บทที่ 822 ท่านกับข้าเรามีบางอย่างคล้ายกัน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 822 ท่านกับข้าเรามีบางอย่างคล้ายกัน

เข้ามาตั้งแต่ตอนไหนกันนะ?

สีหน้าของเหยียนอิงกลับมาเป็นปกติในพริบตาเดียว

“เจ้ายังกล้ากลับมาที่นี่อีกหรือ?”

เด็กสาวค่อยๆ หันรถเข็นกลับไปอย่างเชื่องช้า

ห่างออกไปประมาณห้าวา เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดสีขาวยืนอยู่ข้างโต๊ะใหญ่ตัวหนึ่ง แสงสว่างจากไข่มุกราตรีส่องให้เห็นว่าเขากำลังยกเหยือกแก้วใสเทน้ำสีอำพันใส่ถ้วยอย่างสบายอารมณ์ขณะพูด “และข้าก็คิดไม่ถึงอีกเช่นกันว่าท่านจะมีนิสัยชอบดื่มสุรา… พี่สาว ดึกดื่นเช่นนี้ เหตุไฉนท่านจึงลุกขึ้นจากเตียงและมานั่งอ่านข้อมูลส่วนตัวของข้า นี่แสดงว่าข้าเป็นคนพิเศษของท่านใช่หรือไม่?”

“เจ้าเป็นคนพิเศษของข้าจริงๆ”

เหยียนอิงผู้นั่งอยู่บนรถเข็นค่อยๆ ถอดถุงมือสีขาวออก กล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบนาบว่า “หรือถ้าพูดให้ถูกต้องก็คือ ข้ากำลังคิดวิธีตัดหัวเจ้าอยู่พอดี”

เปลวไฟสีแดงเข้มปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเด็กสาว

“ทำไมถึงต้องทำเช่นนั้นด้วย”

หลินเป่ยเฉินกลับมีสีหน้าผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง “ท่านอ่อนแอขนาดนี้ อย่างไรก็ฆ่าข้าไม่ได้อยู่แล้ว พวกเราหันหน้ามาพูดคุยกันไม่ดีกว่าหรือ”

“ระหว่างพวกเรายังจะมีอะไรให้พูดคุยกันอีก”

รถเข็นของเหยียนอิงพลันลอยขึ้นไปในอากาศ เด็กสาวจ้องมองลงมาด้วยตำแหน่งที่สูงกว่าหลินเป่ยเฉิน ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับไม่ต่างจากฉลามยามเห็นเหยื่อ “เกรงว่าเจ้าคงต้องผิดหวังแล้ว เพราะข้าไม่เคยสงบศึกกับศัตรูมาก่อน”

หลินเป่ยเฉินรินน้ำสีอำพันใส่อีกถ้วยหนึ่งสำหรับตนเอง และพูดว่า “ใครบอกว่าพวกเราเป็นศัตรูกัน?”

เปลวไฟบนฝ่ามือของเด็กสาวบนรถเข็นยิ่งทวีความร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

แววตาของนางเย็นชาและอันตราย

เห็นได้ชัดว่าไม่มีความอดทนแม้แต่น้อย

หลินเป่ยเฉินกลับทำเป็นมองไม่เห็น พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “บางทีเราอาจร่วมมือกันได้”

“ร่วมมือกันอย่างนั้นหรือ?” เด็กสาวบนรถเข็นหยุดชะงักเล็กน้อย

“ใช่ ร่วมมือกัน”

หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปากและพูดต่อ “ท่านคงไม่คิดหรอกใช่ไหมว่าข้าจะยินดีปกป้องจักรวรรดิเป่ยไห่จนตัวตาย?”

แววตาของเหยียนอิงทอประกายประหลาดใจวูบ

หลินเป่ยเฉินยกถ้วยเครื่องดื่มขึ้นจิบ ก่อนยิ้มกว้าง “ถึงมันอาจจะดูไม่น่าเชื่อ แต่ข้ารู้สึกว่าพวกเรามีบางอย่างคล้ายกัน”

“หึหึ” เด็กสาวบนรถเข็นหัวเราะในลำคอ

หลินเป่ยเฉินวางถ้วยเครื่องดื่มลงและยกมือกอดอก จ้องมองดวงตาของเหยียนอิงด้วยความมุ่งมั่น “ข้านั้นเบื่อหน่ายกับโลกที่หน้าไหว้หลังหลอกเต็มที โดยเฉพาะวงการยุทธภพ ทางวังหลวงก็เอาแต่กดขี่ข่มเหงประชาชน ฮ่าฮ่าฮ่า นับตั้งแต่ที่ข้าเป็นเด็ก ไม่เคยมีใครสนใจข้าเลยนอกจากมารดาของข้าเท่านั้น ส่วนบิดาของข้าที่เป็นขุนนางนักรบแห่งสวรรค์ ภายนอกอาจจะดูเหมือนรักข้า แต่ลับหลังนั้น ข้าเป็นเพียงเศษสวะคนหนึ่งในสายตาของเขา แม้แต่พี่สาวอัจฉริยะของข้าก็ยังเกลียดชังข้ายิ่งกว่าอะไรดี เมื่อตระกูลของเราตกอยู่ในอันตราย ทั้งสองคนกลับหลบหนีเอาตัวรอด และทิ้งให้ข้าอยู่เผชิญโชคชะตาเพียงลำพัง…”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ดวงตาของเด็กหนุ่มก็แดงก่ำขึ้นมา

ราวกับว่าเขากำลังพยายามกลั้นน้ำตา ไม่อนุญาตให้ตนเองร้องไห้ต่อหน้าคนแปลกหน้า

เหยียนอิงถึงกับชะงักกึก

หลินเป่ยเฉินเล่าเรื่องราวต่อไป “ข้าไม่เหลือใครให้พึ่งพิง ข้ามีแต่ต้องพึ่งพิงตนเองเท่านั้น… ทุกอย่างที่ข้ามีได้ในวันนี้ ข้าสร้างมันขึ้นมาด้วยสองมือของตนเอง เพราะฉะนั้น ข้าไม่จำเป็นต้องเห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นกองทัพหรือวิหารเทพีกระบี่ ในสายตาของข้าแล้ว พวกเขาหาได้มีค่าไม่ โฮะโฮะโฮะ…”

เปลวไฟบนฝ่ามือของเหยียนอิงเริ่มลดความร้อนแรงลง

ดวงตาของเด็กสาวเริ่มปรากฏความสนใจ

หลินเป่ยเฉินกำลังโกหก?

หรือว่ากำลังพูดเรื่องจริง?

แต่ถ้าเขาโกหก แล้วเด็กหนุ่มผู้นี้จะเป็นผู้ที่ถูกเลือกของเทพีกระบี่และมีสาวกมากมายได้อย่างไร

เขาบอกว่าวิหารเทพีกระบี่ไม่มีค่าในสายตาเลยอย่างนั้นหรือ?

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” เหยียนอิงก้มมองลงมาที่หลินเป่ยเฉิน รอยยิ้มนึกสนุกปรากฏขึ้นบนใบหน้า

“ข้าอยากทำลายพวกมันให้หมดสิ้นไป” หลินเป่ยเฉินเงยหน้ามองขึ้นมาสบตาเด็กสาว “ท่านเองก็อยากทำลายทุกอย่างให้มอดไหม้เป็นเถ้าถ่านเหมือนกันไม่ใช่หรือ?”

นี่คือครั้งแรกที่ดวงตาของเด็กสาวบนรถเข็นปรากฏความลังเลเล็กน้อย

“เจ้าต้องการจะพูดอะไรกันแน่?”

นางมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป

หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ “ข้าอยากให้พวกเราร่วมมือกัน ข้ารู้ดีว่าลึกๆ ในใจแล้ว ท่านก็อยากใช้วิธีนี้ พวกเรามีหลายอย่างคล้ายกัน พวกเราต่างก็เป็นคนเสียสติ ฮ่าฮ่าฮ่า ตั้งแต่ที่ข้าเห็นหน้าท่านครั้งแรก ข้าก็รู้แล้วว่าพวกเราเป็นบุคคลประเภทเดียวกัน จะบอกว่าท่านไม่มีความรู้สึกนี้อย่างนั้นหรือ เฮ้อ ถ้าอย่างนั้นก็น่าผิดหวังจริงๆ เลยเชียว…”

เหยียนอิงไม่ตอบคำใด

เป็นครั้งแรกที่นางไม่พูดอะไรออกมาเลย

หลินเป่ยเฉินยังคงกล่าวต่อไปอย่างลื่นไหล “ความจริงนั้น ท่านเองก็อยากทำลายทุกสิ่งทุกอย่างเช่นกันไม่ใช่หรือ? ท่านเกลียดโลกใบนี้ ท่านเกลียดราชวงศ์แห่งท้องทะเล ท่านเกลียดวิหารใต้สมุทร ท่านเกลียดบิดาของท่าน และท่านก็…เกลียดมารดาของตนเอง…”

“หุบปาก” เด็กสาวบนรถเข็นตวาดขัดจังหวะ “ข้าจะเกลียดมารดาของตนเองได้อย่างไร นางเป็นคนที่ใกล้ชิดที่สุดของข้า ข้าเป็นคนช่วยเหลือนาง ข้า…”

“ท่านนั่นแหละที่ต้องหุบปาก”

หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะและยิ้มเหยียดหยาม “ท่านยังไม่รู้หัวใจตัวเองน่ะสิ เหอเหอเหอ ท่านกล้าพูดไหมล่ะว่าท่านไม่เกลียดมารดา? นั่นเป็นเพราะว่าท่านเกลียดมารดาที่หลงรักมนุษย์ ท่านเกลียดมารดาที่ให้กำเนิดท่านออกมา ท่านเกลียดมารดาที่ไม่ยอมเลี้ยงดูท่าน ท่านเกลียดมารดาที่นางไม่ยอมปรากฏตัวออกมาในยามที่ท่านยากลำบากที่สุด ท่านเกลียดมารดาที่ยังไม่ยอมเลิกรักอาจารย์ของข้า… นี่คือความจริงที่ท่านไม่กล้ายอมรับ… ช่างขี้ขลาดเสียเหลือเกิน”

เหยียนอิงสะดุ้งเฮือกอีกครั้ง

ดวงตาทอประกายวาวโรจน์ด้วยความโกรธแค้น

ตัวของนางสั่นเทา

เด็กสาวจำไม่ได้แล้วว่าตนเองโกรธแค้นขนาดนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

แต่นางก็พยายามควบคุมตนเองในรถเข็นไม่ให้แสดงอาการสั่นเทาหรือส่งเสียงใดๆ ออกมา

เมื่อหลินเป่ยเฉินเห็นอาการเช่นนี้ เขาก็รู้ว่าตนเองใกล้ทำสำเร็จแล้ว

แต่เหยียนอิงยังมีจิตใจต่อต้านอยู่

ถ้าอยากจะล้างสมองนางให้ได้ เหตุผลเพียงเท่านี้ยังไม่พอ

ดีไม่ดีอาจจะทำให้เหยียนอิงโกรธแค้นเขามากกว่าเดิมด้วยซ้ำ

แล้วจะทำยังไงดีนะ?

หลินเป่ยเฉินคงต้องทำให้นางเชื่อว่าเขาพร้อมที่จะทรยศพวกมนุษย์ได้จริงๆ

แต่จะทำยังไงดีล่ะ?

เพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น เหยียนอิงก็กลับมาตั้งสติได้อีกครั้ง

นางจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินเหมือนกับเพิ่งเคยพบเห็นเขาเป็นครั้งแรก

แววตาโกรธแค้นจางหายไป

ถูกแทนที่ด้วยความสงสัยใคร่รู้

“เจ้าอยากจะให้ข้าร่วมมืออย่างไร ไหนลองพูดออกมา”

เหยียนอิงจ้องมองเด็กหนุ่มชุดขาวด้วยความสงบสุขุม

หลินเป่ยเฉินยิ้มอย่างชั่วร้ายและกล่าวว่า “แน่นอนว่าย่อมเป็นการร่วมมือทั่วไป ข้าจะช่วยท่านโค่นล้มราชวงศ์ซีไห่และวิหารใต้สมุทร ส่วนท่านก็ช่วยข้าโค่นล้มจักรวรรดิเป่ยไห่กับวิหารเทพีกระบี่… เมื่อท่านกับข้าร่วมมือกัน แผ่นดินตงเต้ายังจะหลุดรอดกำมือของพวกเราไปอีกได้อย่างไร?”

ดวงตาของเด็กสาวบนรถเข็นทอประกายวูบวาบด้วยความประหลาดใจ

หลินเป่ยเฉินจ้องตานางพลางพูดว่า “เป็นอย่างไร ถ้าคิดจะทำสงครามทั้งที ก็เอาให้มันใหญ่โตไปเลยสิ ไม่ทราบว่าท่านมีความกล้าหรือไม่?”

เหยียนอิงนำถุงมือสีขาวกลับมาสวมใส่อย่างแช่มช้าและตอบว่า “ฟังดูน่าสนใจ แต่พินิจจากระดับพลังของเจ้าแล้ว ข้าก็ไม่มั่นใจนักว่าลำพังเจ้าเพียงคนเดียวจะสามารถช่วยเหลือข้าโค่นล้มราชวงศ์และวิหารใต้สมุทรได้อย่างไร?”

นั่นไงล่ะ

นึกแล้วเชียวว่ายัยเด็กคนนี้ต้องอยากฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พวกตัวเองแน่ๆ

หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนตอบ “ท่านคงรู้ใช่ไหมว่าหลายครั้งความช่วยเหลือจากศัตรูก็มีประสิทธิภาพมากกว่าความช่วยเหลือจากมิตรสหายของท่านเองเสียอีก”

เหยียนอิงเป็นคนฉลาด

เรียกได้ว่าฉลาดมาก

นางเป็นหนึ่งในคนที่มีทั้งความฉลาดและความเฉลียว

หากศัตรูมีความรู้ระดับสาม เหยียนอิงก็จะต้องทำให้ตนเองมีความรู้ระดับแปด

คำพูดของหลินเป่ยเฉินทำให้เด็กสาวบนรถเข็นเกิดความคิดมากมายหลายอย่าง

ความคิดบางประการแม้แต่หลินเป่ยเฉินก็ยังนึกไม่ถึง

แต่นางก็รู้ดีเช่นกันว่าบ่อยครั้งจินตนาการกับความเป็นจริงก็ไม่เหมือนกัน

“ข้าต้องการหลักฐาน”

เหยียนอิงมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาดุดัน

หลินเป่ยเฉินรู้ดีว่าก้าวสำคัญของตนเองมาถึงแล้ว

เขาจะล้างสมองนางได้สำเร็จหรือไม่? ก็อยู่ที่ต่อจากนี้

“ถูกต้อง ในเมื่อพวกเราจะร่วมมือกัน ข้าก็คงต้องแสดงหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความจริงใจให้ท่านรับรู้”

หลินเป่ยเฉินพูด ค่อยๆ นำหีบสีดำใบหนึ่งออกมาจากถุงเก็บของวิเศษและวางลงบนโต๊ะใหญ่ “ลองดูของที่อยู่ในนี้เถิด ข้าเชื่อว่าท่านต้องพอใจมากแน่นอน”