บทที่ 1859 นายลองไปถามที่วัดเส้าหลินดู
ผู้อาวุโสใหญ่มองสืออีแต่กลับพูดไม่ออก ชายคนนี้เป็นคนโง่งมหรือไม่ ทั้งก้าวทะยานคลื่น ทั้งเจ็ดสิบสองเคล็ดวิชาที่สาบสูญของเส้าหลิน…ระฆังทองอาภรณ์เหล็ก…เขาดูหนังมากไปหรือเปล่า?!
“อาจารย์…อาจารย์สอนผมเถอะ…ผมไปทำธุรกิจที่ต่างประเทศมาหลายปี แต่ตอนที่ได้พบอาจารย์ ผมก็รู้ว่าผมยังสนใจศิลปะการต่อสู้อยู่…” หลังจากที่ถูกผู้อาวุโสใหญ่โจมตีก็ไม่ท้อถอย แต่กลับมองมาที่เยี่ยหวันหวั่นแทน
เมื่อได้ยินสืออีพูดจบ เยี่ยหวันหวั่นก็ขมวดคิ้ว “ก้าวทะยานคลื่น…ระฆังทอง…อาภรณ์เหล็ก…”
“ใช่ๆๆ…” สืออีพยักหน้ารัวๆ
“นายจะทำได้เหรอ…ฉันก็อยากเรียนเหมือนกัน” เยี่ยหวันหวั่นถอนหายใจ “ถ้ามันไม่ได้จริงๆ…ไม่งั้นนะ นายลองไปถามที่วัดเส้าหลินดูไหม…”
ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสใหญ่ที่ต้องการให้เขาออกไปให้พ้นๆ แม้แต่หญิงสาวเองก็คิดเช่นนั้น…หรือว่าสืออีหมกมุ่นอยู่กับนิยายกำลังภายในมากเกินไป ที่ไหนมีสอนเรื่องพวกนี้กัน ถ้ามีละก็เธอยินดีทุ่มเงินทั้งหมดเพื่อเรียนวิทยายุทธ์เหล่านี้…
เป่ยโต่วถูกซือป๋ออี้ซัดไปหนึ่งหมัดจนร่างกระแทกกับกำแพงที่อยู่ไม่ไกลนักจนพังทลาย แต่คนกลับไม่เป็นอะไร…เพราะเป่ยโต่วมีสมรรถภาพร่างกายที่ดีและทนต่อการต่อสู้ได้มาก...ระฆังทองอาภรณ์เหล็ก
หากนี่เป็นการฟันเป่ยโต่วด้วยอาวุธแล้วละก็ นั่นไม่ต้องเสียเลือดเนื้อกันเลยเหรอ
“ก็ได้ๆ…” สุดท้าย สืออีก็ยิ้มด้วยความเขินอาย แน่นอนว่าเทพนิยายล้วนเป็นเรื่องโกหก ยังคิดว่าอาจารย์เหล่านี้เหมือนกับในนิยายหรือในทีวีเลย…
ก่อนที่เยี่ยหวันหวั่นจะพูดอะไรต่อ ห่างไปไม่ไกลก็มีเสียงดังสนั่นลอยมา เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเป่ยโต่ว ชีซิง และผู้อาวุโสสามที่เข้าโจมตีพร้อมกัน ซือป๋ออี้ก็ไม่สามารถต้านทานได้จนต้องถอยห่างไปหลายสิบก้าว
“ศิษย์น้อง ฉันมีเรื่องต้องคุยกับเธอ” ซือป๋ออี้แหกปากดังลั่น
สิ้นเสียง เยี่ยหวันหวั่นก็ขอให้เป่ยโต่วกับชีซิงวางมือก่อน แล้วหันไปยิ้มเยาะซือป๋ออี้ “ว่ามา”
“เฮอะ…คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าเก้าจะเสน่ห์ร้ายไม่เบา…สามารถพาตัวผู้นำของพันธมิตรอู๋เว่ยชื่อดังจากรัฐอิสระกลับมาได้…” ซือป๋ออี้เอ่ยพลางจ้องเยี่ยหวันหวั่น
เมื่อฟังจบ เยี่ยหวันหวั่นก็ยกยิ้มเบาๆ คำพูดแบบนี้เธอชอบฟัง
ซือป๋ออี้มองเยี่ยหวันหวั่นแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย คราวนี้เขาคำนวณผิดพลาด…
แต่ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าเยี่ยหวันหวั่น แท้จริงแล้วคือไป๋เฟิงผู้นำแห่งพันธมิตรอู๋เว่ย...
แน่นอนว่าไป๋เฟิงหายตัวไปหลายปี เป็นเพราะถูกซือเยี่ยหานหรือเจ้าเก้าพาตัวกลับมา มิน่าล่ะ มิน่า…พันธมิตรอู๋เว่ยในตอนหลังจึงกลายเป็นเศษทรายที่กระจัดกระจาย…กองกำลังจำนวนมากที่เคยล่ำลือกันว่าไป๋เฟิงแห่งพันธมิตรอู๋เว่ยได้ตายไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงควบคุมสมาคมอู๋เทียนจากระยะไกล และเข้าโจมตีพันธมิตรอู๋เว่ย เดิมทีเขาต้องการที่จะรวบรวมกองกำลังจำนวนมาก เพื่อทำลายพันธมิตรอู๋เว่ยใครคราวเดียว แล้วดูดซับพลังการต่อสู้ของพันธมิตรอู๋เว่ยเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเอง
แต่อูฐผอมตายยังตัวใหญ่กว่าม้า แม้ว่าพันธมิตรอู๋เว่ยจะสูญเสียผู้นำไป๋เฟิง แต่กลับแข็งแกร่งอย่างน่าสะพรึงกลัว และสมาคมอู๋เทียนก็ไม่สามารถเอาชนะได้…
เดิมทีแผนของเขานั้นไร้ที่ติ แค่หลอกใช้คนใกล้ตัวฆ่าเจ้าเก้าทิ้ง แต่ใครจะไปคิดว่าเจ้าเก้าจะพาผู้นำพันธมิตรอู๋เว่ยกลับมา และที่น่าหงุดหงิดยิ่งกว่านั้นก็คือกลัวว่าผู้นำพันธมิตรอู๋เว่ยคนนี้จะได้ความทรงจำกลับคืนมาแล้ว และกลับมาควบคุมพันธมิตรอู๋เว่ยอีกครั้ง…เรื่องนี้ค่อนข้างยุ่งยากแล้ว
“เหอะๆ…เยี่ยหวันหวั่น…ไม่ใช่สิ ควรจะเป็นไป๋เฟิง...ผู้นำไป๋…ฉันว่าหนทางระหว่างเรายังอีกยาวไกลนะ” ซือป๋ออี้กล่าวยิ้มๆ
“จริงเหรอ ไหนลองพูดให้ฟังหน่อย” เยี่ยหวันหวั่นตอบ
เธออยากเห็นนักว่า พี่ใหญ่ซือป๋ออี้แห่งตระกูลซือจะมาไม้ไหนอีก
——————————————————
บทที่ 1860 ฉันตกใจหนักมาก
“ก่อนหน้านี้สมาคมอู๋เทียนถูกพันธมิตรอู๋เว่ยโจมตี สมาคมอู๋เทียนของพวกเราก็สูญเสียอย่างหนัก เราได้จับสมาชิกหัวกะทิของพันธมิตรอู๋เว่ยมาได้ไม่น้อย…ในจุดนี้ ฉันเชื่อว่าผู้นำไป๋รู้ดี แค่ผู้นำไป๋ปล่อยวางเรื่องในอดีต สมาคมอู๋เทียนของพวกเรากับพันธมิตรอู๋เว่ยก็จะสามารถเป็นมิตรที่ดีต่อกันได้ ฉันจะคืนตัวสมาชิกหัวกะทิของพันธมิตรอู๋เว่ย กลับคืนสู่ผู้นำ”
ซือป๋ออี้มองเยี่ยหวันหวั่นแล้วยิ้มเบาๆ
ที่รัฐอิสระ ใครๆ ต่างก็รู้ว่าแบดเจอร์แห่งผู้นำพันธมิตรอู๋เว่ยเป็นคนโหดเหี้ยม แต่ในขณะเดียวกันเขาก็จงรักภักดีและให้ความสำคัญกับมิตรภาพมาก ในตอนแรกที่ซือป๋ออี้ไม่ได้ฆ่าสมาชิกหัวกะทิที่จับตัวมาจากพันธมิตรอู๋เว่ย ก็นับว่ากันไว้ดีกว่าแก้ หากวันใดที่พันธมิตรอู๋เว่ยกลับคืนสู่จุดสูงสุด แล้วกลับมาคิดบัญชีกับพวกเขา หรือหากผู้นำพันธมิตรอู๋เว่ยกลับมา…เขายังถือไพ่อยู่ในมือ สามารถนำมาเจรจาต่อรองกับพันธมิตรอู๋เว่ยได้
“โอ้…อย่างงั้นเหรอ” เยี่ยหวันหวั่นกลอกตาเล็กน้อย
“หึหึ ผู้นำไป๋ นี่มันแน่นอนอยู่แล้ว ฉันซืออู๋เทียนพูดคำไหนคำนั้น…รวมทั้งฉินรั่วซี ฉันสามารถยกให้กับผู้นำไป๋ เพื่อให้ผู้นำไป๋ได้เอาไว้ระบายความโกรธ…” ซือป๋ออี้หัวเราะเมื่อพูดจบ
“อะไรนะ…”
เมื่อได้ยินซือป๋ออี้พูดแบบนั้น ฉินรั่วซีก็หน้าซีดเป็นไก่ต้ม
“ฉินรั่วซี?”
เยี่ยหวันหวั่นขมวดคิ้วเล็กน้อย “ดูเหมือนว่า นายมันไม่จริงใจเลยจริงๆ…ในสายตาของฉัน เธอไม่มีความหมายอะไรเลย”
“เชี่ย นายแม่งทำไมต้องจูงหมาจูงแมว มายกให้ผู้นำพันธมิตรของพวกเราด้วย?!” เป่ยโต่วตะโกนอย่างเย็นชา
ในตอนนี้เอง ฉินรั่วซีมองเยี่ยหวันหวั่น ความรู้สึกไร้อำนาจอยู่ลึกๆ ได้ผุดขึ้นมากลางใจของเธอ
กาลครั้งหนึ่ง ผู้หญิงที่ชื่อเยี่ยหวันหวั่นเป็นเพียงมดไร้ค่าในสายตาของเธอ…หากไม่ใช่เพราะซือเยี่ยหาน เธอจะบี้มันให้ตายตอนไหนก็ได้…
ทว่า มาถึงวันนี้สิ่งที่เธอเรียกว่ามดกลับกลายเป็นหุบเหวลึกที่เธอไม่มีวันข้ามได้…เธอกับเยี่ยหวันหวั่น ไม่สิ…ผู้นำไป๋แห่งพันธมิตรอู๋เว่ย เหมือนอยู่คนละโลก อยู่คนละมิติอย่างสิ้นเชิง…
เยี่ยหวันหวั่นในวันนี้คือยักษ์ตัวจริง ส่วนเธอกลับกลายเป็นหมาเป็นแมว และยิ่งไปกว่านั้น ซือป๋ออี้ก็ยังเกรงกลัวผู้หญิงคนนี้มาก…
“คนของฉัน ฉันหาเองได้…ส่วนนายก็พยายามจะฆ่าผู้ชายของฉันอยู่เสมอ…เมื่อกี้ก็คิดจะฆ่าฉัน…ฉันคิดว่านะ เราไม่จำเป็นต้องทำข้อตกลงหรอก” เยี่ยหวันหวั่นยิ้มเยาะ
เมื่อเยี่ยหวันหวั่นพูดจบ สีหน้าของซือป๋ออี้ก็เปลี่ยนไป
“เหอะๆ…ผู้นำไป๋เฟิง จะบอกว่า ไม่มีอะไรจะคุยแล้วอย่างนั้นเหรอ…ใช่แบบนี้หรือเปล่า” ซือป๋ออี้จ้องเยี่ยหวันหวั่นด้วยแววตาเยือกเย็น
“นายจะเข้าใจแบบนั้นก็ได้” เยี่ยหวันหวั่นเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“เหอะๆ ผู้นำไป๋เฟิง ฉันเคยให้โอกาสเธอแล้วแต่เธอไม่ต้องการมันเอง…ถ้าเธอต้องการสูญเสียทั้งสองทาง ฉันก็ช่วยไม่ได้…วันนี้ พวกเธอก็ตายไปด้วยกันทั้งหมดที่นี่ แม้ว่าฉันต้องถูกพันธมิตรอู๋เว่ยตามล่าอย่างไม่สิ้นสุด…แต่พวกเธอต้องตายก่อนฉัน”
พอซือป๋ออี้พูดจบ ก็ผิวปากในทันใด
วินาทีต่อมา ชายชุดดำกว่าสิบคนพร้อมอาวุธปืน ก็กรูกันเข้ามาจากด้านในคฤหาสน์
เมื่อเห็นแบบนี้ เป่ยโต่ว ชีซิงและผู้อาวุโสสามก็หน้าถอดสีทันที…แม่ง เป็นคนจากรัฐอิสระแท้ๆ แต่ดันใช้ปืน…
“พวกแกแม่ง น่ารังเกียจและไร้ยางอายเกินไปแล้ว…เป็นคนรัฐอิสระแท้ๆ แต่ใช้ปืนเนี่ยนะ!” เป่ยโต่วชี้ไปที่ซือป๋ออี้และตะโกนอย่างเดือดดาล
“คนของรัฐอิสระ?” พอฟังจบ ซือป๋ออี้ก็ยิ้มเยาะ “ฉันถูกไล่ออกจากรัฐอิสระตั้งนานแล้ว…อีกอย่าง ตอนนี้ฉันก็ไม่ได้อยู่ในรัฐอิสระ ฉันใช้ปืนแล้วใครจะทำไม”
“ซือป๋ออี้…นายถือของสิ่งนี้ นายกำลังล้อฉันเล่นเหรอ? ฉันไป๋เฟิงตกใจหนักมาก?!” เยี่ยหวันหวั่นเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว พร้อมด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นที่ปรากฏบนใบหน้าของเธออย่างไม่เกรงกลัว