลิงระดับศักดิ์สิทธิ์ย่างเจ้า!”
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็หยิบเอากงล้อเบญจธาตุขึ้นมาวางไว้ที่พื้นและโยนไข่หินใบนี้ลงไปตรงช่องที่เขาใช้เก็บเพลิงแรกกำเนิด ซึ่งความรุนแรงของเปลวเพลิงนี้ต่อให้เป็นแค่ประกายเล็ก ๆ ของมันก็มีอำนาจเพียงพอที่จะมอดไหม้ท้องฟ้าหรือทำให้น้ำทั้งมหาสมุทรเดือดได้อย่างสบาย ๆ
เมื่อหลิงตู้ฉิงโยนไข่ลงไปแล้วเขาก็รอดูว่าไข่ใบนี้จะมีปฏิกิริยาตอบกลับอะไรบ้าง
แต่แล้วหลังจากที่เวลาผ่านไปพักใหญ่ แต่ไข่หินก้ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับอะไรเลย หลิงตู้ฉิงจึงออกคำสั่งกับดอกไม้เทวะหยินหยางว่า “หยินหยาง จงใช้พลังหยินหยางสลับคืนและพลังเพลิงศักดิ์สิทธิ์หกหยางของพวกเจ้าย่างไอ้ไข่บ้านี่ให้ข้าที! ข้าไม่เชื่อว่ามันจะสามารถทานทนได้กับพลังของพวกเจ้าที่รวมกับพลังของเพลิงแรกกำเนิด!”
ดอกไม้เทวะหยินหยางและสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ต้นอื่น ๆ ต่างก็มองไปที่ไข่หินประหลาดที่ทนขนาดนี้ด้วยสายตาสงสัยว่ามันคือไข่อะไรกัน?
จากนั้นดอกไม้เทวะหยินหยางก็ใช้พลังหยินหยางสลับคืนและพลังเพลิงศักดิ์สิทธิ์หกหยางของพวกมันปกคลุมไปที่ไข่หิน ซึ่งในคราวนี้เพียงครู่เดียวเท่านั้น ไข่หินก็มีปฏิกิริยากระเด้งกระดอนไปมาพร้อมกับส่งอักขระโบราณบางอย่างลอยออกมาจากเปลือกไข่
“อย่างน้อย ๆ ก็นับได้ว่าเจ้ายังฉลาดอยู่บ้าง!” หลิงตู้ฉิงพ่นลมหายใจด้วยความหงุดหงิด “หยินหยางพอได้แล้ว มันยอมพวกเราแล้ว!”
อักขระโบราณที่ไข่หินส่งออกมานั้นคือภาษาเต๋าโบราณ ซึ่งถ้าหากไม่ใช่ผู้ที่มีความสามารถสูงพอจะไม่มีวันเข้าใจความหมายของภาษาเต๋าแบบนี้ได้เลย
“แม่น้ำมหาดารามันเป็นสถานที่แบบไหนกัน?” ดอกไม้เทวะหยินหยางถามขึ้น
เมื่อครู่ดอกไม้เทวะหยินหยางก็เห็นอักขระเต๋าที่ไข่หินส่งออกมาและมันก็อ่านออกเช่นกัน ซึ่งทำให้มันได้รู้ว่าไข่หินได้ยอมจำนนต่อหลิงตู้ฉิงเรียบร้อยแล้ว แถมยังบอกสถานที่ซ่อนสุดยอดสมบัติให้กับหลิงตู้ฉิงรู้อีกต่างหาก ซึ่งสถานที่ซ่อนสมบัตินั้นก็คือที่แม่น้ำมหาดารา
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับว่า “แม่น้ำมหาดาราไม่ได้อยู่ที่โลกเบื้องล่างแห่งนี้หรอก แต่น่าแปลกใจจริง ๆ ที่ไอ้เจ้าไข่นี่มันก็รู้จักแม่น้ำมหาดาราด้วยเหมือนกัน ดูเหมือนว่าที่มาของมันจะไม่ธรรมดาเอาซะเลยจริง ๆ เอาล่ะไว้รอในอนาคตเมื่อข้าพร้อมเมื่อไหร่ ข้าค่อยไปที่แม่น้ำมหาดาราก็แล้วกัน ถึงแม้ว่าที่นั่นจะมีน้อยคนนักที่กล้าไปเหยียบแต่สำหรับข้าแล้วมันก็แค่สถานที่หนึ่งที่ไม่ได้อันตรายมากไปกว่าสถานที่อื่น ๆ ที่ข้าเคยไปมาในชีวิตก่อนหรอก!”
อันที่จริงต่อให้หลิงตู้ฉิงอยากจะไปตอนนี้ เขาก็ไปไม่ได้อยู่ดีเพราะเขาไม่มีความแข็งแกร่งเพียงพอ ส่วนไข่หินนั้นเมื่อมันยอมจำนนต่อเขาแล้ว เขาจึงไม่สนใจมันอีกและเก็บมันไป
ครึ่งเดือนต่อมาในที่สุดหลิงฟ่างหัวก็กลับมาถึง ซึ่งรวมระยะเวลาที่นางใช้เวลาเดินทางก็เกือบ 1 ปีเต็ม
แต่ขากลับมารอบนี้มีใครอีกคนที่ตาม หลิงฟ่างหัวมาด้วยเช่นกันซึ่งคน ๆ นั้นก็คือ มี่ไล
แต่การเจอกันครั้งนี้สายตาของมี่ไลที่มองหลิงตู้ฉิงกลับเปลี่ยนไป กลายเป็นมีทั้งรักและชิงชังอยู่ในเวลาเดียวกันในแววตาของนาง ซึ่งมันสังเกตเห็นได้ง่ายมาก
อันที่จริงไม่ใช่แค่เพียงสายตาของนางที่เปลี่ยนไป กิริยาท่าทางของนางก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
กิริยาท่าทางการแสดงออกของนางต่อสิ่งรอบกายในตอนนี้มันกลายเป็นเหมือนกับหลิงตู้ฉิงในตอนแรก ๆ ก่อนสำเร็จเต๋าตู้ฉิงแบบไม่มีผิดเพี้ยน หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือนางทำตัวราวกับว่าทุกอย่างบนโลกใบนี้ช่างต่ำต้อยกว่าตัวนางเองไปทั้งหมด
“เจ้ามาแล้ว!” หลิงตู้ฉิงหัวเราะพร้อมกับอ้าแขนส่งสัญญาณให้นางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขา “มาเร็ว มาให้ข้าได้ดูเจ้าหน่อยว่าตอนนี้เจ้าพัฒนาไปถึงไหนแล้ว”
“ฮึ่ม!” มี่ไลพ่นลมหายใจ “ 10 กว่าปีแล้วที่ท่านไม่กลับไปที่บ้านสักที ท่านไม่คิดถึงข้าบ้างรึไงกัน!?”
ถึงแม้ว่าสายตาของนางจะมีทั้งชิงชังและรักผสมปนเปกันไป แต่นางก็ยังคงทำตัวเชื่อฟังและโผเข้ากอดหลิงตู้ฉิงอยู่ดี
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “กลับสิ ทำไมข้าจะไม่กลับ แต่เผอิญว่าธุระของข้ายังไม่เสร็จเลยข้าจึงยังไม่อาจกลับไปได้ ว่าแต่ข้ารู้สึกประหลาดใจมากเลยที่เจ้าออกมาหาข้าแบบนี้”
ทั้งคู่ต่างกอดกันแน่นและกระซิบกระซาบกันราวกับว่าพวกเขาไม่สนใจเลยว่าจะมีใครมองพวกเขาอยู่ในตอนนี้
หลิงฟ่างหัวที่รู้สึกว่านางทนดูไม่ได้อีกต่อไป นางจึงสร้างม่านพลังปิดกั้นบริเวณที่หลิงตู้ฉิงและมี่ไลอยู่เพื่อให้พวกเขาได้ใช้เวลาส่วนตัวกันได้อย่างเต็มที่
อันที่จริงแล้วบรรดาคนในครอบครัวทุกคนที่อยู่กับมี่ไลในคฤหาสน์สราญรมย์ก็สังเกตเห็นได้ถึงความเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงของนางเหมือนกัน แต่ในเมื่อความทรงจำของมี่ไลยังดูสมบูรณ์ดีอยู่เหมือนเดิม ดังนั้นพวกเขาจึงไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นกับมี่ไลกันแน่
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมี่ไลรู้ว่าหลิงฟ่างหัวจะกลับมาหาหลิงตู้ฉิงที่เขตแดนอุดรทมิฬอีกรอบ นางก็ออกจากการปิดด่านในทันทีและยืนยันว่าจะติดตามมาด้วยให้ได้ ซึ่งด้วยกลิ่นอายของนางที่เปลี่ยนแปลงไปราวกับว่านางมีอำนาจพอจะบงการทุกสิ่งอย่างได้ คนที่อยู่ในคฤหาสน์สราญรมย์จึงไม่มีใครกล้าห้ามนางเลยสักคน
ส่วนความแข็งแกร่งของมี่ไล ในตอนนี้ทุกคนต่างก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่านางอยู่ในระดับสวรรค์สามัญ แต่มันกลับมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ทุกคนรู้สึกได้ว่าหากนางลงมือต่อสู้จริง ๆ แล้วความแข็งแกร่งของนางคงเหนือกว่าระดับการบ่มเพาะของตัวนางเองไปแบบสุดกู่เลยทีเดียว