บทที่ 3051 ปัจฉิมบท 16
เขาคิดมาโดยตลอดว่านี่คือตำหนักเทวาที่สวรรค์สรรสร้าง เพื่อก่อกำเนิดเทพผู้สร้างโลกโดยเฉพาะ กลับนึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นสิ่งที่อาจารย์เตรียมไว้ให้เขาโดยเฉพาะ
ไม่ นี่ไม่ใช่ความจริง
บางทีอาจเป็นช่วงเวลาที่นางยังไม่ได้รู้จักตี้ฝูอี จึงทำสิ่งเหล่านี้ ตอนนั้นนางยังไม่ได้ทำผิดต่อเขาจริงๆ อย่างน้อยก็ปฏิบัติด้วยเหมือนลูกศิษย์
ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นภาพมายาที่ตี้ฝูอีสร้างขึ้นมาสำหรับเขาโดยเฉพาะ ทำให้เขาไม่เกลียดแค้นชิงชังปานนั้นอีก ยอมบอกวิธีผนึกทะเลทรายออกมา…
อย่าได้หวังว่าเขาจะหลงกล! เฮอะ!
เขาหันไปมองตี้ฝูอี ทว่าตี้ฝูอีกลับมองสตรีชุดขาวนางนั้นอย่างใจลอยอยู่ สีหน้าเผือดซีด ไม่ทราบเช่นกันว่ากำลังคิดอะไรอยู่ หรือไม่ก็คงนึกอะไรขึ้นมาได้
ส่วนกู้ซีจิ่วก็นั่งอยู่ข้างกายเขา สายตาจับจ้องอยู่ที่ร่างสตรีชุดขาวนางนั้น แววตาซับซ้อน
นี่คืออดีตชาติของตนหรือ?
ตนในอดีตชาติปฏิบัติต่อฟั่นเชียนซื่ออย่างดี ใกล้จะดับขันธ์แล้วก็ยังคิดเผื่อเขา ทำนู้นทำนี่ให้เขา
แล้วทำไมทางฝ่ายฟั่นเชียนซื่อ ถึงทำราวกับอาจารย์อย่างเธอไปขุดสุสานบรรพชนเขามาเล่า?!
หลังจากสตรีชุดขาวนางนั้นวางก้อนศิลาลง ก็คล้ายจะเหนื่อยล้าอยู่บ้าง นั่งลงบนหินก้อนหนึ่ง หลังจากมองไปรอบๆ แล้ว ก็ก้มมองดูมือตน ผ่านไปพักหนึ่งก็ถอนหายใจเบาๆ “ไม่รู้ว่าเชียนซื่อจะฟักมังกรประทีปน้อยออกมาได้ไหมนะ? แต่น่าเสียดายที่ข้าคงไม่ได้เห็นแล้ว ความจริงแล้วอยากจะเห็นหน้าตาของเจ้ามังกรประทีปน้อยตัวนั้นจริงๆ…แต่ถ้ามังกรประทีปน้อยตัวนั้นไม่หัวรั้นเหมือนเขาก็คงดี”
น้ำเสียงแผ่วหวิว มีความเสียดายอยู่บ้าง นั่งเท้าคางอยู่ตรงนั้น คล้ายจะคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้า “เด็กคนนั้นเป็นอัจฉริยะที่เลิศล้ำ น่าเสียดายที่ดื้อด้านเกินไป ปักใจแล้วก็ไม่ยอมหันกลับ ซ้ำยังมีความรู้สึกต่อข้า…ข้าคิดหาทางปรับทัศนคติเขาแล้วล้วนแต่ไม่ได้ผลเลย เจตนาหมางเมินเขา ลงโทษเขา เพียงคิดจะให้เขาตั้งใจฝึกฝนดีๆ เดิมทีคิดไว้ว่าก่อนดับขันธ์จะพาเขาเข้ามาที่นี่ บอกข้อห้ามของที่นี่กับเขา แต่พลังยุทธ์ของเขาไม่เพียงพอ…เลยได้แต่ทำเช่นนี้ไปก่อน”
สีหน้าฟั่นเชียนซื่อซีดเซียว สายตาคล้ายติดอยู่บนร่างของสตรีนางนั้น เขาอ้าปากนิดๆ ราวกับอยากกล่าวอันใด ทว่าเม้มไว้เน้นอีกครั้ง!
ของปลอม! นางเป็นของปลอม! นี่คือภาพมายา! นี่คือภาพมายาที่ตี้ฝูอีสร้างขึ้น!
ขอเพียงเขาร่ายอาคมออกมาก็สามารถทำลายภาพมายาที่ลวงหลอกจิตใจเขาได้แล้ว!
เขาจรดนิ้วทำมุทราแล้ว ทว่านิ้วมือกลับสั่นระริก ไม่สำแดงออกมา…
สตรีนางนั้นหยิบรูปสลักหยกชิ้นหนึ่งออกมาจากร่าง ม่านตาฟั่นเชียนซื่อพลันหดตัว! ในสมองเกิดเสียงดังตูม!
รูปสลักหยกนั้นเขารู้จัก ยามเขาเยาว์วัยได้หยกมันแพะชั้นดีมาก้อนหนึ่ง เนื่องจากหยกก้อนนั้นรูปทรงคล้ายมนุษย์ เขาพลันเกิดความคิดบรรเจิด จึงตั้งอกตั้งใจแกะเป็นรูปสลักจำลองของผู้หนึ่ง รูปสลักจำลองตัวนาง…
เนื่องจากแกะสลักออกมาด้วยใจ รูปสลักหยกนั้นจึงมีชีวิตชีวาสมจริง ขนงเนตรดุจวาดแต้ม ไม่ต่างไปจากตัวนางเลย
ยามที่เพิ่งสลักเสร็จสมบูรณ์ แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่ล่วงรู้ เขาเก็บซ่อนไว้บนร่างอย่างมิดชิดมาตลอด ไม่รู้สักกี่ค่ำคืนแล้วที่เขาถือรูปสลักหยกไว้แล้วคะนึงถึงนาง ทว่าไม่กล้าให้นางทราบความ
จวบจนมีอยู่ครั้งหนึ่งเขาบาดเจ็บสาหัส ตอนนางทำการรักษาให้เขา ได้บังเอิญล้วงเอารูปสลักหยกชิ้นนี้ที่เขาแอบซ่อนไว้ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ…
ยามนั้นเขาตะลึงงันไปชั่วขณะ ใบหน้าของฟั่นเชียนซื่อแดงเถือก ในใจกระวนกระวายแทบตาย เกรงว่านางจะพิโรธโกรธเกรี้ยว
คาดไม่ถึงว่านางจะถือรูปสลักหยกไว้แล้วหมุนไปหมุนมา ซ้ำยังชมเชยเขาประโยคหนึ่ง “นี่เจ้าแกะสลักเป็นอาจารย์กระมัง? แกะได้ไม่เลวเลย ศิษย์คนดีของข้ามีสองมือที่ชำนาญงานช่างด้วย อย่างไรก็ตามอาจารย์รู้สึกว่าหน้าที่หลักของเจ้าในตอนนี้ก็คือการฝึกฝนวรยุทธ์และฝึกฝนวรยุทธ์ งานฝีมือจิปาถะเหล่านี้รอจนฝึกฝนวรยุทธ์สำเร็จค่อยทำก็ได้ เจ้าว่าอย่างไร?”
ยามนั้นเขาเอ่ยถามออกไปอย่างใจกล้า “อาจารย์ ศิษย์รู้สึกว่าวรยุทธ์ของตัวเองสูงพอแล้ว อาจารย์ ท่านคิดว่าศิษย์ยังแข็งแกร่งไม่พอหรือ?”
————————————————————————————-
บทที่ 3052 ปัจฉิมบท 17
“ไม่พอ! ยังห่างไกลนัก!” นางส่ายหน้า “เจ้าจะต้องบรรลุระดับซ่างเสินให้ได้ภายในยี่สิบปี มิเช่นนั้นก็อย่าไปบอกใครว่าเป็นศิษย์ของข้า!”
ยามนั้นวรยุทธ์ยังอยู่แค่ในระดับซ่างเซียนตอนต้นเท่านั้น ความต้องการข้อนี้ของนางเห็นได้ชัดว่าสูงเกินไปแล้ว เขาคิดว่าคงทำไม่ได้
แต่นางกลับตบไหล่เขาเบาๆ “เชียนซื่อ อาจารย์คาดหวังในตัวเจ้านะ อย่าได้ทำให้อาจารย์ผิดหวัง”
จากนั้นก็หมุนรูปสลักในมืออีกครั้ง “รูปสลักหยกชิ้นนี้ ถือเสียว่าเป็นของขวัญวันเกิดที่เจ้ามอบให้อาจารย์แล้วกัน จำไว้นะ ต่อไปไม่อนุญาตให้ทำแบบนี้อีก ถ้าอาจารย์พบเห็นอีก อาจารย์จะลงโทษให้เจ้าไปคุกเข่าอยู่หลังเขาสิบปี ได้ยินไหม?”
ฟั่นเชียนซื่อเงียบไปครู่หนึ่ง “…ขอรับ”
นางถึงได้พยักหน้าแล้วเดินออกไป กลับสะดุดขั้นบันไดที่อยู่ด้านข้าง รูปสลักหยกในมือกระเด็นออกไป แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
ฟั่นเชียนซื่อตะลึงงัน…
นางถอนหายใจ “เห็นทีว่าแม้แต่สวรรค์ก็ไม่อยากเห็นเจ้าเสียเวลาไปกับงานฝีมือจุกจิกเช่นนี้ ไม่ปล่อยให้มันอยู่ดีสมบูรณ์” พลันโบกแขนเสื้อเก็บเศษหยกขึ้นมา หันหลังจากไป
ฟั่นเชียนซื่อเข้าใจว่าเศษซากของรูปสลักหยกชิ้นนี้ถูกนางโยนทิ้งไปแล้วมาโดยตลอด กลับคาดไม่ถึงเลยว่าจะได้เห็นนางหยิบออกมาอีกที่นี่
สายตาของเขาย่อมเฉียบแหลมเป็นที่สุด มองเห็นว่าบนรูปสลักหยกมีรอยแตกร้าวอยู่หลายเส้น คล้ายว่าถูกคนทำแตกแล้วต่อมาก็นำมาเชื่อมติดกันอีกครั้ง
ปลายนิ้วของสตรีนางนั้นลูบไล้รูปสลักหยกเล็กน้อย ถอนหายใจเบาๆ “รูปสลักหยกชิ้นนี้ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ เหมือนข้าอย่างยิ่ง…แต่น่าเสียดาย…”
ฟั่นเชียนซื่อแทบจะกลั้นลมหายใจแล้ว เขามองเห็นชัดเจนดี รูปสลักหยกชิ้นนี้ก็คือรูปสลักหยกชิ้นนั้น บริเวณติ่งหูของรูปสลักหยกชิ้นนี้มีตำหนิที่เล็กๆ ที่ดูคล้ายสะเก็ดดาวอยู่จุดหนึ่ง ราวกับต่างหูเล็กๆ ข้างหนึ่งก็มิปาน หากไม่สังเกตละเอียดจะไม่มีทางมองเห็น
หัวใจของเขาเต้นกระหน่ำดุจรัวกลอง ทว่าทั้งร่างกลับเยียบเย็นไปแล้ว
รูปสลักหยกชิ้นนี้มีเพียงตัวเขากับอาจารย์เท่านั้นที่เคยเห็น ด้วยนิสัยของเทพผู้สร้างโลกซีจิ่วแล้ว ต่อให้นางดีต่อตี้ฝูอี ก็ไม่มีทางนำเศษรูปสลักหยกออกมาให้ตี้ฝูอีดู…
เกรงว่าตี้ฝูอีในชาติก่อนจะไม่เคยเห็นรูปสลักหยกชิ้นนี้เลยด้วยซ้ำ!
นั่นหมายความอย่างไรเล่า? หมายความว่าตี้ฝูอีไม่มีทางสร้างภาพมายาเช่นนี้ขึ้นมาได้
ภาพมายานี้เป็นความจริง…
เขาจ้องสตรีชุดขาวนางนั้นเขม็ง ดวงวิญญาณก็คล้ายจะสั่นสะท้านไปด้วย กำมือจนซีดขาวแล้ว เขาพลันถลาเข้าไป “อาจารย์!”
ยื่นมือสั่นระริกออกไปหมายจะดึงแขนเสื้อนาง
ผลคือ นิ้วมือของเขาทะลุผ่านแขนเสื้อของอีกฝ่ายไป เขาคว้าได้เพียงอากาศที่เยียบเย็นสายหนึ่ง
นั่นเป็นภาพมายา…
คนที่เขาเคยทั้งรักทั้งชังอย่างคลุ้มคลั่ง ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขาอีกครั้งในรอบหลายแสนปี มองเห็นทว่าสัมผัสไม่ได้…
สตรีนางนั้นเก็บรูปสลักหยกเข้าไป ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง หันกายก้าวขึ้นไปบนแท่นแห่งหนึ่งที่อยู่ใจกลางผังดารา ทาบมือลงบนแท่น ม้วนตำราตั้งหนึ่งพลันปรากฏขึ้นมาด้วยตัวเอง…
นางนั่งลงไป หยิบม้วนหนึ่งขึ้นมาเปิด จรดพู่กันตวัดเขียนลงไปอย่างพลิ้วไหว…
ฟั่นเชียนซื่อตัดสินใจในทันใด เหินกายขึ้นไป ยืนอยู่ด้านหลังสตรีนางนั้น มองเห็นนางขีดเขียนอักษร ยิ่งอ่านสีหน้าก็ยิ่งซีดขาว
สิ่งที่นางเขียนคือเวทวิชาของเทพผู้สร้างโลก!
รูปแบบอักษรที่ที่ใช้ยังคงมีความเก่าแก่โบราณอย่างยิ่ง ทุกขีดทุกเส้น ฝีพู่กันหนักแน่นพลิ้วไหว
ในอักขระที่นางเขียนเหล่านี้คล้ายจะแฝงพลังยุทธ์เอาไว้ด้วย เขียนไปได้ไม่กี่ตัวก็ต้องพักหายใจเฮือกหนึ่งแล้ว
ในอดีตเขาไม่เคยเห็นนางเขียนด้วยลายมือเช่นนี้มาก่อนเลย แต่ม้วนตำราเหล่านี้เขากลับรู้จักดี หลังจากอาจารย์ของเขาดับขันธ์ไป เขาได้เรียนรู้เวทวิชาอันสูงส่งลึกล้ำส่วนหนึ่งของเทพผู้สร้างโลกมาจากในม้วนตำราเหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่อาจารย์ไม่ทันได้ถ่ายทอดให้แก่เขา…
ปีนั้นตอนเขาบุกเข้ามาถึงที่นี่ เข้ามาในค่ายกลใหญ่นี้ มองเห็นแท่นนี้ พบม้วนตำรากองนี้
ปีนั้นยามที่เขาเปิดอ่านตำราเหล่านี้ เนื้อหาภายในม้วนตำราหลั่งไหลเข้าสู่สมองของเขาด้วยตัวเอง…
————————————————————————————-