บทที่ 3053 ปัจฉิมบท 18
ถึงขั้นที่ยังมีพลังยุทธ์ลึกลับสายหนึ่งหลั่งไหลเข้ามาด้วย ทำให้พลังยุทธ์ของเขาพุ่งทะยาน…เมื่อออกไปจากที่นี่แล้ว เขาจึงได้กลายเป็นเทพผู้สร้างโลกองค์ใหม่สดๆ ร้อนๆ…
เนื่องจากม้วนตำราเหล่านี้ดูเก่าแก่โบราณยิ่ง อีกทั้งลายมือที่อยู่บนนั้นเขาก็ไม่เคยเห็นอาจารย์เขียนมาก่อน ดังนั้นเขาไม่มีทางคาดคิดถึงเลยว่าม้วนตำราเหล่านี้เป็นสิ่งที่อาจารย์เขียนขึ้น…
พลังยุทธ์แห่งเทพผู้สร้างโลกของเขาได้รับมาจากม้วนตำราเหล่านี้ ยามนั้นเขาหลงนึกว่าเป็นสิ่งที่สวรรค์ประทานให้เขา ที่แท้แล้วกลับเป็นทักษะที่อาจารย์ส่งมอบต่อให้เขา…
พลาดแล้ว! เป็นเขาผิดพลาดไปแล้ว!
อาจารย์ของเขาไม่เคยผิดต่อเขาเลย มองว่าเขาเป็นศิษย์มาโดยตลอด สุดท้ายก็ยังทิ้งพลังยุทธ์ทั้งหมดเอาไว้ให้เขา ไม่ได้ทิ้งไว้ให้ตี้ฝูอี...
เป็นเขาเข้าใจผิดไป! ซ้ำยังเข้าใจผิดมาเนิ่นนานปานนี้!
ร่างกายเขาแข็งทื่อไปหมด ใบหน้ายิ่งร้อนผ่าว ยืนอยู่ตรงนั้นแทบจะทรงตัวไม่อยู่แล้ว
แต่ว่า เกิดอะไรขึ้นกับตี้ฝูอีในปีนั้นเล่า?
ทำไมหลังจากอาจารย์ดับขันธ์ไปแล้ว พอเขาออกมาพลังยุทธ์ถึงเพิ่มพูนขึ้น?
สตรีนางนั้นเขียนอักษรได้หน้าหนึ่งแล้ว ค่อนข้างเหนื่อยล้า จึงนวดหว่างคิ้ว ลุกขึ้นมา มองดูม้วนตำราบนโต๊ะแล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “พลังยุทธ์ของเด็กคนนั้นไม่เพียงพอ ยังไม่อาจเข้ามาได้ชั่วคราว รอจนมังกรประทีปฟักออกมาแล้ว ด้วยความช่วยเหลือจากพลังของมังกรประทีป เขาจะได้ไม่ถึงขั้นถูกเขตแดนของแดนต้องห้ามนี้ทำร้ายเอา…คาดว่าอีกไม่กี่ปีกว่าเขาคงเข้ามาสืบทอดมรดกเหล่านี้ได้แล้ว น่าเสียดายที่ข้าจะไม่เห็นวันที่เขาได้กลายเป็นเทพผู้สร้างโลก เด็กคนนั้นพะวงในตัวข้ามากเกินไป หากว่าปล่อยให้เขาเห็นตอนข้าดับขันธ์ คาดว่าเขาคงบ้าคลั่งขึ้นมา ดังนั้นข้าจึงให้เขากลับไปฟักไข่มังกรประทีป…ไม่ให้เขาเห็นคาตาน่าจะดีกว่า เฮ้อ ได้แต่หวังว่าเขาจะไม่เกลียดข้าเพราะเรื่องนี้…”
สตรีนางนั้นน่าจะมีความคับข้องที่ไม่อาจบอกผู้อื่นได้อยู่เต็มท้อง ดังนั้นจึงถือเอาธารดาราของที่นี่ต่างถังขยะระบายอารมณ์ พูดเองเออเองอยู่ที่นี่ กล่าวความในใจทั้งหมดออกมา
ฟั่นเชียนซื่อเสมือนถูกตบหน้าอย่างจัง!
ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความละอายอยากแทรกแผ่นดินหนีใจจะขาดแล้ว!
หัวใจที่เย็นชาแข็งกระด้างมาโดยตลอดราวกับถูกคนสาดน้ำเดือดชามหนึ่งใส่ ความรู้สึกนั้นยากจะบรรยายได้ คล้ายจะปวดร้าวยิ่งและคล้ายจะอบอุ่นนัก คล้ายว่าจะอายใจซ้ำยังแฝงความยินดีและสิ้นหวังเอาไว้รางๆ ด้วย…
อารมณ์สารพัดอย่างปนเปอยู่ในหัวใจเขา ทำให้ร่างกายเขาสั่นสะท้านไปหมด…
เขาพลันยื่นแขนออกไป ต้องการจะโอบกอดสตรีชุดขาวนางนั้น “อาจารย์!” ลำคอตีบตัน น้ำเสียงแหบแห้งไปหมดแล้ว
แน่นอน เขายังคงโอบกอดได้เพียงอากาศอันเยือกเย็นเช่นเดิม นั่นคือภาพมายาอย่างหนึ่ง เป็นภาพมายาที่หลงเหลืออยู่ในตำหนักเทวานี้…
คนในอดีตผู้นั้นไม่มีตัวตนอยู่ มาเนิ่นนานแล้ว…
ตำหนักเทวาหลังนี้คล้ายเครื่องฉายวีดีทัศน์เครื่องหนึ่ง ถ่ายทอดทุกเรื่องราวที่สตรีชุดขาวนางนั้นกระทำอยู่ที่นี่ออกมาทีละฉากๆ
เขามองเห็นสตรีชุดขาวนางนั้นเข้าๆ ออกๆ อยู่หลายครั้ง ทุกครั้งที่เข้ามาล้วนจะวางหินผลึกลงไปก้อนหนึ่ง เขียนอักษรหนึ่งหน้า วนเวียนซ้ำๆ จวบจนวันนั้นมาถึง…
ในวันนั้นนางเดินโซเซเข้ามา การแต่งกายของนางในวันนั้นเหมือนยามที่จิตมารปรากฏตัวขึ้นทุกอย่าง ทว่าหนนี้ไม่ได้เข้าสู่ตำหนักเทวา แต่ตรงไปยังผังดาราผังหนึ่งที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของตำหนัก จากนั้นก็ประกอบพิธีกรรม ค่อยๆ ดับขันธ์โรยรา…
และเขาก็ได้เห็นตี้ฝูอีในปีนั้นแล้ว พุ่งเข้ามาราวกับคนบ้า เมื่อไปถึงริมแท่นสูง ก็พยายามจะบุกเข้าไปในเขตแดนที่นางก่อขึ้นอย่างสุดชีวิต แต่ไม่มีประโยชน์เลย…สุดท้ายไม่ง่ายเลยกว่าตี้ฝูอีจะฝ่าทะลวงเข้าไปได้ ทว่าได้แค่โอบกอดละอองแสงของนางที่ดับขันธ์ไปแล้วไว้ ความโศกเศร้าปวดร้าวมหาศาลทำให้ตี้ฝูอีตื่นรู้กลายเป็นเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์…
ฉากการดับขันธ์ในปีนั้นของเทพผู้สร้างโลกซีจิ่วปรากฎขึ้นต่อหน้าทุกคนอย่างครบถ้วน
ภายในตำหนักเทวาเงียบสงัดยิ่ง เงียบจนถึงขั้นที่เข็มสักเล่มหล่นบนพื้นก็ยังได้ยินกันทั่ว
ถึงฟั่นเชียนซื่อจะได้รับความสะเทือนใจอย่างมหาศาลที่สุด แต่ตี้ฝูอีกับกู้ซีจิ่วก็ได้รับความสะเทือนไม่น้อยเลยเช่นกัน ทั้งสามคนเงียบงันกันไปชั่วขณะ
….
————————————————————————————-
บทที่ 3054 ปัจฉิมบท 19
สีหน้าตี้ฝูอีซีดขาว ถึงแม้เขาจะยังไม่ทราบต้นสายปลายเหตุ แต่เมื่อเห็นตนแตกสลายถึงเพียงนั้น ก็คล้ายจะสัมผัสถึงความสิ้นหวังและสำนึกเสียใจในยามนั้นได้ หัวใจไหวสะท้านเป็นพักๆ เขาโอบกอดกู้ซีจิ่วที่อยู่ข้างกายไว้ในอ้อมอก กอดไว้แน่น เอ่ยเสียงแหบเครือ “ซีจิ่ว ขอโทษนะ…” เขาขอโทษแทนตัวเองในชาติก่อน
หัวใจของกู้ซีจิ่วก็ผันผวนแปรปรวนเช่นกัน หันไปโอบกอดเขา ส่ายหน้านิดๆ “ล้วนผ่านไปหมดแล้ว…พวกเราในยามนี้ดียิ่งนักแล้ว”
ใช่แล้ว พวกเขาในยามนี้ดียิ่งนัก ต่อให้ลำบากยากเข็ญมากกว่านี้ก็จะผ่านพ้นไปให้ได้
ตอนนี้แค่ต้องแก้ปัญหายุ่งยากอีกอย่างหนึ่ง…
ตี้ฝูอีมองไปที่ฟั่นเชียนซื่อ น้ำเสียงเย็นยะเยือก “นางไม่ได้ผิดต่อเจ้า!”
สองตาของฟั่นเชียนซื่อยังคงทอดมองจุดที่สตรีชุดขาวนางนั้นเลือนหายไป แววตาเลื่อนลอยอยู่บ้าง สีหน้าก็ยิ่งเผือดซีดจนน่ากลัว เอ่ยทวนประโยคราวกับเครื่องบันทึกเสียง “ใช่ นางไม่ได้ผิดต่อข้าเลย…เป็นข้าที่ผิดต่อนาง...”
เขาหันไปมองคนทั้งสองที่ตระกองกอดกันแวบหนึ่ง จากนั้นก็ละสายตาไปอย่างรวดเร็ว ยิ้มแวบหนึ่ง “ข้าผิดพลาดไปไกลเหลือเกิน…”
รอยยิ้มของเขาคล้ายร่ำไห้ น้ำเสียงก็แหบแห้งยิ่งนัก เอ่ยพึมพำ “ผิดพลาดไปหมดแล้ว…”
ทำผิดพลาดมหันต์เมื่อสำนึกเสียใจก็สายเกินไปแล้ว
ก่อความผิดพลาดครั้งใหญ่ไปแล้ว ต่อให้สำนึกเสียใจสักเพียงใดก็ไม่อาจแก้ไขเรื่องราวได้อีก…
เขาพลันทะยานกายขึ้นมา จู่ๆ ก็หันหลังพุ่งออกไปด้านนอก!
กู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีสบตากันแวบหนึ่ง ย่อมติดตามไปด้วย
ทั้งสามออกจากตำหนักหลังนี้ไปในชั่วพริบตา หายลับไปแล้ว
ผ่านไปครู่หนึ่ง ใจกลางตำหนักปรากฏเงาร่างสองสายขึ้นมา คนหนึ่งคือบุรุษผมขาว สวมเสื้อคลุมที่ดูราวกับสาดน้ำหมึกลงบนบรรพตธารา พื้นหลังเป็นสีครามอ่อน ราวกับท้องนภาเวิ้งว้างหมื่นลี้ไร้เมฆา ด้านบนปักลวดลายภูมิทัศน์นภาดาราไว้ ยามเขาปรากฏตัวขึ้นมา เสื้อคลุมโบกพลิ้ว ดวงดาวในอาภรณ์ก็โยกไหวไปด้วย ราวกับกำลังโคจรอย่างเงียบงัน
เกศาสีเงิน พิสุทธิ์ดุจหิมะ ใช้ปิ่นสีครามอ่อนด้ามหนึ่งตรึงไว้ รูปโฉมหล่อเหลาเลิศล้ำ สองเนตรส่องสกาวราวกับมีธารดาราไหลวนอยู่
ในท่วงท่าอากัปกริยาของคนผู้นี้ มีรัศมีความเย็นชาไม่แยแสใต้หล้าประการหนึ่งอยู่ ทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น แม้แต่ดวงดาวที่รายล้อมอยู่รอบข้างก็หม่นหมองกลายเป็นฉากหลังไปด้วยตัวเอง
เงาร่างอีกสายกลับเป็นมังกรประทีปตัวหนึ่ง มังกรประทีปสีชมพู
มังกรประทีปชมพูตัวนี้งดงามอย่างยิ่ง ตัวยาวเจ็ดถึงแปดฉื่อ ตะเกียงดวงน้อยบนศีรษะก็มีเอกลักษณ์ยิ่ง ยามที่แกว่งไกวดูราวกับเนตรสวรรค์ได้เบิกขึ้นแล้ว…
‘เช่นนี้นับว่าท่านทำสำเร็จแล้วใช่ไหม?’ มังกรประทีปชมพูมองทิศทางที่ทั้งสามคนจากไปแล้วเอ่ยถาม
บุรุษผมขาวผู้นั้นตอบกลับ “สำเร็จครึ่งหนึ่งแล้ว” ในน้ำเสียงดึงดูดของเขาเจือความกังวานดุจแว่วมาจากที่ไกลๆ ไว้ ราวกับแว่วลอยลงมาจากสวรรค์
‘ครึ่งหนึ่ง? ฟั่นเชียนซื่อทราบความแล้ว เขาน่าจะออกไปสะสางปัญหาวุ่นวายแล้ว ไม่ร่วมมือกับจิตมารตนนั้นอีก อีกอย่างมีบิดามารดาของท่านร่วมแรงช่วยเหลืออยู่ น่าจะกำจัดทะเลทรายภัยพิบัตินี้ได้ เหตุใดจึงบอกว่าครึ่งเดียวเล่า…’ มังกรประทีปชมพูไม่เข้าใจ
บุรุษผมขาวผู้นั้นจ้องมองไปยังทิศทางหนึ่ง ตรงนั้นมีเมฆาดำมืดพลิกตลบ ฟ้าดินก็เสมือนกลับตาลปัตรแล้ว…
เขาถอนหายใจ “จิตมารตนนั้นไม่ใช่แค่จิตมารของอดีตเทพผู้สร้างโลกแล้ว ในดวงวิญญาณของนางผสมปนเปด้วยวิญญาณชั่วร้ายมากมายเกินไป ระดับความเจ้าเล่ห์กลับกลอกของนางก็วิปริตสุดขีด ได้ปรับเปลี่ยนคุณสมบัติบางอย่างของทะเลทรายด้วยตัวเองแล้ว เกรงว่าต่อให้เป็นฟั่นเชียนซื่อ ก็ไม่มีทางควบคุมได้อีกต่อไป…ตอนนี้วิญญาณอาฆาตภายในทะเลชั่วร้ายมีเกือบสี่ล้านดวงแล้ว…แรงพยาบาทมากมายถึงเพียงนี้รวมตัวเข้าด้วยกัน เพียงพอจะทำลายล้างโลกาได้…”
‘ท่านก็ไม่มีวิธีเหมือนกันหรือ?’ มังกรประทีปเบิกตากว้าง ‘แต่ท่านเป็นเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์นะ มิใช่ว่าสามารถพลิกฟ้าดินด้วยมือเดียวได้หรอกหรือ?’
————————————————————————————-