บทที่ 1863 สุดจริงๆ
พอพูดจบ ผู้อาวุโสใหญ่ก็หน้าแดง ครั้งนี้…ผู้นำก็…หน้าด้านไปหน่อยจริงๆ แต่จะว่าไป พันธมิตรอู๋เว่ยของพวกเขาก็ไร้ยางอายสุดๆ อยู่แล้วนี่ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยปฏิบัติตามกฎใดๆ เลย การที่ผู้นำทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้ขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“มองอะไรวะ…แกมันคนเลว ถุย!” เป่ยโต่วว่า
ชีซิงพูดไม่ออก
“ผมไม่รู้เรื่องนะ ผมแค่ตามอาจารย์มาเจรจาธุรกิจ ใครจะไปรู้ว่าพี่ใหญ่ของผมจะเป็นอาชญากร” สืออีกล่าว
ไม่นานนัก เยี่ยหวันหวั่นกับซือป๋ออี้และคนอื่นๆ ก็ถูกพาตัวไป เพื่อทำความเข้าใจในกระบวนการและลำดับเหตุการณ์โดยละเอียด
จวบจนพลบค่ำ เยี่ยหวันหวั่นและคนอื่นๆ จึงถูกปล่อยตัวออกมา
หลังจากการสอบสวนพบว่า เยี่ยหวันหวั่นและคนอื่นเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ซือป๋ออี้กลับก่อตั้งกองกำลังอย่างผิดกฎหมายในจีน และครอบครองอาวุธปืนเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายอาญาของจีน ซือป๋ออี้ต้องการให้เยี่ยหวันหวั่นพังพินาศไปพร้อมกับเขา แต่ไม่มีเหตุผลใดมารองรับ
อย่างไรเสีย เยี่ยหวันหวั่นไม่ได้ทำผิดกฎหมายประเทศจีน และไม่ได้ครอบครองอาวุธปืน อย่างมากที่สุดคือเป่ยโต่วที่สั่งสอนฉินรั่วซีไปหนึ่งยก ในกรณีนี้ก็นับเป็นการป้องกันตัว…ไม่ใช่การทะเลาะวิวาท…
เดิมทีฉินรั่วซีพยายามอย่างหนักในการเคลียร์ความสัมพันธ์ของตัวเองกับซือป๋ออี้ แต่ตำรวจจีนได้ทำการสืบสวนอย่างรวดเร็วและมีหลักฐานชัดเจนว่า ฉินรั่วซีเป็นเมียน้อยของซือป๋ออี้ และได้ทำเรื่องผิดกฎหมายให้ซือป้าอี้หลายครั้ง
ซือป๋ออี้ไม่เคยคิดมาก่อนว่าท้ายที่สุดแล้วจะต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของตำรวจจีน…ที่น่ารังเกียจที่สุดคือ เยี่ยหวันหวั่นที่เป็นคนรัฐอิสระเหมือนกัน แต่กลับเป็นคนแจ้งจับเขา!
ที่รัฐอิสระ ซือป๋ออี้เห็นคนมาหลายรูปแบบ ทั้งคนชั่วร้ายและคนไร้ยางอาย เขาเคยสัมผัสมาแล้วทั้งหมด แต่ทั้งชีวิตนี้ยังไม่เคยพบเจอผู้หญิงหน้าด้านแบบเยี่ยหวันหวั่นมาก่อน!
……
หลังจากนำชีซิง เป่ยโต่วและคนอื่นๆ ออกมาจากสถานีตำรวจแล้ว เยี่ยหวันหวั่นก็เหลือบมองพวกเขาแล้วยิ้มพลางเอ่ยถาม “จากเรื่องนี้ พวกนายได้เรียนรู้อะไรบ้าง”
“ได้เรียนรู้ ได้เรียนรู้!” เป่ยโต่วจ้องเยี่ยหวันหวั่นและยกนิ้วให้ทันที “เรียนรู้ว่าจะต้องน่ารังเกียจและหน้าด้านไร้ยางอายแบบพี่เฟิงไง!”
เยี่ยหวันหวั่นพูดไม่ออก ‘นายแม่งกวนตีนหรือไง?’
“เรียนรู้ที่จะหน้าไม่อาย!” สืออีตอบ
“ฉันคิดว่าสิ่งที่ผู้นำจะพูดคือ…ถ้าจะใช้แรงแก้ปัญหาพยายามอย่าลงมือทำเอง ต่อให้ต้องไร้ยางอายแค่ไหนก็ตาม…” ผู้อาวุโสสามคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น
“เอ่อ…ฉันหมายถึงอย่าทำผิดกฎหมายประเทศใดๆ ดูซือป๋ออี้ไว้เป็นบทเรียน…” เยี่ยหวันหวั่นกล่าวอย่างเขินอายเล็กน้อย
“งั้นที่เราลักพาตัว…นั่นเป็นการละเมิดกฎหมายประเทศจีนไม่ใช่เหรอ?” เป่ยโต่วจ้องเยี่ยหวันหวั่นด้วยความสับสน
“ลักพาตัว?” พอฟังจบ เยี่ยหวันหวั่นก็กลอกตามองเป่ยโต่ว “พวกนายเป็นคนลัก…ฉันไม่ได้ลัก…”
“สุดมาก สุดจริงๆ!” เป่ยโต่วกล่าวด้วยความชื่นชม
“อีกอย่างนะ นั่นถือเป็นการลักพาตัวได้ยังไง? เหลียงเหม่ยเซวียนกับหวงหมิงคุนเป็นอาชญากรตัวจริง เราก็แค่ใช้วิธีที่ไม่เหมาะสมบางอย่างเพื่อบังคับให้พวกเขาสารภาพ อีกอย่าง ฉันได้ลงมือกับพวกเขาไหม ฉันได้ด่าพวกเขาไหม ไม่ได้ทำนะ” เยี่ยหวันหวั่นตอบด้วยเหตุผล
“ถ้างั้น…แล้วเลี่ยวเจียฉีล่ะ” เป่ยโต่วถามต่อ
“เจ้าเด็กเลี่ยวนั่น ปล่อยให้ไปก็ไม่ยอมไป จะตามติดผู้นำอย่างเดียว นั่นจะนับว่าเป็นการลักพาตัวได้ยังไง เขาร่วมมือกับเราด้วยความเต็มใจต่างหาก” ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ผู้อาวุโสใหญ่พูดถูก” เยี่ยหวันหวั่นพยักหน้า
——————————————————————
บทที่ 1864 รวยแล้ววิเศษมากไหม
ผู้อาวุโสสามที่ได้ยินดังนั้นก็เหลือบมองผู้อาวุโสใหญ่แวบหนึ่ง ดูแล้ว ผู้นำต้องเรียนรู้ความหน้าด้านไร้ยางอายมาจากไอ้แก่นี่แน่ๆ
ตอนนี้สืออีมองไปยังเยี่ยหวันหวั่น “อาจารย์ ชีวิตของพวกอาจารย์มีสีสันมากเลย อีกหน่อยให้ผมคอยติดตามไปด้วยเถอะนะครับ”
สืออีสามารถจินตนาการได้ว่า รัฐอิสระที่ซือป๋ออี้บอก จะต้องเป็นดินแดนในฝันแน่ๆ
“คุณเก้าอุตส่าห์มอบตระกูลซือให้นายดูแล นายอยู่ที่ตระกูลซือต่อไปเถอะ” เยี่ยหวันหวั่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดกับสืออี
ตระกูลซือจะขาดผู้นำไม่ได้ สืออีในฐานะที่เป็นพี่เจ็ดแห่งตระกูลซือ เป็นหัวหน้าตระกูลซือ สามารถดูแลตระกูลซือได้เหมาะสมที่สุดแล้ว นี่คือสิ่งที่ซือเยี่ยหานหมายถึงอย่างแท้จริง
เมื่อได้ยินเยี่ยหวันหวั่นพูดแบบนั้น สืออีก็ถอนหายใจอย่างจนปัญญา ได้แต่พยักหน้ารับ
“เฮ้อ แต่…ผมอยากไปเยี่ยมดูตระกูลซือโบราณในรัฐอิสระด้วย เจ้าเก้าก็อยู่ที่นั่นไม่ใช่เหรอ…ถ้าพูดตามเหตุผลแล้ว ผมก็เป็นคนตระกูลซือนะ เทียบเท่ากับทายาทของตระกูลซือโบราณ ไม่แน่หลังจากที่ผมไป เมื่อพวกเขาเห็นพรสวรรค์ของผม ก็อาจให้ผมอยู่ในกลุ่มซือโบราณต่อ และตั้งใจฝึกฝนให้ผม” สืออีตอบ
เยี่ยหวันหวั่นพูดไม่ออก นี่จริงจังเหรอเนี่ย?
“ไปเล่นในโคลนไป” เป่ยโต่วเหลือบตามองสืออี “ถ้าเป็นจริงอย่างที่แกบอก ตระกูลซือโบราณคงล่มสลายไปนานแล้ว ที่ยังสืบทอดมาได้ถึงตอนนี้ได้ เพราะคนของตระกูลซือโบราณล้วนไม่มีผู้อ่อนแอ ข้างนอกนั่นล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งที่จิตใจแน่วแน่และสง่างาม”
“ถึงวิทยายุทธ์ของผมจะไม่ดี…แต่ผมทำธุรกิจได้นะ อย่าบอกว่าที่รัฐอิสระไม่ต้องทำงานหาเงิน อย่าบอกว่าตระกูลซือโบราณไม่ต้องกินข้าว? ผมทำธุรกิจมาหลายปี มีประสบการณ์มากมาย อะไรทำเงิน อะไรไม่ทำเงิน ผมมองปราดเดียวก็ดูออกแล้ว” สืออียิ้มตอบ
“รวยแล้วไง…รวยแล้ววิเศษมากไหม…รวยแล้วไปรัฐอิสระได้เหรอ…รวยแล้วตระกูลซือโบราณจะชอบนาย? ตระกูลซือโบราณไม่ชอบนายไม่เป็นไร พันธมิตรอู๋เว่ยของเรา ให้ความสำคัญกับคนที่มีความสามารถเช่นนายมากที่สุด!” ใบหน้าเปื้อนยิ้มของเป่ยโต่วจ้องไปยังสืออี แล้วบทสนทนาก็เปลี่ยนไป
ชีซิงพูดไม่ออก
เยี่ยหวันหวั่นก็พูดไม่ออก
“พี่เฟิง พวกเราพาสหายสืออีกลับรัฐอิสระด้วยกันเถอะ…สืออีเป็นลูกศิษย์ของพี่ พี่เฟิงนะ พี่เฟิงอย่าไร้เยื่อใย ทิ้งสหายสืออีไว้ที่ประเทศจีน โดยที่ไม่ดูดำดูดีแบบนี้เลยนะ ผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง!” เป่ยโต่วพูดอย่างจริงจัง
“นั่นสิครับอาจารย์ ไม่งั้นก็พาผมกลับไปรัฐอิสระด้วย พาผมไปดูโลกภายนอกบ้าง” สืออีรีบพูด
“ถ้านายไปรัฐอิสระ แล้วตระกูลซือจะทำยังไง” เยี่ยหวันหวั่นถามจี้ใจดำ
สืออียังคงอยู่ในประเทศจีนต่อไป ที่แบบรัฐอิสระไม่เหมาะกับเขา อีกอย่าง สำหรับรัฐอิสระ สืออีถือว่าเป็นคนนอก ถ้าอยากจะได้ใบผ่านทางก็ต้องสิ้นเปลืองความพยายามอีกมาก จากความสัมพันธ์ในปัจจุบันระหว่างรัฐอิสระกับสมาคมสหพันธ์วิทยายุทธ์แล้ว คาดว่าพวกเขาจะไม่อำนวยความสะดวกให้รัฐอิสระอีกต่อไป
จากนั้นไม่นาน เยี่ยหวันหวั่นก็ขอให้ผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสสาม พาชีซิงและสืออีรวมทั้งคนอื่นๆ ไปยังคฤหาสน์ของซือป๋ออี้ เพื่อสอบสวนเรื่องสมาชิกหัวกะทิของพันธมิตรอู๋เว่ย ในขณะที่เยี่ยหวันหวั่นตรงไปยังจูเสินสือไต้
เรื่องในประเทศจีนก็ทำสำเร็จแล้ว ก่อนเดินทางกลับ ก็อยากจะไปบอกลากงซวี่กับหานเซี่ยนอวี่และคนอื่นๆ ในส่วนของพ่อกับแม่นั้น เยี่ยหวันหวั่นได้เตรียมการไว้นานแล้ว
ในตอนนี้เยี่ยมู่ฝานก็ได้กลับมายังจูเสินสือไต้อีกครั้ง และจูเสินสือไต้ได้กลายเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญของซิงเฉินเอ็นเตอร์เทนเมนต์และแทบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ในส่วนของเหยาเจียเหวิน เมื่อเยี่ยมู่ฝานกลับสู่จูเสินสือไต้ก็ไล่ออกจากบริษัทไป และแจ้งความเรื่องที่เหยาเจียเหวินยักยอกเงินของบริษัทด้วย ในตอนนี้เหยาเจียเหวินตกที่นั่งลำบาก และเชื่อว่าอีกไม่นานต้องไปชดใช้ในคุกแน่นอน