บทที่ 3029 ผู้บงการอยู่เบื้องหลังเผยตัว
จู่ๆ คล้ายว่ากู้ซีจิ่วจะนึกถึงอะไรขึ้นมาได้ มือข้างหนึ่งกุมข้อมือเขาไว้ ผ่านไปครู่หนึ่ง สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน “ไม่น่าเชื่อว่าท่านจะเข้ามาอย่างหมดจดสมบูรณ์ ไม่เหลือวิญญาณสักเสี้ยวไว้เฝ้าร่างเลย!”
เทพสามารถถอดวิญญาณไปยังสถานที่อื่นได้ แต่ตอนที่ถอดวิญญาณจะต้องทิ้งวิญญาณเสี้ยวหนึ่งไว้ในร่าง รักษาการทำงานพื้นฐานของอวัยวะภายในร่างไว้ มิเช่นนั้นร่างกายจะคล้ายสิ้นชีพ ถ้าล่วงเลยนานไปเพียงเล็กน้อย อวัยวะต่างๆ จะล้มเหลวไปหมด ถึงขั้นที่ร่างจะตายตกไปจริงๆ…
วรยุทธ์ตี้ฝูอีลึกล้ำ แต่ถ้าถอดวิญญาณออกมาจนหมดสิ้นเช่นนี้ ร่างกายก็ยืนหยัดอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งวันแล้ว!
ซ้ำที่นี่ยังร้อนแล้งอย่างยิ่ง ร่างกายก็ยิ่งเปื่อยเน่าเร็วยิ่งขึ้น…
กู้ซีจิ่วร้อนรนยิ่ง “ท่านกระทำการรอบคอบรัดกุมเสมอมา เหตุใดครานี้จึงประมาทเช่นนี้เล่า?” เธอสูดลมหายใจเข้าแล้วเข้าอีก “พวกเราจะต้องรีบออกไปโดยเร็ว!”เธอใช้มือเคาะเขตแดนคุ้มกันอันเล็กที่โอบคลุมพวกเขาอยู่ “ท่านสลายสิ่งนี้ก่อน ข้าจะออกไปค้นหาต่อ”
ตี้ฝูอีกลับรั้งเธอไว้ “ร่างกายเจ้ามีบาดแผล พักอยู่ที่นี่ก่อนเถอะ ข้าจะไปตรวจสอบเอง” เรือนกายไหววูบ ออกจากเขตแดนคุ้มกายทันที จมลงสู่วารีทมิฬ…
หัวใจทั้งดวงของกู้ซีจิ่วแทบจะกระเด้งออกมาแล้ว หวาดหวั่นว่าเขาจะถูกลวก ต่อมาได้เห็นเขาก่อเขตแดนคุ้มกายอันน้อยๆ ขึ้นมาถึงค่อยวางใจหน่อย
หนึ่งชั่วยามผ่านไป ตี้ฝูอีก็กลับมา
กู้ซีจิ่วไม่พูดจาพร่ำทำเพลงอันใดก็ตรวจสอบร่างเขาเลยว่ามีแผลถูกลวกหรือไม่ พบว่าผิวหนังเขาแค่แดงขึ้นมาเล็กน้อย ไม่ได้ถูกลวกจนพุพองขึ้นมา ในที่สุดถึงได้วางใจ “เป็นยังไงบ้าง?”
สีหน้าของตี้ฝูอีซีดเซียวอย่างยิ่ง ค่อยๆ ยื่นมือออกมา กอดเธอไว้แน่น สูดหายใจเบาๆ คราหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “ซีจิ่ว ขอโทษนะ!”
“หือ?”
“เกรงว่าครั้งนี้พวกเราคงออกไปไม่ได้จริงๆ แล้ว! คุกวารีระโหยนี้กลายสภาพมาจากวิญญาณอาฆาตนับหมื่นนับพัน นอกเสียจากพวกเราจะสวดส่งวิญญาณอาฆาตทั้งหมดไปในคราวเดียวเสีย มิเช่นนั้นก็ไม่มีทางทำลายได้”
กู้ซีจิ่วนิ่งงันไป
“ตอนที่ข้าเข้ามา ทะเลทรายแห่งนี้เริ่มกลืนกินบ้านเมืองที่อยู่รอบข้างแล้ว ประชาชนนับไม่ถ้วนถูกม้วนกวาดเข้ามา ทั้งหมดล้วนกลายเป็นวิญญาณอาฆาต ตอนนี้ยังคงถูกกวาดม้วนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง กระแสน้ำจึงปั่นป่วนเป็นธรรมดา…คุกวารีระโหยนี้มีแต่จะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กว้างขวางขึ้นเรื่อยๆ สวดส่งได้ยากขึ้นเรื่อยๆ…”
ตี้ฝูอีหลับตาลงนิดๆ โอบเธอแน่นขึ้นกว่าเดิม “ซีจิ่ว ขอโทษนะ ข้ายังทะนงตนเกินไป”
กู้ซีจิ่วไม่พูดอะไร
เธอยังไม่ถอดใจในที่สุดเธอก็นึกเคล็ดอาคมชุดนั้นแบบเต็มชุดได้แล้ว ผลคือหลังจากสำแดงออกมาอย่างเปี่ยมด้วยความหวัง กลับพบว่าอาคมนี้คือการสร้างเขตแดน ถึงแม้เขตแดนที่สร้างขึ้นใหม่จะค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่ก็ต้านทานการกัดเซาะของวารีทมิฬไม่ได้อยู่ดี…
เขาและเธอล้วนพึ่งพาอาศัยเขตแดนนั้นที่ตี้ฝูอีก่อขึ้นมา แต่เขตแดนนี้ถูกวารีทมิฬกัดเซาะมานานขนาดนี้แล้ว คลอนแคลนล่อแหลมแล้ว เสี่ยงจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ
สุดท้ายแล้ว ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ถอดใจแล้ว
เธอซุกอยู่ในอ้อมแขนของตี้ฝูอี มองคุกวารีทมิฬแผ่ขยายออกไปรอบข้างเรื่อยๆ ลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ แล้วหลับตาลงนิดๆ “ฝูอี ข้าขอโทษนะ เป็นข้าที่สร้างความเดือดร้อนให้ท่าน...ท่านว่า ผู้บงการอยู่เบื้องหลังคนนั้นเป็นใครกัน? เพียงน่าเสียดายที่ควานตัวเขาออกมาไม่ได้…”
ตี้ฝูอีตอบอย่างสงบสามคำ “ฟั่นเชียนซื่อ”
กู้ซีจิ่วฉงน “รู้ได้อย่างไร?”
“ผู้ที่ใช่วิชาเกลาวิญญาณได้มีเพียงฟั่นเชียนซื่อ นี่คือข้อแรก ข้อสอง ความสามารถในการนำวิญญาณอาฆาตนับหมื่นมาหล่อหลอมเป็นคุกวารีระโหยเป็นทักษะของอนุเทพในอดีต เท่าที่ข้าสืบทราบมา เมื่อหลายหมื่นปีก่อน ฟั่นเชียนซื่อมีความสัมพันธ์ส่วนตัวไม่เลวเลย ทักษะนี้น่าจะเป็นอนุเทพที่สอนให้ฟั่นเชียนซื่อ ส่วนฟั่นเชียนซื่อก็นำมาสอนให้จิตมารตนนั้น ข้อที่สาม และเป็นข้อที่สำคัญที่สุด ฟั่นเชียนซื่อต้องการจะสังหารข้าอย่างแท้จริง หรือไม่ก็ต้องการกักขังข้าไว้ตลอดกาล ตอนนี้ ในที่สุดเขาก็บรรลุเป้าหมายแล้ว…”
“ฮ่าๆๆ ตี้ฝูอีช่างสมกับที่เป็นตี้ฝูอี ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะคาดเดาทั้งหมดออกมาได้! เพียงแต่ สายไปแล้ว!” เสียงหนึ่งพลันแว่วเข้ามา พร้อมๆ กับเสียงนี้ ฟั่นเชียนซื่อก็ปรากฏตัวขึ้นด้านนอกคุกวารีระโหยอย่างสง่า
————————————————————————————-
บทที่ 3030 ทั้งหมดที่ข้ากล่าวไปเมื่อครู่เจ้ายอมรับแล้วใช่ไหม
เสื้อคลุมสีดำตัวหลวมโคร่งที่มืดดำลึกล้ำดุจรัตติกาล บนเสื้อคลุมสีดำแซมไหมเงินเข้มเป็นลวดลายขุนเขาสายนที เมื่อเขาร่อนลงสู่พื้นอย่างพลิ้วไหว อาภรณ์ก็โบกสะบัดไปตามสายลม ราวกับบรรพตนทีธานีได้กระเพื่อมไหวไปตามการเคลื่อนไหวของเขาด้วย
เกศาดำใช้ปิ่นหยกขาวด้ามหนึ่งเสียบตรึงไว้ ร่างกายเขาดำสนิทตั้งแต่หัวจรดเท้า มีเพียงดวงหน้านั้นกับปิ่นหยกที่เป็นสีขาว ขับเน้นให้ส่วนที่ขาวก็ยิ่งขาวขึ้นไปอีก ส่วนที่ดำก็ยิ่งดำขึ้นไปอีก
รูปโฉมเลิศล้ำเป็นหนึ่งมิมีสอง บุคลิกสูงส่งหลุดพ้นโลกีย์ มองจากเครื่องหน้าและท่าทีแล้วดูราวกับคุณชายสูงศักดิ์ท่ามกลางกลียุค แต่ถ้าดูจากอำนาจบารมีกลับดูเหมือนผู้เป็นราชัน ในความหล่อเหลาแฝงความทรงอำนาจไว้
กู้ซีจิ่วเพิ่งเคยพบเขาในรูปแบบนี้เป็นครั้งแรกชัดๆ แต่ในความทรงจำกลับคล้ายว่าเคยพบเห็นจนเป็นปกติแล้ว
เธอหรี่ตาลงนิดๆ ชะงักค้างไปเล็กน้อย ทันใดนั้นคล้ายจะนึกออกแล้ว ในความฝัน!
ในความฝันที่เธอเคยเห็นตี้ฝูอีในฐานะเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์เดินหมากกับฟั่นเชียนซื่ออยู่ ตอนที่ทั้งสองคนเดินหมากกันฟั่นเชียนซื่อก็แต่งตัวแบบนี้!
ดูเหมือนว่าเขาจะประกาศศักดาในฐานะเทพผู้สร้างโลกแล้ว…
เขาที่แต่งกายเช่นนี้ดูเจิดจรัสใสสะอาด เส้นผมก็ไม่กระดิกเลยสักเส้น เรียบลื่นดุจแพรไหม ไม่หลงเหลือสภาพอนาถาเหมือนสองสามวันก่อนแล้ว…
และอาจกล่าวได้ว่า สภาพอนาถาเมื่อสองสามวันก่อนของเขาเดิมทีก็เป็นการเสแสร้งอยู่แล้ว
คนผู้นี้ทักษะการแสดงเลิศล้ำ การที่ไม่ได้เป็นนักแสดงผู้มีความสามารถคนหนึ่งของยุคสมัยใหม่ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริงๆ!
เห็นได้ชัดว่าฟั่นเชียนซื่อมองเห็นพวกตี้ฝูอีทั้งสองคน สายตากวาดผ่านดวงหน้าของคนทั้งสองแวบหนึ่ง เขามองไปที่กู้ซีจิ่วก่อนตามสัญชาตญาณ แล้วหันเหสายตาไป จับอยู่ที่ร่างตี้ฝูอี “คุณชายฝูอี วันนี้เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?”
ตี้ฝูอีเงียบไปครู่หนึ่ง “ทั้งหมดที่ข้ากล่าวไปเมื่อครู่เจ้ายอมรับแล้วใช่ไหม?”
ฟั่นเชียนซื่อตอบว่องไวยิ่ง “แน่นอน!”
“ข้านึกว่าเจ้าจะเฉไฉบ่ายเบี่ยง แสร้งว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ต่อเสียอีก”
“เฮอะ ไม่จำเป็นแล้ว!” ฟั่นเชียนซื่อเชิดคางนิดๆ เขาวางแผนไว้นับหมื่นปี อดทนข่มกลั้นต่อความอัปยศอดสู วันนี้ทันทีที่ทำสำเร็จ ในที่สุดตี้ฝูอีก็ถูกขังเอาไว้ที่นี่ออกมาไม่ได้อีกแล้ว เขาย่อมต้องการจะหัวเราะเยาะตี้ฝูอีให้ดีๆ สักหน่อย มองความสิ้นหวังสำนึกเสียใจของเขาด้วยตาตน เช่นนี้ถึงจะสมกับที่เขาอดทนเก็บงำประกายไว้ในช่วงหลายหมื่นปีมานี้
มาถึงเวลานี้แล้ว เขาย่อมไม่จำเป็นต้องปฏิเสธอีก ถึงขั้นที่อยากจะให้อีกฝ่ายทราบชัดเจนยิ่งอีกหน่อยด้วย!
ตี้ฝูอีมองเขา “แผนการนี้เจ้าดำเนินการมานานเท่าไหร่แล้ว?”
“ห้าหมื่นหกพันสามร้อยยี่สิบแปดปีกับอีกห้าเดือนแปดวัน” ฟั่นเชียนซื่อจดจำได้ชัดเจนอย่างยิ่ง
“ไม่น่าเชื่อว่าจะวางแผนมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้” แววตาตี้ฝูอีวูบไหวนิดๆ “แต่เจ้ากับจิตมารในทะเลทรายแห่งนี้คบค้าสมาคมกันมาเพียงกว่าสามหมื่นปีเท่านั้น เมื่อสองหมื่นปีก่อนหน้านั้นเจ้าคงเสาะหาตัวเลือกที่เหมาะสมอยู่ตลอดสินะ?”
ฟั่นเชียนซื่อเอ่ยอย่างราบเรียบ “มิผิด ตัวเลือกประเภทนี้เสาะหาไม่ง่ายเลย ถึงยังไงจังหวะเวลาทำเลชัยภูมิความสัมพันธ์ของบุคคลจะขาดตกไปไม่ได้เลยสักอย่าง” เขานิ่งไปแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยต่อ “อย่างไรก็ตามที่เจ้าสันนิษฐานเมื่อครู่นี้กล่าวผิดไปจุดหนึ่ง วิธีหลอมสร้างคุกวารีระโหยจากดวงวิญญาณอาฆาตนับหมื่นพัน เปิ่นจุนมิได้เรียนรู้จาก อนุเทพลั่วจิ่วเฉิน ตรงกันข้าม วิธีนี้เป็นเปิ่นจุนเองที่ถ่ายทอดให้เขา ส่งเสริมผลักดันเขา”
ตี้ฝูอีถามต่อไป “ปีนั้นที่อนุเทพลั่วจิ่วเฉินสร้างเภทภัยหายนะให้แก่หกภพภูมิก็เป็นเจ้าที่บงการอยู่เบื้องหลังสินะ? ตอนนั้นเปิ่นจุนไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย ในตอนนั้นจุดประสงค์ของเจ้าคืออะไร?”
“อยากเห็นประสิทธิภาพของเวทวิชาใหม่ๆ พวกนี้”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกเลย
เธอมองฟั่นเชียนซื่ออย่างไม่อยากจะเชื่อ ไอ้สารเลวตัวนี้เป็นมารร้ายใช่ไหม?!
ครั้งนั้นสรรพสิ่งมอดม้วยมหาศาล ทั้งหกภพภูมิมีผู้บาดเจ็บล้มตายไปนับไม่ถ้วน เกือบจะวอดวายกันไปหมด เพราะเขาแค่อยากจะทดลองประสิทธิภาพของวิชาใหม่เท่านั้นหรือ?!
ในที่สุดสายตาของฟั่นเชียนซื่อก็หันเหมาที่ใบหน้าเธอแล้ว เมื่อเห็นท่าทางที่เธอมองเขาเหมือนมองสวะชิ้นหนึ่ง แววตาก็หม่นหมองลงไปแวบหนึ่ง แต่ก็ละสายตาไปในทันที
————————————————————————————-