บทที่ 3049 ปัจฉิมบท 14
“ได้!”
ฮวาเหยียนมองไปที่ฟั่นเชียนซื่อทันที “นายท่าน!”
ฟั่นเชียนซื่อตวาดขึ้น “หุบปาก! เรื่องของเปิ่นจุนมีที่ให้เจ้าสอดปากหรือไง?”
ดวงหน้างามของฮวาเหยียนพลันซีดขาว ก้มหน้าไม่กล่าววาจาอีก
เสี่ยวเฮยทนไม่ไหวแล้ว ‘นายท่าน มาถึงยามนี้แล้วเจ้ายังคิดจะทำอะไรอีก? เจ้าเคยบอกข้าไว้ รู้สถานการณ์ถึงจะเป็นยอดคน แล้วทำไมพอถึงตาของตัวเจ้าเอง กลับดื้อดึงยิ่งนักเล่า? สมองเจ้าพังไปแล้วหรือไง? ปกติเจ้าไม่ได้หัวรั้นขนาดนี้…’
ฟั่นเชียนซื่อยิ้มแล้ว ทว่ารอยยิ้มกลับส่งไปไม่ถึงดวงตา “เว้นแต่เจ้าจะย้อนเวลากลับไปได้ ให้ตัวเจ้าในอดีตปฏิบัติต่อข้าในฐานะศิษย์อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่หลอกใช้ประโยชน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า วางแผนคิดคดซ้ำแล้วซ้ำเล่า!”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกเลย…
ฟั่นเชียนซื่อเชิดหน้ายิ้มแวบหนึ่ง “เปิ่นจุนก็รู้อยู่แล้วว่าเจ้าทำไม่ได้! เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว!”
ท่ามกลางความมืดสลัวจู่ๆ ก็มีเสียงถอนหายใจสายหนึ่งแว่วลอยมาไกลๆ “ไม่จำเป็นต้องย้อนเวลาหรอก ตัวนางในอดีตเห็นเจ้าเป็นศิษย์และดีด้วยเสมอมา ไม่เคยวางแผนต่อเจ้าเลย ตรงกันข้าม นางยังทำเพื่อเจ้ามากมายเหลือเกิน…”
เสียงนั้นกระจ่างดึงดูด เสนาะหูอย่างยิ่ง และคล้ายจะแฝงเสียงทอดถอนใจอันเลือนรางเอาไว้เล็กน้อยด้วย
ทุกคนตะลึงงันไปชั่วขณะ
สำหรับทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้แล้ว เสียงนี้ช่างไม่คุ้นเคยยิ่ง
แต่จิตใจของกู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีพลันสั่นไหว ราวกับว่าเจ้าของเสียงนี้สนิทสนมคุ้นเคยกับตนยิ่ง เพียงแต่ยังได้ยินเสียงนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน
“ใคร? เป็นผู้ใดที่พูดเหลวไหลอยู่ตรงนั้น?!” ฟั่นเชียนซื่อลืมตาขึ้นมาทันที
ทว่าเสียงนั้นกลับไม่เอ่ยต่อแล้ว จู่ๆ เจ้าหอยยักษ์ที่กำลังดำดินอยู่ก็อุทานด้วยความตกใจ ร่างกายมหึมามุดขึ้นสู่ด้านบนทันที
“อ๋าๆๆๆ ใครลากผู้เฒ่ากัน? จบแล้ว! กำลังขึ้นไปแล้ว! ขึ้นไปแล้ว!”
ขณะที่เจ้าหอยยักษ์ร้องตะโกนด้วยความตกใจ ตัวมันที่บรรทุกคนเอาไว้เต็มเปลือกก็ผุดขึ้นมาบนผิวดินแล้ว จากนั้นก็ตะลึงงันไปเลย!
“ที่นี่คือที่ไหนเนี่ย? นี่พวกเรามุดออกมาจากทะเลทรายได้แล้วหรือ?”
ด้านนอกมิใช่ทะเลทรายกว้างไกลไร้ขอบเขตผืนนั้นแล้ว แต่เป็นห้วงอวกาศ!
ธารดาราพร่างพราว ส่องสกาวอยู่ทั่วไป
ดวงดาวเหล่านั้นย่อมมิใช่ดวงดาวบนฟากฟ้าจริงๆ แต่คล้ายจะสร้างขึ้นมาจากศิลาชนิดหนึ่งที่มีแสงสุกสกาว ล่องลอยโคจรอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก คล้ายนภาดาษดาราของจริง เวิ้งว้างไร้ขอบเขต
ที่นี่คือที่ไหน?
หลงซือเย่ ฮวาเหยียน หอยยักษ์ ลู่อู๋ เสี่ยวเฮยถูกทิวทัศน์เบื้องหน้าทำให้ตกตะลึง ไม่กล้าส่งเสียงไปชั่วขณะ
ทว่าหัวใจของฟั่นเชียนซื่อกลับเสมือนมีค้อนขนาดใหญ่ทุบใส่อย่างจัง สถานที่แห่งนี้…
คล้ายจะเป็นแดนต้องห้ามสำหรับทวยเทพ!
แต่ว่า เป็นไปได้ยังไง?
แดนต้องห้ามสำหรับทวยเทพสูญหายไปนานแล้ว เลือนหายไปในห้วงเวลาอันยาวนาน แล้วทำไมถึงปรากฏขึ้นมาที่นี่อีกครั้งล่ะ?
นี่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์เลย!
ความทรงจำในชาติก่อนของฟั่นเชียนซื่อไม่นับว่าครบถ้วนสมบูรณ์ เขาจำได้รางๆ ว่าในปีนั้นหลังจากเขากับตี้ฝูอีออกมามาจากแดนต้องห้ามสำหรับทวยเทพพร้อมกันแล้ว แดนต้องห้ามแห่งนี้ก็ระเบิดเลย!
อานุภาพของการระเบิดนั้นยิ่งใหญ่เกินไป ไม่มีผู้ใดสามารถเผชิญหน้าตรงๆ ได้ ดังนั้นทุกคนจึงพากันหนีเอาชีวิตรอด
ผู้ใดก็ไม่ทราบว่าสรุปแล้วการระเบิดครั้งนั้นดำเนินต่อไปนานแค่ไหน เนื่องจากหลังจากระเบิดแล้ว ทุกคนล้วนลืมเลือนแดนต้องห้ามสำหรับทวยเทพไปจนสิ้น ลืมเลือนเทพผู้สร้างโลกซีจิ่วไปเลย…
ฟั่นเชียนซื่อจำได้เพียงว่ายามนั้นพอตนออกมาก็กระอักเลือด จากนั้นก็เข้าสู่ห้วงนิทราไป
เมื่อตื่นมาอีกครั้งก็จำเรื่องราวในอดีตไม่ได้แล้ว จำได้เพียงว่าตนคือเทพผู้สร้างโลก…
ส่วนตี้ฝูอีก็เป็นเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ เขาและตี้ฝูอีบริหารจัดการหกภพภูมิร่วมกัน
อาจเป็นเพราะยึดติดหนักหนาเกินไป หลังจากเขาตื่นขึ้นมาได้ไม่นาน ก็เริ่มฝันถึงเรื่องราวราวในชาติก่อนขึ้นมาทีละนิดละหน่อย พอนานเข้าไม่น่าเชื่อว่าเรื่องราวในชาติก่อนจะปะติดปะต่อกันขึ้นมา…
หลังจากความทรงจำของเขากลับคืนมาส่วนหนึ่ง ก็เริ่มค้นหาแดนต้องห้ามสำหรับหวยเทพแห่งนี้ ทว่าไม่เคยหาพบเลย ทำให้เขาแทบนึกว่าแดนต้องห้ามสำหรับทวยเทพแห่งนี้เป็นเพียงจินตนาการ ไม่มีตัวตนอยู่…
แต่ตอนนี้! มันปรากฏขึ้นอีกครั้งแล้ว! ซ้ำยังปรากฏขึ้นที่นี่ด้วย…
————————————————————————————-
บทที่ 3050 ปัจฉิมบท 15
เขายืนตะลึงงันอยู่ตรงนั้น ความเศร้าสร้อยและอ้างว้างที่บอกไม่ถูกเอ่อล้นขึ้นมาในหัวใจ
ส่วนกู้ซีจิ่วก็ค่อนข้างตกตะลึงเลื่อนลอยไปเช่นกัน หลังจากเธอเห็นทุกอย่างที่นี่ชัดเจนแล้ว ในใจก็ถูกความรู้สึกโศกศัลย์ย่ำแย่ที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกอย่างหนึ่งปกคลุมเช่นกัน คล้ายจะสิ้นหวังและคล้ายจะหวาดกลัว ซ้ำยังแฝงความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นสายหนึ่งเอาไว้ด้วย อารมณ์เชิงลบเหล่านี้พัวพันเข้ามาพร้อมกัน ตัดไม่ขาดสับสนวุ่นวายใจ แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่รู้เลยว่าอารมณ์เชิงลบเหล่านี้มาจากไหนกัน?!
เธอหันไปมองตี้ฝูอีแวบหนึ่งตามสัญชาตญาณ กลับพบว่าเขามองดูเส้นทางศิลาดาวฤกษ์สายนั้นอย่างใจลอยอยู่ แววตาไหวระริก สีหน้าซีดขาวจนน่ากลัว…
“ฝูอี?” เธอจับแขนเขา ตี้ฝูอียกแขนโอบตัวเธอไว้ในทันใด ขณะที่กำลังจะเอ่ยวาจา จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเจ้าหอยยักษ์ตะโกนขึ้นมาด้วยความตกใจ “แย่แล้ว! จิตมาร…จิตมารก็มาด้วย!”
ทุกคนล้วนตกใจ มองไปตามทิศทางที่เจ้าหอยยักษ์ชี้ จากนั้นก็ตะลึงงัน!
สตรีชุดขาวนางหนึ่งคล้ายจะปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่า ทะยานเข้ามาจากที่ไกลๆ วิ่งไปตามเส้นทางสายน้อยที่สุกสกาวดุจดารา
รูปโฉมโนมพรรณการแต่งกายของสตรีนางนั้นคล้ายกับจิตมารยิ่งนัก แต่ทุกคนแยกแยะได้อย่างรวดเร็วว่าสตรีผู้นี้มิใช่จิตมาร เนื่องจากบนร่างของสตรีนางนี้มีแสงศักดิ์สิทธิ์จางๆ โอบล้อมอยู่ ไม่มีไอมารเลยสักนิด
นางเป็นเทพ!
มิใช่มาร!
ฟั่นเชียนซื่อคล้ายจะตระหนักอะไรขึ้นมาได้ ก้าวเข้าไปในทันใด “อาจารย์!”
ทว่าสตรีนางนั้นคล้ายจะไม่เห็นเขาเลย หรืออาจกล่าวได้ว่า นางไม่เห็นคนและสัตว์เหล่านี้ที่อยู่ที่นี่เลย พุ่งไปข้างหน้าโดยไม่ปรายตามองเลย…
คงมิใช่ว่าเป็นภาพมายากระมัง?!
ทุกคนสบตากันแวบหนึ่ง ตามหลังสตรีนางนั้นไปอย่างพร้อมเพรียง
ด้านหน้าปรากฏตำหนักหลังหนึ่งขึ้นมาแล้ว ตำหนักเทวาหลังนั้นโอ่อ่าตระการตา รอบข้างรายล้อมด้วยแสงสีรุ้ง เห็นได้ชัดว่าเป็นตำหนักวิเศษ
สตรีนางนั้นมุ่งตรงเข้าไปในตำหนักเทวาหลังนั้น หายลับไป
กู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีสบตากันแวบหนึ่ง ย่อมติดตามเข้าไปด้วยเช่นกัน
พวกเจ้าหอยยักษ์ หลงซือเย่ ฮวาเหยียนกลับปะทะเข้ากับเขตแดนที่กั้นขวาง ก้าวเข้าไปอีกไม่ได้เลยสักก้าว
ฟั่นเชียนซื่อชะงักอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง ตำหนักหลังนี้…
นี่คือตำหนักเทวาที่เขาได้กลายเป็นเทพผู้สร้างโลกในตอนนั้น เขาจำได้ว่าดูเหมือนตนจะได้รับสืบทอดมรดกตกทอดแห่งเทพผู้สร้างโลกมากมายจากด้านในนี้…
จิตใจเขาเลื่อนลอยไปเป็นพักๆ พลันตัดสินใจ เดินเข้าไปในตำหนักเช่นกัน
ในใจของเจ้าหอยยักษ์เต็มไปด้วยความฉงน ใช้เปลือกหอยกระแทกเขตแดนที่อยู่ด้านหน้า “เขตแดนนี้ขวางกั้นเฉพาะพวกเราหรือ? ทำไมพวกเขาไม่เป็นไรเลยล่ะ?” จากนั้นก็เอ่ยอย่างเป็นกังวลอีกครั้ง “คงมิใช่ว่าพวกเราถูกทิ้งไว้ที่นี่กระมัง?!”
ฮวาเหยียนคล้ายจะเข้าใจอะไรเล็กน้อยแล้ว “บางทีอาจมีเพียงผู้ที่เกี่ยวข้องถึงจะเข้าไปได้ พวกเรา…ไม่มีคุณสมบัติข้อนี้”
เอาเถอะ น่าจะใช่แล้ว!
อย่างไรเสียทั้งสามคนที่เข้าไป เป็นเทพผู้สร้างโลกแล้วสอง เจ้าแห่งลิขิตสวรรค์แล้วหนึ่ง…
หลงซือเย่จึงทรุดนั่งลงบนพื้นเสียเลย “เช่นนั้นพวกเราก็รออยู่ที่นี่เถิด!”
….
ภายในตำหนัก
คนสามคนตาสามคู่มองไปที่สตรีชุดขาวเบื้องหน้าผู้นั้น ค่อนข้างตะลึงเลื่อนลอยกันไปชั่วขณะ
สตรีนางนั้นวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนปานนี้ ไม่น่าเชื่อว่าแค่มาวางลูกปัดเม็ดหนึ่งที่ดูคล้ายดาราดวงหนึ่งไว้ในตำหนักเท่านั้น
ภายในตำหนักไม่มีเครื่องเรือนใดๆ เลย เพียงจัดวางค่ายกลที่เรียงรายคล้ายผังดาราเอาไว้ค่ายหนึ่ง สตรีนางนั้นวนซ้ายวนขวาอยู่ตรงกลางตำหนัก ในที่สุดก็วนจนได้ตำแหน่งแล้ว จึงนำศิลาก้อนหนึ่งในมือที่งามจรัสปานแสงจันทราวางเข้าไป จากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง เอ่ยพึมพำประโยคหนึ่ง “ในที่สุดก็จัดเรียงสำเร็จแล้ว! แบบนี้หลังจากเปิ่นจุนดับขันธ์ไป เชียนซื่อก็นับว่ารับสืบทอดมรดกของข้าต่อได้แล้ว…”
ร่างกายฟั่นเชียนซื่อแข็งทื่อไป สีหน้าเผือดซีดทันที
ค่ายกลดารานี้จัดเตรียมไว้ให้เขา?
มิใช่สิ่งที่สวรรค์จัดเตรียมไว้ให้เทพผู้สร้างโลกโดยเฉพาะหรือ?
วรยุทธ์ทั้งหมดในร่างตัวเขาได้รับมาจากค่ายกลนี้จริงๆ เขาจำได้ว่าปีนั้นพอบุกเข้ามาถึงที่นี่ ได้ถูกค่ายกลกักขังไว้ จะอยู่ก็ไม่ได้ จะตายก็ไม่ได้ จนกระทั่งเขาเหนื่อยล้าจนผิวหนังแทบจะลอกออกไปชั้นหนึ่ง ถึงแก้ค่ายกลนี้แล้วฝ่าหนีออกมาอย่างลำบากยากเย็นได้ และบนร่างก็มีทักษะยุทธ์มากมายที่เกี่ยวข้องกับเทพผู้สร้างโลกเพิ่มขึ้นมา…
————————————————————————————-