บทที่ 1857 แบดเจอร์แห่งพันธมิตรอู๋เว่ย
“พวกคุณไสหัวไปซะ”
ฉินรั่วซีกวาดสายตามองพวกชีซิงกับเป่ยโต่วที่อยู่ด้านข้างเยี่ยหวันหวั่น
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เป่ยโต่วก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่จะหันตัวไปหาเยี่ยหวันหวั่น “พี่หวันหวั่น ถ้าผมฆ่าผู้หญิงคนนี้…คงไม่มีปัญหาใช่มั้ย”
“ตามใจนายเถอะ” เยี่ยหวันหวั่นยักไหล่
“โอเค”
หลังได้รับอนุญาตจากเยี่ยหวันหวั่น เป่ยโต่วก็เหล่มองฉินรั่วซีและหัวเราะเยาะพลางเอ่ยว่า “แกคิดว่าแกเป็นใคร หมาแมวที่ไหนก็ลงมือกับพี่หวันหวั่นได้งั้นเหรอ”
“รนหาที่ตาย!”
ดวงตาของฉินรั่วซีมีแววเย็นเยียบวาบผ่าน เธอยกแขนขวาขึ้น ในชั่วพริบตาก็ตบใส่เป่ยโต่วอย่างแรง
ทว่าฝ่ามือนี้ของฉินรั่วซียังไม่ทันฟาดลงไปกลับถูกเป่ยโต่วกันไว้ได้เสียก่อน
เวลานี้ฉินรั่วซีมองเป่ยโต่ว ใบหน้าเผยแววตกใจ ตรงหน้าเยี่ยหวันหวั่นยังมียอดฝีมือระดับนี้…
“โอ้ คนกระจอกอย่างเธอ ยังจะกล้าโม้ซะใหญ่โตอีกเหรอ” ระหว่างที่พูด เป่ยโต่วก็ส่งแขนขวาไปด้านหน้าอย่างแรง โยนฉินรั่วซีลอยออกไปโดยตรง
ไม่รอให้ฉินรั่วซีตกลงพื้น เป่ยโต่วก็ก้าวออกไปหนึ่งก้าว แล้วคว้าข้อเท้าของฉินรั่วซีที่ยังลอยอยู่ในอากาศ หลังจากคว้าไว้ได้เขาก็ฟาดฉินรั่วซีลงกับพื้นอย่างแรง
ได้ยินแค่เสียงอันดังสนั่น ฝุ่นก็ฟุ้งตลบ ฉินรั่วซีหน้าซีดเผือด มุมปากกระอักเลือดออกมา
“โอ้…”
ไม่ไกลนัก ซือป๋ออี้มองเป่ยโต่วด้วยสีหน้าเปี่ยมความสงสัย
ยอดฝีมือคนนี้ไม่เหมือนยอดฝีมือของประเทศจีนสักนิด…
หลังจากฉินรั่วซีลุกขึ้นมาอย่างยากลำบากก็มองเป่ยโต่วอย่างไม่อยากเชื่อ คนคนนี้มาจากไหนกันแน่ถึงกับแข็งแกร่งขนาดนี้…
“ซือป๋ออี้…ฉันขอถามหน่อย ตอนนั้นที่สมาคมอู๋เทียนเปิดศึกกับพันธมิตรอู๋เว่ยที่รัฐอิสระและลักพาตัวสมาชิกหัวกะทิของพันธมิตรอู๋เว่ยไปไม่น้อย…ตอนนี้คนพวกนั้นอยู่ที่ไหน” เวลานั้นผู้อาวุโสใหญ่มองซือป๋ออี้และเอ่ยถาม
สิ้นเสียงของผู้อาวุโสใหญ่ ซือป๋ออี้ก็ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด คนพวกนี้…ถึงกับรู้จักรัฐอิสระและพันธมิตรอู๋เว่ย…
“น่าสนใจ” ซือป๋ออี้จ้องพวกผู้อาวุโสใหญ่ พลางเอ่ยพึมพำ
“ตาแก่ ถามแกอยู่นะไม่ได้ยินเหรอ” เป่ยโต่วเอ่ยพลางยิ้มเย็น
“ฉันสงสัยจัง ว่าพวกแกเป็นใครกันแน่ รู้จักพันธมิตรอู๋เว่ยได้ยังไง” เวลานี้ซือป๋ออี้เอ่ยถาม
“ทำไม กล้าสั่งให้สมาคมอู๋เทียนโจมตีพันธมิตรอู๋เว่ย แต่กระทั่งผู้นำพันธมิตรอู๋เว่ยของพวกเราก็ยังไม่รู้จักงั้นเหรอ” ผู้อาวุโสสามมองซือป๋ออี้และเอ่ยเสียงเย็น
“แกบอกว่า…เธอคือผู้นำพันธมิตรอู๋เว่ย?”
ทันใดนั้น สายตาของซือป๋ออี้ก็ตกลงบนตัวเยี่ยหวันหวั่นอย่างรวดเร็ว
จริงอยู่ที่ว่าในใจซือป๋ออี้รู้อย่างแน่ชัดว่าเยี่ยหวันหวั่นถูกซือเยี่ยหานพาตัวกลับมาจากรัฐอิสระ…ดังนั้น สรุปแล้วเยี่ยหวันหวั่นคนนี้มาจากรัฐอิสระ…
แต่ว่าเยี่ยหวันหวั่นมีสถานะอะไรในรัฐอิสระ ซือป๋ออี้ก็ไม่แน่ใจ ถึงแม้ว่าตอนที่ซือเยี่ยหานเพิ่งจะพาเยี่ยหวันหวั่นกลับมาประเทศจีน ซือป๋ออี้ก็ให้คนของสมาคมอู๋เทียนตรวจสอบมาก่อนแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยสืบค้นได้อย่างชัดเจน และยิ่งไม่มีข้อมูลที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือ…
แต่เวลานี้ชายชราที่อยู่ด้านข้างเยี่ยหวันหวั่นกลับบอกว่าเธอคือผู้นำของพันธมิตรอู๋เว่ย…
แบดเจอร์…ไป๋เฟิง!?
“พะ…พันธมิตรอู๋เว่ย…เป็นไปได้ยังไง…”
ฉินรั่วซีที่อยู่ด้านข้างมีสีหน้าขาวซีด มองเยี่ยหวันหวั่นอย่างไม่อยากเชื่อ
ถึงแม้ฉินรั่วซีจะไม่รู้จักรัฐอิสระ และไม่เข้าใจเรื่องการแบ่งกองกำลังในรัฐอิสระอย่างชัดเจนนัก แต่ตอนที่ติดตามข้างกายซือป๋ออี้ก็เคยได้ยินซือป๋ออี้พูดถึง…พันธมิตรอู๋เว่ยว่าเป็นกองกำลังระดับสุดยอด กองกำลังอย่างนี้ของตระกูลซือที่ประเทศจีนหนึ่งหมื่นกองกำลัง ก็ไม่อาจเทียบกับพันธมิตรอู๋เว่ยได้
———————————————————-
บทที่ 1858 ไปให้พ้น
เมื่อนานมาแล้ว สมาคมอู๋เทียนพาสมาชิกของพันธมิตรอู๋เว่ยที่ถูกจับตัวมายังประเทศจีน มีหนึ่งคนที่สามารถทะลุแนวป้องกันแล้วหลบหนีออกมาได้ ผู้แข็งแกร่งของสมาคมอู๋เทียนไม่น้อยมุ่งหน้าตามไปสังหาร และฉินรั่วซีที่ตามอยู่ในทีมก็ได้เปิดหูเปิดตาพอดี
และครั้งนั้น ก็สร้างปมในใจของฉินรั่วซีไว้อย่างใหญ่หลวง…
แค่สมาชิกพันธมิตรอู๋เว่ยคนเดียว เผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งของสมาคมอู๋เทียนสิบกว่าคนอย่างไม่กลัวเกรง เผชิญหน้าด้วยมือเปล่า ฆ่าคนไปสี่ห้าคน…สุดท้ายก็สู้จนตัวตาย…
หลังจากนั้น ความแข็งแกร่งของพันธมิตรอู๋เว่ยก็ประทับฝังลึกอยู่ในใจของฉินรั่วซี
แต่แล้ว ผู้แข็งแกร่งตรงหน้าพวกนี้ก็เป็นคนของพันธมิตรอู๋เว่ยในรัฐอิสระ…กระทั่งว่า ชายชราคนนั้น…พูดซ้ำๆ …ว่าเยี่ยหวันหวั่นคือผู้นำของพันธมิตรอู๋เว่ย!
“มัวพูดไร้สาระอะไรกับซืออู๋เทียน จับตัวไว้ก่อนค่อยว่ากัน”
ผู้อาวุโสสามแค่นเสียงเย็น ทั้งร่างพุ่งเข้าไปหาซือป๋ออี้อย่างรวดเร็ว
เพียงชั่วพริบตา ผู้อาวุโสสามกับซือป๋ออี้ก็ปะทะสองมือกัน ทั้งสองคนถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว
เวลานั้นดวงตาของผู้อาวุโสสามกับซือป๋ออี้เผยแววตกใจออกมา
พลังต่อสู้ของแต่ละคนเหมือนจะน่ากลัวอยู่บ้าง
“ฆ่าตาแก่หนังเหนียวนี่ซะ” เมื่อเห็นดังนั้น เป่ยโต่วก็พุ่งเข้าไปหาทันที
ไม่นาน ชีซิงก็ตามเป่ยโต่วเข้าร่วมวงต่อสู้
พลังต่อสู้ของซือป๋ออี้ย่อมไม่ต้องพูดมาก แม้แค่ประมือกับคนสามคน ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ไม่อาจจัดการกับซือป๋ออี้ได้
“ผู้อาวุโสใหญ่ จัดการมันเซ่!” เมื่อเห็นผู้อาวุโสใหญ่อยู่ข้างกายเยี่ยหวันหวั่นตลอด ไม่มีทีท่าว่าจะลงมือแม้แต่น้อย เป่ยโต่วก็ตะโกนเสียงดังอย่างไม่เข้าใจ
“อืม…พวกแกสามคนก็พอแล้ว…ฉันกระดูกแก่ขาแก่ ไม่ร่วมวงแล้วละ…ฉันอยู่ข้างผู้นำ คอยคุ้มกันผู้นำดีกว่า…ยังไงความปลอดภัยของผู้นำก็เป็นอันดับหนึ่ง…” ผู้อาวุโสใหญ่มองพวกเป่ยโต่วกับผู้อาวุโสสาม และเอ่ยพลางหัวเราะ
“เวร…ผู้อาวุโสใหญ่ นายมันหน้าไม่อาย…เอ่อ นายคิดมากเกินไปแล้วมั้ง…อย่างพี่เฟิงยังต้องให้นายคุ้มกันด้วยเหรอ…นายล้อฉันเล่นรึไง…” เป่ยโต่วชำเลืองมองผู้อาวุโสใหญ่ด้วยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความไม่พอใจ
ถ้าผู้อาวุโสใหญ่เข้าร่วมวง พวกเขาก็จะจัดการซือป๋ออี้ได้นานแล้วตกลงไหม…
ดูจากการต่อสู้ของทุกคน สืออีก็ตกตะลึงอยู่กับที่พลางกลืนน้ำลาย สีหน้าอึ้งค้าง นี่แม่งคือการต่อสู้ระหว่างมนุษย์เหรอ…
บอดี้การ์ดพวกนั้นของตระกูลซือเทียบกับคนพวกนี้…ก็เหมือนทารกมือยังไม่มีแรงเลยมั้ง!
“อาจารย์…นี่ นี่ก็โอเวอร์เกินไปมั้ง…” สืออีหันไปมองเยี่ยหวันหวั่นโดยไม่รู้ตัว ตาโตอ้าปากค้าง
“ชินไว้ก็พอ” เยี่ยหวันหวั่นเอ่ยเสียงเบา
“อาจารย์…ผมก็อยากเปลี่ยนไปแข็งแกร่งแบบนั้นเหมือนพวกเขาบ้าง…อาจารย์สอนผมทีสิ…” สืออีเอ่ยด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
เยี่ยหวันหวั่นนิ่งเงียบ ในสภาพที่ตัวเองไม่ได้ดื่มเหล้า ถึงเรียกไม่ได้ว่าต่อสู้กาก แต่ถ้าเทียบกับพวกผู้อาวุโสใหญ่ก็เท่ากับกากเดนดีๆ นี่เอง…มีหรือจะสอนเขาได้
“หึๆ แกอยากเรียนอะไร ฉันสอนให้แกก็ได้แล้ว ไม่ต้องรบกวนผู้นำ ผู้นำงานยุ่งมากทุกวัน” ทันใดนั้นผู้อาวุโสใหญ่ที่อยู่ด้านข้างเยี่ยหวันหวั่นก็ยิ้มและเอ่ยกับสืออี
“จริงเหรอ” สืออีจ้องผู้อาวุโสใหญ่ “คุณเก่งกว่าพวกเขาเหรอ”
“แน่นอนอยู่แล้ว เก่งกว่าพวกนั้นมาก ไม่งั้นฉันจะเป็นผู้อาวุโสใหญ่ได้ยังไง” ผู้อาวุโสใหญ่ยิ้มเอ่ย
“เจ๋ง!” เวลานั้นสืออียกนิ้วโป้งให้กับผู้อาวุโสใหญ่ “พวกเขานั้นเร็วมาก ใช้ก้าวทะยานคลื่นไหม…ท่าฝ่ามือของพวกเขาก็น่ากลัวมาก ใช่เจ็บสิบสองเคล็ดวิชาที่สาบสูญของเส้าหลินหรือเปล่า…เชี่ย คนที่ชื่อเป่ยโต่วนั่นถูกซือป๋ออี้ฟาดไปหนึ่งฝ่ามือแล้ว แม้กำแพงจะถูกกระแทกจนพังแต่เขากลับไม่เป็นไรเลย…หรือว่านั่นคือวิชาระฆังทองอาภรณ์เหล็กเหรอ…ผมอยากเรียนทั้งหมดเลย! เคล็ดวิชาพวกนี้ผมจะเรียนทั้งหมด!”
ผู้อาวุโสใหญ่งุนงงอยู่กับที่ มองสืออีหลายทีอย่างนิ่งเงียบ จากนั้นก็พ่นสามคำออกมาจากปาก “ไปให้พ้น”