บทที่ 3064 (1) ปัจฉิมบท 29
ฝูงชนตื่นตกใจ แต่ยังคงมีสิ่งที่ทำให้ทุกคนตกใจขึ้นไปอีกตามหลังมา สตรีชุดขาวเหล่านั้นหัวเราะฮ่าๆ พร้อมกัน ดุจภูตผีร่ำไห้ หมุนเป็นวงอยู่ที่เดิม พายุทมิฬนับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้นรอบกายนาง ในพายุทมิฬปะปนด้วยวิญญาณอาฆาตที่คำรามโหยหวน ท่ามกลางเสียงกึกก้องกัมปนาทได้ฝ่าทำลายค่ายกลแสงรุ้งแล้ว ถาโถมเข้าสู่ตาค่ายต่างๆ ที่เหล่าผู้บำเพ็ญสร้างขึ้น…
….
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม
ศึกใหญ่ครานี้ถึงได้ระงับลงชั่วคราว
ค่ายกลเซียนแปดทิศสิบเอ็ดค่ายที่เหล่าผู้วิเศษก่อขึ้นถูกพายุทมิฬทำลายไปครึ่งหนึ่งแล้ว!
หากมิใช่เพราะตี้ฝูอีกับกู้ซีจิ่วสร้างเขตแดนขึ้นมาปกป้องได้ทันเวลา เกรงว่าคราวนี้คงจะสูญเสียคนไปครึ่งหนึ่งอีกครั้งแน่! ต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็ยังสูญเสียผู้บำเพ็ญไปกว่าสิบคนจากกว่าสองร้อยคนที่อยู่ ณ ที่นี้ กลายเป็นวิญญาณอาฆาตในทะเลทรายไปแล้ว…
ล้มเหลวแล้ว!
ไม่นึกเลยว่าค่ายกลสำหรับต่อกรกับจิตมารก็จะล้มเหลวเหมือนกัน! สีหน้าฟั่นเชียนซื่อเผือดซีด จ้องมองสตรีชุดขาวที่หัวเราะฮ่าๆ อย่างบ้าคลั่งอยู่ท่ามกลางพายุทมิฬ นิ้วมือค่อยๆ กำแน่น
เขาถูกจิตมารตนนี้ย้อนแผนแล้ว…
นางในตอนนี้รับมือเขาได้ตรงจุดทุกอย่าง ไม่นึกเลยว่าจิตมารที่ดูโง่งมมาโดยตลอดจะเจ้าเล่ห์เพทุบายถึงเพียงนี้!
ผู้บำเพ็ญเหล่านั้นต่างมีสีหน้าเขียวคล้ำ สายตาที่มองฟั่นเชียนซื่อไม่เป็นมิตรอย่างยิ่ง
เสียงบ่นว่า เสียงกังขาแว่วอยู่ไม่ขาดหู โดยเฉพาะราชันปีศาจผู้นั้น เดิมทีเขาก็เห็นไอ้หนุ่มหน้าขาวอย่างฟั่นเชียนซื่อขัดตาอยู่แล้ว ยามนี้ยิ่งสบโอกาสแล้ว จึงส่งสายตาให้ลูกน้องแวบหนึ่ง ถ้อยคำก่นด่าหยาบคายยากจะรับฟังได้สารพัดถูกพ่นออกมา…
สีหน้าฮวาเหยียนแปรเปลี่ยน นางอยู่ไม่ไกลจากราชันปีศาจ พลันขยับกาย หมายจะเข้าไปตบปากราชันปีศาจ
ฟั่นเชียนซื่อดุจมีตางอกขึ้นมาบนหลัง โบกแขนเสื้อคราหนึ่ง เท้าของฮวาเหยียนเสมือนถูกตรึงไว้ ขยับไม่ได้
นางเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ เสียงเยียบเย็นของฟั่นเชียนซื่อแว่วเข้ามา “เจ้าชั้นต่ำนักหรือ?! เปิ่นจุนบอกไปนานแล้วไง เรื่องของเปิ่นจุนไม่เกี่ยวกับเจ้า! และเปิ่นจุนก็ไม่ใช่นายของเจ้าอีกแล้ว!”
วาจานี้เขากล่าวออกมาต่อหน้าฝูงชน คนแทบทั้งหมดล้วนได้ยินกันทั่ว
สายตานับไม่ถ้วนมองเข้ามา ฮวาเหยียนเสมือนถูกตบบ้องหูต่อหน้าสาธารณะชน ดวงหน้าเพริศพริ้งแดงก่ำแล้ว ร่างไหวสะท้านนิดๆ ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “ข้า…”
หลงซือเย่ทนดูไม่ไหวแล้ว เอ่ยด้วยความโกรธ “ฟั่นเชียนซื่อ นางทำเพื่อเจ้านะ!”
“เปิ่นจุนหาได้ต้องการไม่” เสียงของฟั่นเชียนซื่อเย็นยะเยือก “นางเป็นเพียงสุนัขรับใช้ด้อยค่าที่เคยรับใช้เปิ่นจุนก็เท่านั้น เรื่องของเปิ่นจุนต้องให้นางมาออกหน้าด้วยหรือ?”
สีหน้าหลงซือเย่ก็เขียวคล้ำแล้ว
เจ้าหอยยักษ์ทนเห็นคนรังแกผู้หญิงไม่ได้เป็นที่สุด อยู่ด้านข้างโกรธจนฝาหอยแดงก่ำแล้ว
มันพลันอ้าฝา หมายจะเข้าไปด่าทอฟั่นเชียนซื่อ ถูกกู้ซีจิ่วฉุดรั้งไว้ทันที มันมองไปที่นางอย่างไม่เข้าใจ “เจ้านาย?”
จากนั้นก็ส่งกระแสเสียงหา ‘เจ้านาย ข้ารู้ว่าท่านเดียดฉันท์อูอู๋เหยียนยิ่งนักเสมอมา และนางก็เคยทำเรื่องเลวร้ายต่อท่านไม่น้อยเลย แต่ครั้งนี้ฟั่นเชียนซื่อ’ใจดำเกินไปแล้ว เสียทีที่อูอู๋เหยียนจงรักภักดีต่อเขาถึงเพียงนี้ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะทำแบบนี้กับนางได้…‘
‘ฟั่นเชียนซื่อกำลังช่วยนางอยู่’ เสียงของกู้ซีจิ่วสงบเยือกเย็น ส่งกระแสเสียงตอบกลับไป
‘หา?’
‘ฟั่นเชียนซื่อทำเรื่องชั่วช้าไว้มากมาย ตอนนี้ทุกคนต้องร่วมแรงร่วมใจกันต่อกรกับทะเลทรายชั่วร้าย ย่อมไม่สามารถคิดบัญชีเขาได้ชั่วคราว แต่เมื่อสยบทะเลทรายชั่วร้ายได้แล้ว ทุกคนจะต้องแสวงหาคำอธิบายจากฟั่นเชียนซื่อแน่นอน สร้างความลำบากให้เขา ส่วนอูอู๋เหยียนหากว่ายังนับว่าตนเป็นลูกน้องของเขาอยู่ วันหน้าย่อมเดือดร้อนอยู่ไม่หยุดหย่อน…’ กู้ซีจิ่วอธิบายต่อเจ้าหอยยักษ์
เจ้าหอยคล้ายว่าจะเข้าใจและไม่เข้าใจ เพียงแต่ไม่ได้หุนหันอีกต่อไป เพียงบ่นงึมงำประโยคหนึ่ง ‘จิตใจของมนุษย์อย่างพวกท่านช่างซับซ้อนเหลือเกิน ทำให้ผู้เป็นหอยเดาได้ไม่กระจ่าง’
มันลอบมองดูท่าทีของทุกคน พบว่าดูเหมือนเจ้านายของบ้านตนจะพูดถูก เดิมทีหลังจากที่ฮวาเหยียนเปิดเผยฐานะของตนออกมาก่อนหน้านี้ เทพเซียนเหล่านั้นของดินแดนเบื้องบนนอกจากหลงซือเย่แล้ว ทั้งหมดล้วนห่างเหินกับนาง ระแวดระวังนางยิ่งนัก
แต่บัดนี้พอฟั่นเชียนซื่อด่าทอนางต่อหน้าฝูงชน กลับกระตุ้นความปรารถนาจะปกป้องของผู้คนขึ้นมาได้ไม่น้อยเลย
ถึงอย่างไรหลังจากที่ฮวาเหยียนมายังดินแดนเบื้องบนแล้ว ก็ไม่เคยทำเรื่องชั่วช้าอันใดเลย ถึงขั้นที่เคยช่วยเหลือผู้คนเอาไว้ไม่น้อยด้วย ทุกคนยังคงให้เกียรตินางยิ่งนักอยู่
————————————————————————————-
บทที่ 3064 (2) ปัจฉิมบท 29
ตอนนี้ถ้าดูจากทัศนคติที่ฟั่นเชียนซื่อมีต่อนางแล้ว ไม่เหมือนท่าทางที่มีต่อคนสนิทเลย คล้ายจะเห็นนางขวางหูขวางตามากกว่า
เห็นทีว่านางคงจะทำเรื่องที่ขัดขืนต่อต้านฟั่นเชียนซื่อไว้ไม่น้อยเลย น่าจะไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายมากนัก มิเช่นนั้นคงไม่ถูกฟั่นเชียนซื่อด่าประณามต่อหน้าฝูงชนเช่นนี้
ทุกคนพากันคาดเดาไปเช่นกัน ยามที่มองดูฮวาเหยียนอีกครั้ง ความระแวงก็ลดลงไปไม่น้อยแล้ว มีความเห็นใจเพิ่มขึ้นมาส่วนหนึ่ง
แน่นอน บรรยากาศอันละเอียดอ่อนนี้ดำเนินอยู่ได้ไม่นานนัก เนื่องจากจิตมารตนนั้นควบคุมวิญญาณอาฆาตเข้าโจมตีอีกเป็นระลอกที่สอง…
หากกล่าวว่าการโจมตีระลอกแรกเป็นการหยั่งเชิง เช่นนั้นระลอกที่สองก็เหมือนภัยพิบัติทำลายล้าง! เสมือนสายลมฤดูใบไม้ร่วงที่พัดใบไม้ให้ร่วงโรยทำให้ค่ายกลแสงรุ้งทั้งหมดพลิกคว่ำ!
ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวาย ทะเลทรายดุจอาชาป่าหลุดจากบังเหียนพลิกตลบขยายตัวออกไปทั่วสารทิศอย่างบ้าคลั่ง ซ้ำพลังยังเพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนหน้านี้เป็นเท่าตัวด้วย!
เสียการควบคุมแล้ว!
เหล่าผู้บำเพ็ญถูกระลอกวิญญาณอาฆาตในหนนี้โจมตีจนแทบอุจจาระราดปัสสาวะเล็ดแล้ว ไม่สนใจจะยับยั้งทะเลทรายชั่วร้ายอีกต่อไป พากันถอยหลบฉากไป ราวกับเป็ดที่โดนสัตว์ร้ายไล่ลาอย่างบ้าคลั่ง…
และท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวายนี้ เสียงหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่งของจิตมารตนนั้นได้บอกเล่าความจริงอันน่าตะลึงดุจอสุนิบาตฟาดผ่า “ฟั่นเชียนซื่อ อาศัยตัวเจ้าก็คิดว่าจะต่อกรกับเปิ่นจุนได้แล้วหรือ? เจ้าทำให้เปิ่นจุนต้องทนทุกข์อยู่ที่นี่ คิดจะให้เปิ่นจุนเป็นมหันตภัยต่อหกภพ คิดจะให้เปิ่นจุนกักขังตี้ฝูอีไว้ที่นี่ตลอดกาล ส่วนเจ้าคิดจะสวมบทคนดีสร้างสถานการณ์จับกุมข้าอีกที เจ้าอยากจะเป็นเจ้าแห่งหกภพภูมิใช่ไหม? ขอบอกเจ้าเอาไว้เลย ไม่มีทาง!”
เห็นได้ชัดว่าจิตมารคิดจะทำให้ชื่อเสียงของฟั่นเชียนซื่อเหม็นเน่าอย่างสมบูรณ์แล้ว จึงเผยไพ่ตายของฟั่นเชียนซื่อออกมาต่อหน้าฝูงชนเช่นนี้!
เหล่าผู้บำเพ็ญที่กำลังหลบหนีอย่างบ้าคลั่งย่อมได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ ในที่สุดก็เข้าใจเป้าหมายในอดีตของฟั่นเชียนซื่อแล้ว แต่ละคนชิงชังจนกัดฟันกรอด ผู้ใดก็คาดไม่ถึงว่าเทพผู้สร้างโลกผู้สูงส่งจะเล่นเล่ห์เพทุบายเช่นนี้…
เพียงแต่ ในไม่ช้าพวกเขาก็ไม่สนใจจะใคร่ครวญถึงประเด็นเหล่านี้แล้ว
ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากเมืองใหญ่แห่งหนึ่ง และมีระยะทางเพียงไม่กี่ร้อยลี้ ใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที พายุทรายจากทะเลทรายชั่วร้ายก็ถาโถมอยู่ตรงหน้าแล้วมองเห็นว่ากำลังจะกลืนกินเมืองเข้าไป…
ประชาชนส่วนใหญ่ในเมืองยังหลบหนีออกไปไม่ทัน ยามนี้พอเห็นทรายเหลืองซัดตลบเข้ามา ก็ตกใจจนวิ่งพล่านไปทั่ว เสียงร่ำไห้ร้องหาบิดามารดาดังระงมไปทั่ว
เหล่าผู้บำเพ็ญมองเห็นพายุทรายกำลังจะเขมือบกลืนเมืองนี้ และชีวิตนับแสนกำลังจะถูกกลืนกินอีกครั้ง ในใจสลดเวทนา ทว่าไม่มีวิธีเลยสักนิด
ในใจของจักรพรรดิเซียนก็หม่นหมองเช่นกัน ความคิดหนึ่งพลันผุดขึ้นมา
มหันตภัยครานี้เกรงว่าจะสยบไม่ได้แล้วจริงๆ เทพผู้สร้างโลกก็พึ่งพาไม่ได้แล้ว
น่าเสียดายที่มหาเทพกับจอมมารไม่อยู่ หากว่าพวกเขาทั้งสองอยู่ล่ะก็ บางทีอาจจะมีวิธีเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้…
เขามองไปยังทิศทางที่ตี้ฝูอีอยู่ตามสัญชาตญาณ ในใจของเขา ตี้ฝูอียังคงเป็นเสินเนี่ยนโม่บุตรแห่งเทพมาร ถึงแม้วรยุทธ์จะสูงล้ำ แต่สุดท้ายก็ยังเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งอยู่ ในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ย่อมพึ่งพาไม่ได้ สามารถหนีรอดได้ก็ไม่เลวแล้ว
แต่ด้วยการมองแวบนี้ สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง! อกสั่นขวัญผวา!
ไม่น่าเชื่อว่าตี้ฝูอีจะไม่หนี!
เขาลอยอยู่กลางอากาศ อยู่ในท่านั่งสมาธิ กู้ซีจิ่วภรรยาของเขาคอยคุ้มกันอยู่ข้างกายเขา และทรายดำทมิฬที่กลิ้งตลบนั้นก็เข้ากลืนกินทั้งสองคนในชั่วพริบตา…
ในสมองจักรพรรดิเซียนเกิดเสียงดังตูม ลืมเลือนอันตรายไปชั่วขณะ พุ่งทะยานเข้าไปยังทิศทางนั้น “ฝ่าบาทเนี่ยนโม่!”
ฝ่าบาทเนี่ยนโม่ท่านนี้คือทายาทของมหาเทพกับจอมมาร หากว่าประสบเหตุที่นี่ไป วันหน้าเมื่อมหาเทพกับจอมมารกลับมา เขาจะอธิบายว่าอย่างไรเล่า?!
ข้าราชบริพารเหล่านั้นที่ติดตามอยู่รอบกายจักรพรรดิเซียนกลับมิใช่ผู้ถือศีลกินเจ พวกเขาจะยอมเบิกตามองฝ่าบาทของบ้านตนไปรนหาที่ตายได้อย่างไร คนเจ็ดแปดคนรีบเข้ามาฉุดดึงเขาไว้ “ฝ่าบาท! อันตรายนะพ่ะย่ะค่ะ! ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!”
“ช่วยฝ่าบาทเนี่ยนโม่!” จักรพรรดิเซียนตะโกนก้อง
เหล่าเซียนมองทรายทมิฬที่ซัดตลบนั้น เอ่ยอย่างโศกหมอง “ฝ่าบาท ฝ่าบาทเนี่ยนโม่ถูกกลืนกินแล้ว เกรงว่าจะโชคร้ายเสียแล้ว…”
มองเห็นทรายทมิฬกลิ้งถาโถมเข้าใกล้ประตูเมืองดุจภัยทำลายล้าง กำแพงเมืองตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม สั่นไหวอยู่ใต้มหันตภัยนี้ ทุกคนล้วนทราบกันดี เมื่ออยู่ต่อหน้าทรายทมิฬนี้กำแพงก็เหมือนแผ่นกระดาษ ขอเพียงทรายทมิฬเข้าถึง กำแพงเมืองจะต้องพังทลายลงแน่นอน
————————————————————————————-