บทที่ 3031 เจ้ากลับวางแผนต่อข้ามาโดยตลอด…
เขาคลี่พัดในมือเสียงดังพรึบ “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องมองเปิ่นจุนด้วยสายตาเช่นนี้ ในอดีตผู้คนของหกภพภูมิสร้างความลำบากให้เปิ่นจุนไว้ไม่น้อยเลย เปิ่นจุนวางแผนก่อภัยพิบัติแก่พวกเขาก็เพื่อสั่งสอนพวกเขา”
“เช่นนั้นเจ้าหาจิตมารของซีจิ่วพบตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“สามหมื่นห้าพันปีก่อน” ฟั่นเชียนซื่อไม่ปิดบัง “เปิ่นจุนผ่านทางมายังทวีปนี้โดยบังเอิญ มองเห็นทะเลทรายเล็กๆ ผืนนี้ ยามนั้นมันมีขนาดเท่าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง แขวนลอยอยู่กลางอากาศ ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปได้ เปิ่นจุนนึกสนใจใคร่รู้ จึงเข้ามาดูเสียหน่อย พบจิตมารที่ถูกผนึกเอาไว้ด้านในเข้า ยามนั้นนางยังเป็นเพียงจิตสำนึกเสี้ยวหนึ่งอยู่ แม้แต่รูปลักษณ์ตัวตนก็ไม่มี แต่เปิ่นจุนเห็นมันกลับรู้สึกถึงความคุ้นเคยอันน่ารังเกียจ…”
เขาเหลือบมองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง เอ่ยต่อไป “ยามนั้นกลิ่นอายของมันช่างเหมือนตัวเจ้าในอดีตเหลือเกิน! ดูใสซื่อไร้พิษภัย ทว่าทำร้ายคนได้โดยที่ไร้รูปร่าง และมันก็จดจำข้าไม่ได้เลย!”
กู้ซีจิ่วเม้มปากนิดๆ เปิ่นจุนสำนึกเสียใจอยู่เพียงเรื่องเดียว” เธอจ้องมองฟั่นเชียนซื่อแล้วเอ่ยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ตัวข้าในชาติก่อนต้องตาบอดแค่ไหนกัน ถึงได้รับเจ้ามาเป็นศิษย์?!”
หน้าฟั่นเชียนซื่อซีดขาวเล็กน้อย ทว่าหัวเราะหยันคราหนึ่ง “เปิ่นจุนคือผู้สืบทอดตำแหน่งเทพผู้สร้างโลกที่สวรรค์ลิขิตไว้ ตอนนั้นที่เจ้ารับข้าเป็นศิษย์ก็แค่ทำตามบัญชาสวรรค์เท่านั้น…” เขานิ่งไปเล็กน้อย เอ่ยต่อไป “น่าขันที่ตัวข้าในยามนั้นรักใคร่เทิดทูนเจ้ามาโดยตลอด ไม่กล้าฝ่าฝืนขัดคำสั่งเลยสักนิด ตลอดชีวิตสิ่งที่ปรารถนาก็คือให้เจ้ามองข้ามากขึ้นสักแวบหนึ่ง ดีต่อข้าบ้าง…”
กู้ซีจิ่วไม่เอ่ยวาจา เธอไม่มีความทรงจำของชาติก่อน ภาพอดีตเหล่านั้นก็ได้เห็นแค่ไม่กี่ฉาก ซ้ำยังเกี่ยวข้องกับตี้ฝูอีทั้งสิ้น ดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าตอนนั้นตนปฏิบัติต่อฟั่นเชียนซื่ออย่างไร
“แล้วเจ้าเล่า?! เจ้ากลับวางแผนต่อข้ามาโดยตลอด…เจ้าหลงรักตี้ฝูอีจนหลงลืมหน้าที่ของตัวเอง ฝ่าฝืนบัญชาสวรรค์ปักจิตจะอบรมบ่มเพาะตี้ฝูอีให้กลายเป็นผู้สืบทอดของเจ้า ช่วยเขาแก่งแย่งช่วงชิงตำแหน่งเจ้าแห่งหกภพภูมิมา! หวั่นเกรงว่าข้าจะยื้อแย่งกับเขา เจ้าจึงหาเหตุลงโทษให้ข้าปิดด่านกักตนอยู่เสมอ…น่าขันที่ตัวข้าในยามนั้นนึกอยู่ตลอดว่าต่อให้เจ้าไม่รักข้า ก็ยังคงดีต่อข้าอยู่ ทุกอย่างที่กระทำก็เป็นการคิดเพื่อข้า…จวบจนถึงช่วงเวลาก่อนที่เจ้าจะดับขันธ์…ตอนนั้นเจ้าล่าไข่มังกรประทีปใบหนึ่งมาให้ข้า ข้าชมชอบอย่างยิ่งจริงๆ โอบอุ้มไข่ใบนั้นยิ้มอย่างโง่งมอยู่หลายวัน ฟูมฟักมันอย่างระมัดระวังยิ่ง หวังเพียงจะฟักมันออกมาให้ดีเพื่อให้อาจารย์เห็น…ข้าทุ่มเทหามรุ่งหามค่ำ หวังเพียงว่าเมื่อถึงเวลาแล้วอาจารย์จะยิ้มให้สักแวบ แล้วเจ้าเล่า?!”
กู้ซีจิ่วเอ่ยอย่างโมโห “ข้าทำไม?”
“เจ้าช่วยล่าไข่มังกรประทีปมาให้ข้าเพียงเพื่อจะหาเหตุให้ข้าปิดด่านกักตน กีดกันข้าออกไป! เพราะเจ้ากำลังจะดับขันธ์แล้ว อยากจะส่งมอบทุกอย่างของเทพผู้สร้างโลกให้แก่ตี้ฝูอี! พาเขาเข้าไปในแดนต้องห้ามสำหรับทวยเทพ ถ่ายทอดพลังยุทธ์ทั้งหมดให้เขา ทำให้ข้ากลายเป็นที่น่าขบขันของหกภพภูมิ…แต่น่าเสียดาย คนคำนวณมิสู้สวรรค์ลิขิต ข้ารับรู้ได้ว่าเจ้ากำลังจะดับขันธ์ รีบตามไปหาเสมือนบ้าคลั่งไปแล้ว…จับพลัดจับผลูเข้าสู่แดนต้องห้ามสำหรับทวยเทพได้ รู้แจ้งในแดนต้องห้ามสำหรับทวยเทพ ได้รับพลังที่สวรรค์ประทานให้ กลายเป็นเทพผู้สร้างโลกรุ่นต่อไป…ปีนั้นถ้ามิใช่เจ้าที่ตาบอด แต่ข้าที่หน้ามืดตามัว ถึงได้หลงใหลสตรีไร้หัวจิตหัวใจอย่างเจ้า…”
กู้ซีจิ่วตกตะลึง…
มิน่าเล่าฟั่นเชียนซื่อถึงได้เกลียดชังเธอขนาดนี้ ไม่เพียงแต่ปองร้ายตี้ฝูอีเท่านั้น ยังปองร้ายเธอด้วย เคี่ยวกรำเธอครั้งแล้วครั้งเล่า
สัญชาตญาณเธอบอกว่าตัวเองไม่มีทางทำแบบนั้น เพียงแต่ ถึงอย่างไรก็เป็นชาติก่อน ตนในชาติก่อนมีนิสัยอย่างไรกันแน่เธอก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน อีกทั้งฟั่นเชียนซื่อยังกล่าวอย่างคับข้องแค้นเคืองต่อความอยุติธรรมคล้ายจะเป็นความจริงเช่นนี้ และยามนี้เขาก็ไม่จำเป็นต้องพุดปดแล้วด้วย…
หรือว่าชาติก่อนตนจะเป็นสวะเช่นนี้จริงๆ? ขายศิษย์เพื่อส่งเสริมคนรัก?
เฮอะ ต่อให้ยามนั้นตนทำเช่นนี้จริงๆ ก็ต้องเป็นเพราะมองออกว่าฟั่นเชียนซื่อมิใช่คนดีแน่นอน ถึงหาคนอื่นมารับช่วงต่อได้ทันท่วงทียับยั้งความเสียหาย…
….
————————————————————————————-
บทที่ 3032 ฉกฉวยผลประโยชน์จากความขัดแย้ง
เพียงน่าเสียดายที่สวรรค์ลิขิตมนุษย์ สุดท้ายฟั่นเชียนซื่อก็ยังได้เป็นเทพผู้สร้างโลกอยู่ดี
ตี้ฝูอีที่เงียบงันไม่ส่งเสียงมานานเปิดปากเอ่ยขึ้น “มิใช่เจ้าหน้ามืดตามัว แต่เป็นหมกมุ่นจนกลายเป็นมาร หมายปองสิ่งที่เดิมทีก็มิใช่ของเจ้าอยู่แล้ว…ช่างเถิด เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นอดีตในชาติที่แล้ว พวกเราก็คร้านจะถกเถียงกับเจ้าเช่นกัน เห็นทีว่าจิตมารตนนี้จะเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของเจ้า อย่างไรก็ตามเจ้ารู้ได้ยังไงว่าในอนาคตซีจิ่วจะต้องมาที่นี่แน่นอน? หากมิใช่เพราะเฮ่าเอ๋อร์บังเอิญติดอยู่ที่นี่แล้ว เกรงว่าพวกเราคงไม่มีทางมาที่นี่ไปตลอดกาล…”
ฟั่นเชียนซื่อกล่าวอย่างเยียบเย็น “ตี้เฮ่าเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายจริงๆ เพียงแต่จิตมารได้เติบโตเต็มที่แล้ว ทะเลทรายแห่งนี้ได้ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับนางอย่างสมบูรณ์ นางจะต้องเขมือบฟ้ากลืนพสุธา ต่อให้ตี้เฮ่าไม่ได้มา พวกเจ้าก็จะต้องมาที่นี่เพื่อตรวจสอบแน่ ทันทีที่เข้าสู่ทะเลทรายแห่งนี้ เช่นนั้นทุกอย่างก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว เปิ่นจุนจะลอบวางแผนบีบคั้นให้พวกเขาก้าวมาจนถึงขั้นนี้…”
ตี้ฝูอีเชิดหน้าหัวเราะ “ฟั่นเชียนซื่อ เจ้าควบคุมพวกเราได้ พวกเรายอมรับ! เช่นนั้นจิตมารตนนั้นเล่า? เจ้าจะจัดการกับนางอย่างไร?”
ฟั่นเชียนซื่อผงะไปแวบหนึ่ง เอ่ยเสียงเยียบเย็น “เรื่องนี้ไม่รบกวนให้เจ้ามาเป็นกังวลหรอก”
ตี้ฝูอียิ้มน้อยๆ แวบหนึ่ง “เจ้าไม่กล้าพูดกระมัง?! เป้าหมายของเจ้าบรรลุแล้ว คิดว่าจะต้องเสร็จนาฆ่าโคถึกเป็นแน่ ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องการจะเป็นเจ้าแห่งหกภพภูมิอย่างแท้จริง จำต้องแสดงอำนาจบารมีอันยิ่งใหญ่จริงแท้ ถึงจะได้ใจประชาอย่างสมบูรณ์ และทะเลทรายที่จิตมารตนนี้พำนักอยู่ก็กำลังแผ่ขยายออกไปอย่างไร้ขอบเขต กลายเป็นมหันตภัยของหกภพภูมิ หากว่าเจ้าสามารถกำจัดมันต่อหน้าผู้คนของหกภพได้ ย่อมกลายเป็นคุณูปการอันยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่ง ทำให้หกภพภูมิยอมสยบ…”
กู้ซีจิ่วก็คล้ายจะตระหนักได้แล้วเช่นกัน “ที่แท้เจ้าก็วางแผนจะโยนหินก้อนเดียวกระทบนกสองตัวนี่เอง! เป็นแผนการที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”
ฟั่นเชียนซื่อจ้องเธอแวบหนึ่ง เอ่ยด้วยความโกรธ “หุบปาก! เปิ่นจุนไม่มีทางปฏิบัติต่อนางเช่นนี้!”
ตี้ฝูอียิ้มแล้ว เอ่ยหยัน “ไม่มีทางหรือ? ฟั่นเชียนซื่อ คนอื่นอาจไม่รู้จักวิชาเกลาวิญญาณ ทว่าข้ารู้ดี วิชานี้เดิมทีก็เป็นวิชาชั่วร้ายแขนงหนึ่ง บนร่างของผู้ที่สำเร็จผลมาจากวิชาเกลาวิญญาณจะมีจุดอ่อนที่ร้ายแรงถึงชีวิตอยู่ เพียงแต่จุดอ่อนนี้ลึกลับยิ่ง ไม่มีทางปล่อยให้ผู้ใดสังเกตเห็นง่ายๆ แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่แน่ว่าจะรู้ แต่ผู้ที่ศึกษาวิชาชั่วร้ายแขนงนี้มาต้องรู้แน่นอน พอเจ้าสบจังหวะสังหารเข้าจริงๆ ขอเพียงโจมตีเข้าที่จุดอ่อนของนางก็พอแล้ว ยังมีอีก คุกวารีระโหยที่หลอมสร้างขึ้นจากวิญญาณอาฆาตนับหมื่นพันแห่งนี้ก็ยิ่งเป็นวิชาที่ขัดต่อสวรรค์ ทันทีที่เปิดใช้วิชานี้อย่างแท้จริง วรยุทธ์ของนางจะเพิ่มพูนแกร่งกล้าขึ้นมาอย่างมหาศาล แต่พอบรรลุถึงจุดวิกฤตแล้ว ร่างกายนางจะทานรับกระแสสะท้อนกลับของวิญญาณอาฆาตเหล่านี้ไม่ได้แน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นไม่จำเป็นต้องให้เจ้าลงมือ ตัวนางก็จะระเบิดแยกกระจายสลายหายไปด้วยตัวเองอย่างสมบูรณ์…ในปีนั้นลั่วจิ่วเฉินก็เคยใช้วิธีจำพวกนี้เช่นกันนำเซียนผู้หนึ่งมาหลอมกลั่นให้กลายเป็นเครื่องจักรสังหารเช่นนี้ สุดท้ายเซียนผู้นั้นก็ถูกวิญญาณอาฆาตนับหมื่นพันย้อนกลับมาทำร้าย แม้แต่เสี้ยววิญญาณก็ไม่หลงเหลืออยู่…”
กู้ซีจิ่วตาโต “ท่านพูดถึงเรื่องของมหาเทพกับจอมมารในปีนั้นอยู่หรือ? เรื่องนี้ข้าก็เคยได้ยินมาเช่นกัน ลั่วจิ่วเฉินต้องการเข้าแทนที่มหาเทพ เนื่องจากตนเป็นอนุเทพ ไม่สะดวกจะลงมือโดยตรง จึงลอบหลอมกลั่นพี่สาวบุญธรรมของมหาเทพให้กลายเป็นสิ่งนี้ ก่อพายุโลหิตไปทั่วหกภพภูมิ น่าขันที่พี่สาวบุญธรรมคนนั้นของเขาหลงนึกว่าตนอยู่ยงคงกระพันแล้ว หารู้ไม่ว่าตนเป็นเพียงเบี้ยสังหารตัวหนึ่งในมือของผู้อื่นเท่านั้น…”
ฟั่นเชียนซื่อขมวดคิ้ว ขณะที่เขากำลังจะกล่าวอันใด ตี้ฝูอีก็เอ่ยเสริมขึ้นมาอีก “ฟั่นเชียนซื่อ หรือว่าเจ้าคิดจะปฏิเสธเล่า? เจ้ากล้าพูดไหมว่าเรื่องพี่สาวบุญธรรมของมหาเทพมิใช่ความจริง? เจ้ากล้าพูดไหมว่าวิชาชั่วร้ายของลั่วจิ่วเฉินมิได้รับการถ่ายทอดมาจากเจ้า? ชายชาตรีกล้าทำก็ต้องกล้ารับ…”
ฟั่นเชียนซื่อพลันตัดสินใจ ยิ้มหยันแล้วเอ่ยไปว่า “เป็นความจริงแล้วอย่างไรเล่า? มิผิด วิชาชั่วร้ายเหล่านั้นของเขาล้วนเป็นข้าที่ถ่ายทอดให้…”
————————————————————————————-