เล่มที่ 30 เล่มที่ 30 ตอนที่ 897 พระชายา กระหม่อมมาถึงแล้ว

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ไม่นานหลังจากฮ่องเต้แคว้นตงเฉินเสวยยาหมด พระองค์ก็งีบหลับไป

ซูจิ่นซีเดินไปยังข้างกายของฮ่องเต้ นางยกผ้าห่มกับฉลองพระองค์บนพระวรกายของฮ่องเต้แคว้นตงเฉินออก และหยิบราชาหยกนิลกาฬออกมาจากระบบถอนพิษ

เมื่อราชาหยกนิลกาฬออกมาจากระบบถอนพิษ จู่ๆ มันก็มีอาการคลุ้มคลั่ง ซูจิ่นซีนำกล่องที่ใส่ราชาหยกนิลกาฬมาไว้ใกล้ๆ ท้องของฮ่องเต้แคว้นตงเฉิน จากนั้น ราชาหยกนิลกาฬก็กระโดดขึ้นไปบนท้องของฮ่องเต้แคว้นตงเฉิน

ซูจิ่นซีได้ยินเพียงเสียงเนื้อถูกกัดแทะเป็นชิ้นๆ ดัง ‘จุ๊บจั๊บ’ และตามด้วยเสียง ‘ฉึก’ ราชาหยกนิลกาฬเข้าไปในท้องของฮ่องเต้แคว้นตงเฉินจากรูเลือดที่ถูกกัดแทะ

ในขณะเดียวกัน พระพักตร์ของฮ่องเต้แคว้นตงเฉินกลายเป็นบิดเบี้ยวน่ากลัวอย่างยิ่ง หว่างคิ้วและดวงตามีรอยเขียวช้ำ ริมฝีปากเป็นสีม่วงเข้ม

ซูจิ่นซีรู้ว่าอาการนี้เป็นเพราะพิษของราชาหยกนิลกาฬที่ทำปฏิกิริยาในพระวรกายของฮ่องเต้แคว้นตงเฉิน หากเป็นคนธรรมดา ในกรณีนี้และในสถานการณ์เช่นนี้ต้องตายอย่างแน่นอน ทว่าในพระวรกายของฮ่องเต้แคว้นตงเฉินยังมีสารพิษจากโลหะหนัก พิษต้านพิษ ไม่ตายอย่างแน่นอน

ซูจิ่นซีจึงไม่กังวลใจ

เป็นจริงดั่งคาด ไม่นานนัก ร่องรอยสารพิษบนพระพักตร์ของฮ่องเต้แคว้นตงเฉินก็จางหายไป สีพระพักตร์ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ แม้ยังมีรอยแดงอยู่เล็กน้อย

ซูจิ่นซีใช้ระบบถอนพิษตรวจหาปริมาณสารพิษในร่างของฮ่องเต้แคว้นตงเฉินตลอดเวลา คาดว่าสารพิษจากโลหะหนักนั้นถูกราชาหยกนิลกาฬย่อยสลายไปพอสมควรแล้ว เมื่อได้เวลาที่เหมาะสม นางจึงหยิบสมุนไพรหอมขนาดเท่านิ้วก้อย ยาวหนึ่งชุ่นออกมาจากระบบถอนพิษหนึ่งก้าน จากนั้นจึงวางลงบนปากรูเลือดบนท้องของฮ่องเต้แคว้นตงเฉินและจุดไฟ

แม้กลิ่นของสมุนไพรหอมจะไม่รุนแรงนัก ทว่าควันกลับมีไม่น้อย ในไม่ช้า พระวรกายของฮ่องเต้แคว้นตงเฉินก็เต็มไปด้วยควันหนาทึบ

‘ฉึก ฉึก ฉึก’

ยังคงเป็นเสียงเนื้อที่ฉีกออกจากกัน จากนั้น ราชาหยกนิลกาฬที่ได้กลิ่นสมุนไพรหอมก็ปีนออกมาจากรูเลือด

ซูจิ่นซีตื่นตัวอยู่เสมอ นางรีบนำกล่องกดไว้ตรงปากแผลรูเลือด เมื่อราชาหยกนิลกาฬปีนออกมาจากรูเลือด นางจึงตะครุบมันทันที และดึงราชาหยกนิลกาฬกลับลงไปในกล่อง

จากนั้น ซูจิ่นซีก็เปิดช่องว่างและสังเกตอย่างระมัดระวัง

ราชาหยกนิลกาฬดูมีขนาดใหญ่กว่าก่อนหน้านี้ ทั้งร่างมีสีดำเข้มส่องสว่าง

ราชาหยกนิลกาฬเป็นคางคกชั้นยอดในบรรดาคางคกทั้งหมด สียิ่งดำเข้มสว่าง พิษยิ่งร้ายแรง

ดูเหมือนว่าการล้างพิษครั้งนี้เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ไม่เพียงบรรเทาพิษในร่างของฮ่องเต้แคว้นตงเฉิน ทว่ายังเพิ่มสารพิษให้ราชาหยกนิลกาฬอีกด้วย เป็นเรื่องที่ได้มาโดยบังเอิญจริงๆ

ซูจิ่นซีเก็บราชาหยกนิลกาฬกลับเข้าสู่ระบบถอนพิษ เตรียมไว้ใช้งานในภายหลัง

จากนั้น ซูจิ่นซีจึงจัดการทำความสะอาดบาดแผลให้ฮ่องเต้แคว้นตงเฉิน จัดแจงฉลองพระองค์กับผ้าห่มของเขาอีกครั้ง ก่อนจะผลักประตูเดินออกไป

ตงหลิงหวงยังไม่จากไปที่ใด นางเฝ้าอยู่ที่ประตู

เมื่อเห็นซูจิ่นซีเดินออกมาก็รีบเดินเข้าไปหา และถามว่า “อาการเป็นอย่างไรบ้าง? ”

“ถอนพิษได้แล้ว! ”

ใบหน้าของตงหลิงหวงปรากฏความปีติยินดี “ยอดเยี่ยม! ”

“ขั้นตอนการถอนพิษมีการใช้ยาสลบ ตอนนี้พระองค์ยังไม่ฟื้น คงฟื้นหลังจากนี้อีกสามชั่วยาม ข้าทำแผลแล้ว ดูแลตามปกติ อย่าให้โดนน้ำ”

“ขอบคุณ ซูจิ่นซี! ”

ซูจิ่นซียอมรับคำขอบคุณอย่างมีความสุข

“เสร็จแล้ว เข้าไปข้างในเถิด! ข้าขอตัวกลับก่อน ยังมีเรื่องต้องหารือกับอู๋จุนและคนอื่นๆ อีก ”

ตงหลิงฮวงพูดโดยไม่ทำให้ซูจิ่นซีเสียเวลา “ตกลง! ” จากนั้นจึงเดินไปส่งซูจิ่นซีออกจากตำหนัก

ซูจิ่นซีกลับมาที่ตำหนักฟางเฟยเพียงลำพัง เมื่อใกล้จะถึงตำหนักฟางเฟย นางเห็นอู๋จุนและอวิ๋นจิ่นเดินมาจากระยะไกล

ซูจิ่นซีไม่ได้พบอวิ๋นจิ่นมาระยะหนึ่งแล้ว เสื้อผ้าสีขาวราวกับหิมะของอวิ๋นจิ่น ท่ามกลางกำแพงสีแดงและกระเบื้องสีเขียว ดูเด่นชัดราวกับบัวหิมะที่ปราศจากฝุ่นผงในวังหลวงอันงดงาม นางจึงจำอวิ๋นจิ่นได้อย่างรวดเร็ว

ชั่วพริบตา พวกเขาสองคนก็เดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของซูจิ่นซี อู๋จุนกระโดดไปข้างหน้าซูจิ่นซีด้วยรอยยิ้ม

“แม่นางพิษน้อย ดูสิ ผู้ใดมาที่นี่! ”

เมื่ออวิ๋นจิ่นเห็นซูจิ่นซีจากระยะไกล รอยยิ้มบนใบหน้าก็ราวกับดอกเหมยในเดือนสามที่บานสะพรั่ง เมื่อเข้ามาใกล้ ยิ่งเหมือนแสงแดดที่ทำให้หัวใจของซูจิ่นซีอบอุ่น

เขาคำนับซูจิ่นซีด้วยความเคารพ “พระชายา กระหม่อมมาถึงแล้ว! ”

ซูจิ่นซีน้อมรับตามมารยาท

“นี่คือวังหลวงแคว้นตงเฉิน หาใช่แคว้นจงหนิง เจ้าเดินทางอย่างยากลำบากมาตลอดทาง หมอหลวงอวิ๋นไม่ต้องมากพิธี”

อวิ๋นจิ่นไม่พูดอันใดมาก เขายืนขึ้นและแย้มรอยยิ้มที่มีให้ซูจิ่นซีเท่านั้น ทั้งยังอ่อนน้อมถ่อมตนและสุภาพ

อู๋จุนกระโดดขึ้น แสดงความไม่เห็นด้วย

“แม่นางพิษน้อย เจ้าลำเอียง ลำเอียง! เจ้าดุดันกับพี่จุนตลอด ทว่าพูดดีกับหมอหลวงอวิ๋นมากถึงเพียงนี้ เจ้าลำเอียง! ”

ซูจิ่นซีขมวดคิ้วอย่างแรง “ถังเสวี่ยไปที่ใดแล้ว? ”

อู๋จุนที่กำลังขุ่นเคืองพลันสงบลงและกระโดดไปด้านข้างด้วยความตกใจ “เจ้าว่างมากนักหรือ เหตุใดจึงพูดถึงยัยตัวแสบนั่น? ”

ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากอย่างพอใจ ก่อนจะหันไปหาอวิ๋นจิ่น “พวกเรากลับไปกันก่อน ค่อยหารือกัน”

“พ่ะย่ะค่ะ! ”

ทุกคนกลับไปที่ตำหนักฟางเฟย หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยก็หารือกันเกี่ยวกับเรื่องทางเหนือ

ผู้ที่นั่งร่วมวง ได้แก่ เยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซี อู๋จุน ถังเสวี่ย และอวิ๋นจิ่น

ระหว่างที่พวกเขากำลังหารือกัน ตงหลิงหวงก็เดินเข้ามา ทุกคนต่างแสดงสีหน้าสงสัย

ซูจิ่นซีลุกขึ้นยืนต้อนรับ “รัชทายาทตงเฉิน มีเรื่องอันใดหรือ? หรือว่าฮ่องเต้แคว้นตงเฉินมีอาการเปลี่ยนแปลง? ”

ตงหลิงหวงมีท่าทีจริงจังอย่างมาก

“โชคดีที่พระชายาโยวอ๋องยื่นมือมาช่วยเหลือเสด็จพ่อของข้า พระองค์อาการดีขึ้นมาก เพียงแต่ตอนที่ข้าออกมา ยาสลบยังไม่หมดฤทธิ์ พระองค์จึงยังไม่ฟื้น ที่ข้ามาที่นี่ครั้งนี้เพราะมีเรื่องอื่นที่ต้องการหารือกับพวกท่าน”

ทุกคนต่างรอฟังคำพูดของตงหลิงหวง จึงไม่พูดสิ่งใด

ตงหลิงฮวงกล่าวต่อ “ขอให้ข้ามีส่วนร่วมเดินทางไปทางเหนือได้หรือไม่? ข้ารู้ว่าครั้งนี้พวกท่านจะเดินทางขึ้นไปทางเหนือ ทว่าข้าจะไปเพื่อมู่หรงฉีเท่านั้น ข้าเพียงต้องการให้เขามีชีวิตรอดกลับมา”

แท้จริงแล้ว ตอนที่ตงหลิงหวงบอกว่ายังมีเรื่องอื่นต้องการพบพวกเขานั้น ซูจิ่นซีได้คิดไว้แล้วว่าตงหลิงหวงจะร่วมเดินทางไปแคว้นเป่ยอี้กับพวกเขา เพียงแต่นางไม่ได้แสดงความคิดเห็นออกมาเท่านั้น

ส่วนคนที่เหลือต่างมองหน้ากันอย่างทำอันใดไม่ถูก และไม่ได้แสดงความคิดเห็นอันใด

ตงหลิงหวงกล่าวว่า “หากไม่สะดวกให้ร่วมเดินทาง ข้าสามารถเดินตามหลังพวกท่านช้าลงสักหน่อย ขอเพียงให้ข้าได้พบมู่หรงฉี”

อย่างไรเสีย ความสัมพันธ์ระหว่างตงหลิงหวงกับทุกคนนั้น จะว่าใกล้ชิดกันก็ไม่ใช่ จะว่าห่างไกลกันก็ไม่เชิง เรื่องนี้ตัดสินใจยากจริงๆ

แววตาของตงหลิงหวงจับจ้องไปที่ใบหน้าของอู๋จุน ถังเสวี่ย อวิ๋นจิ่น และเยี่ยโยวเหยา เพื่อขอความคิดเห็นจากทุกคน

อู๋จุนที่นั่งตัวตรงบนเก้าอี้ กลับกระโดดขึ้นไปนั่งบนพนักพิงหลังของเก้าอี้

“ข้าฟังแม่นางพิษน้อย แม่นางพิษน้อย เจ้าว่าอย่างไร พวกเราก็ทำอย่างนั้น! ”

จากนั้นถังเสวี่ยก็พูดว่า “ข้าฟังพี่เป่าอวี้! ”

เยี่ยโยวเหยาและอวิ๋นจิ่นไม่พูดสิ่งใด สายตาของตงหลิงหวงจ้องไปที่ใบหน้าของซูจิ่นซีอีกครั้งด้วยความคาดหวัง

ซูจิ่นซีมองไปทางเยี่ยโยวเหยา

ดวงตาดำขลับลึกซึ้งของเยี่ยโยวเหยาไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ เขาปาดฟองชาอย่างแผ่วเบาและจิบชาหนึ่งคำ จากนั้นจึงกล่าวว่า “ข้าฟังพระชายาที่รักของข้า”

หลังจากเยี่ยโยวเหยาพูดจบ อวิ๋นจิ่นก็พูดขึ้นทันทีว่า “ทั้งหมดขึ้นอยู่กับพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”

ซูจิ่นซีก่ายหน้าผากอย่างทำอันใดไม่ถูก

แรงกดดันมหาศาล! คนตั้งหลายคน! เหตุใดต้องผลักเรื่องยากๆ ทุกอย่างมาที่ตัวนางด้วย?

เหตุการณ์มาถึงขั้นนี้แล้ว ตงหลิงหวงก็มาพบด้วยตนเอง ตามความรู้สึกของนางที่มีต่อมู่หรงฉี ซูจิ่นซีจะปฏิเสธไม่ให้นางร่วมเดินทางได้อย่างไร?

ซูจิ่นซีครุ่นคิดหาคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง “หากพวกเราไม่ตกลง เจ้าคงตามไปและเดินทางเพียงลำพัง ถึงเวลานั้นจะยิ่งยุ่งยากเสียมากกว่า

สถานการณ์ในแคว้นเป่ยอี้ไม่ธรรมดา ทุกคนเพียงได้ยินเกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆ เท่านั้น ยังไม่เคยได้เห็นกับตา ในเมื่อเจ้าอยากไป เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถิด! มีคนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน ก็มีกำลังเสริมเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งแรง”

แววตาของตงหลิงหวงปรากฏความยินดี

อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่า จู่ๆ เยี่ยโยวเหยาจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ทว่า… ข้ามีเงื่อนไขข้อหนึ่ง! ”

เงื่อนไข?

เงื่อนไขอันใด?