ทุกคนอดมองไปทางเยี่ยโยวเหยาไม่ได้ ซูจิ่นซีราวกับนึกออกว่าเยี่ยโยวเหยาต้องการจะพูดอันใด นางแสดงสีหน้าเรียบเฉย
ตงหลิงหวงเอ่ย “ไม่ทราบว่าโยวอ๋องมีเงื่อนไขอันใด? ”
“คิดจะไปแคว้นเป่ยอี้กับพวกเราก็ย่อมได้ ทว่าก่อนอื่นต้องมอบตัวคนทรยศของแคว้นจงหนิงให้ข้าเสียก่อน”
สีหน้าของอวิ๋นจิ่นสงบนิ่งขรึม เขาก็ไม่ได้พูดอันใดเช่นกัน
ถังเสวี่ยสับสนมึนงง ไม่รู้ว่าเยี่ยโยวเหยาหมายถึงผู้ใด
อู๋จุนที่กำลังดื่มน้ำไปหนึ่งอึกแทบจะพ่นออกมา
“มอบตัวคนทรยศ? เยี่ยโยวเหยา ท่านอำมหิตยิ่งนัก!
ผู้ใดไม่ทราบบ้างว่าสองพ่อลูกสกุลฮั่วมีส่วนช่วยในเหตุการณ์ขัดแย้งภายในของแคว้นตงเฉินเป็นอย่างมาก ในเวลานี้ ลาภยศสรรเสริญต้องทยอยตามมาอย่างแน่นอน ในอนาคต สกุลตงหลิงยังต้องพึ่งพาพ่อลูกสกุลฮั่วเพื่อคานอำนาจในราชสำนัก! นึกไม่ถึงว่าจะให้ทรยศขุนนางที่สร้างคุณงามความดี!
มีท่านอ๋องเพียงผู้เดียวที่ทำเรื่องเช่นนี้ได้! ”
เยี่ยโยวเหยาจิตใจอำมหิตอย่างมาก มีเพียงซูจิ่นซีผู้เดียวเท่านั้นที่เข้าใจเขา
ซูจิ่นซีเข้าใจอารมณ์ของเยี่ยโยวเหยาดีที่สุดแล้ว ถึงเวลานี้ เยี่ยโยวเหยาก็อดกลั้นอย่างถึงที่สุดเช่นกัน
ไม่เช่นนั้น ตอนก่อนเข้าสู่แคว้นตงเฉิน เยี่ยโยวเหยาคงส่งกองทัพขุนพลผีไปฆ่าพ่อลูกสกุลฮั่วแล้ว
ไม่อาจพูดได้ว่ากองทัพขุนพลผี ทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเหอไร้ผู้ต่อต้าน การลอบสังหารไม่เคยล้มเหลว ทว่าเรื่องที่ต้องการสังหารสองพ่อลูกสกุลฮั่วนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายดาย
เห็นได้ชัดว่าท่าทีของเยี่ยโยวเหยาแน่วแน่และเด็ดเดี่ยว หากตงหลิงหวงไม่เห็นด้วย เยี่ยโยวเหยาก็ไม่มีทางเห็นด้วยเรื่องที่ให้นางร่วมเดินทางไปทางเหนือกับคนอื่นๆ
นางจะเลือกอย่างไร?
นางจะตกลงหรือไม่?
ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียง พวกเขาต่างรอคำตอบของตงหลิงหวง
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ ตงหลิงหวงก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่จริงจังอย่างมาก
“โยวอ๋อง หากเดือนที่แล้วท่านขอร้องเช่นนี้ ข้าคงตกลงกับท่านแน่นอน ทว่าตอนนี้… ข้าไม่อาจทำเรื่องอยุติธรรมเช่นนั้นได้ แม้สองพ่อลูกสกุลฮั่วจะเป็นคนทรยศของแคว้นจงหนิง ทว่าสำหรับแคว้นตงเฉินของข้า พวกเขาเป็นขุนนางผู้สร้างคุณงามความดีครั้งใหญ่”
อีกนัยหนึ่งก็คือ นางไม่อาจมอบฮั่วจีและฮั่วซืออวี่ให้เยี่ยโยวเหยาได้แน่นอน
หลังสิ้นเสียงของตงหลิงหวง ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างตกตะลึง ผู้ใดบ้างที่ไม่รู้จักอุปนิสัยของเยี่ยโยวเหยา เขาไม่ชอบให้ผู้อื่นขัดคำสั่ง
ทว่าไม่มีผู้ใดคาดคิด เยี่ยโยวเหยากลับนิ่งเงียบไม่ทำอันใด รัศมีเย็นชารอบตัวเป็นปกติ คำพูดของตงหลิงหวงไม่ได้เพิ่มแรงกดดันหรือทำให้เรื่องราวเลวร้ายลง
นิ้วของเขาที่วางอยู่บนพนักวางแขนเคาะเป็นจังหวะดัง ‘กึก… กึก… กึก’
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น รัชทายาทตงเฉินก็กลับไปเถิด! ”
น้ำเสียงของเยี่ยโยวเหยาทอดยาว แม้แต่ซูจิ่นซีก็คาดเดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดอันใดอยู่
ใบหน้าของตงหลิงหวงซีดขาวลงเล็กน้อย ทว่าท่าทีของนางยังคงแน่วแน่อย่างมากว่าจะไม่มอบฮั่วจีและบุตรชายของเขาให้เยี่ยโยวเหยา และนางก็ไม่ได้ขยับเขยื้อน
“โยวอ๋อง พวกเราสามารถเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขได้หรือไม่? ”
“เงื่อนไขใดก็ได้? ”
“ได้! ”
‘กึก’ เยี่ยโยวเหยาเคาะนิ้วลงบนพนักวางแขนเก้าอี้อย่างแรง
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ใช้แคว้นตงเฉินเป็นข้อแลกเปลี่ยน! ”
“แคว้นตงเฉิน? ”
ตงหลิงหวงขมวดคิ้วแน่น ไม่มีทางคาดคิดได้เลยว่าเยี่ยโยวเหยาจะเสนอเงื่อนไขเช่นนี้
ทุกคนต่างตกตะลึง
ทว่าซูจิ่นซีเข้าใจบางอย่างได้อย่างรวดเร็ว ดวงตาของนางปรากฏความชัดเจน ทว่านางไม่ได้พูดอันใดและนั่งลงบนเก้าอี้อีกด้านหนึ่ง
“ใช่ แคว้นตงเฉิน” เยี่ยโยวเหยากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่อนุญาตให้แคว้นตงเฉินแย่งชิงใต้หล้าอีก ไม่อนุญาตให้ส่งกองทัพต่อสู้กับหกแคว้นที่เหลือ
แน่นอน หากผู้ใดกล้าแตะต้องแคว้นตงเฉินแม้แต่เส้นขน แคว้นจงหนิงของข้าก็ไม่ปล่อยไว้เป็นแน่ รอข้าสำเร็จการใหญ่ในการรวบรวมใต้หล้า แคว้นตงเฉินจะกินดีอยู่ดีและมีความเจริญรุ่งเรือง”
เยี่ยโยวเหยาคิดฉวยโอกาสพิชิตแคว้นตงเฉินโดยไม่ใช้ทหารสักนายหรือเคลื่อนกองทัพมาบุก
ตงหลิงหวงเป็นคนชอบเอาชนะ นางจะตกลงหรือไม่?
ทว่าดูเหมือนคำถามจะย้อนกลับมาอีกครั้ง คำถามที่ว่ามู่หรงฉีกับบ้านเมือง ในใจของตงหลิงหวงสิ่งใดสำคัญกว่ากัน
คนที่เหลือยังคงนิ่งเงียบ ไม่มีผู้ใดปริปาก ทว่าพวกเขาแอบสังเกตทุกการแสดงออกของตงหลิงหวงและเยี่ยโยวเหยาอย่างละเอียด
หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ตงหลิงหวงก็เอ่ยขึ้นทันที “โยวอ๋อง อย่าลืมว่าตอนนี้ท่านอยู่ในพระราชวังตงเฉิน อยู่ในดินแดนแคว้นตงเฉิน เกรงว่าคงไม่เหมาะสมที่จะพูดคุยกันเรื่องนี้กระมัง? ”
แม้น้ำเสียงของตงหลิงหวงจะแผ่วเบาเล็กน้อย ทว่าซูจิ่นซี อู๋จุน และอวิ๋นจิ่นกลับรับรู้ได้ถึงการข่มขู่จากน้ำเสียง
อวิ๋นจิ่นยังคงไม่มีท่าทีใดๆ ส่วนซูจิ่นซีกลับขมวดคิ้วแน่น
อู๋จุนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
ช่างบังอาจยิ่งนัก!
คนที่กล้าข่มขู่เยี่ยโยวเหยา เกรงว่าบนโลกนี้คงมีแม่นางพิษน้อยเพียงผู้เดียวกระมัง?
ตงหลิงหวงผู้นี้ช่างกล้าหาญเกินไปแล้ว ไม่อยากมีชีวิตแล้วหรือ?
น่าแปลกอย่างมาก
ไม่รู้เพราะเหตุใด ไม่ว่าตงหลิงหวงจะพูดสิ่งใด เยี่ยโยวเหยากลับไม่โกรธเคือง แม้เมื่อครู่จะเป็นน้ำเสียงข่มขู่อย่างเห็นได้ชัดก็ตาม เขาก็ยังไม่แสดงอารมณ์ขุ่นเคืองแม้แต่น้อย
“แน่นอน เจ้าไม่รับปากก็ย่อมได้ ไม่ช้าก็เร็ว แคว้นตงเฉินต้องกลับคืนมาสู่ข้า! ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้ากับโยวอ๋องคงไม่มีเรื่องอันใดต้องพูดคุยอีก เช่นนั้นพวกเราคอยดูผลเอาเถิด! ”
ตงหลิงหวงพูดจบก็ไม่รีรอ นางรีบเดินออกไปนอกประตูทันที
ตงหลิงหวงออกไปได้ครู่ใหญ่แล้ว ภายในห้องโถงยังคงเงียบสนิท ในที่สุด อู๋จุนก็เป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบ
เขาหยิบส้มจากบนโต๊ะขึ้นมาแล้วปาไปทางเยี่ยโยวเหยา
“เฮ้ เยี่ยโยวเหยา เจ้าพูดเมื่อครู่ไม่จริงใช่หรือไม่? เจ้าคิดจะใช้แคว้นตงเฉินเป็นข้อแลกเปลี่ยนให้ตงหลิงหวงเดินทางไปกับพวกเราหรือ? ”
เยี่ยโยวเหยารับส้มมา เขาไม่เพียงไม่เขวี้ยงกลับไปทางอู๋จุน ตรงกันข้าม เขากลับปอกเปลือกอย่างระมัดระวังแล้วป้อนเข้าปากซูจิ่นซี
“เจ้าเห็นข้าเป็นคนชอบล้อเล่นหรือ? ”
“ไม่เหมือน ไม่เหมือนเด็ดขาด! ทว่ารังแกสตรี ทั้งยังฉวยโอกาสบังคับขู่เข็ญ ไม่ใช่เรื่องที่ชายชาตรีจะกระทำ! ”
เยี่ยโยวเหยาไม่โกรธเคือง
ถังเสวี่ยพูดว่า “พี่เป่าอวี้ เจ้าพูดผิดแล้ว! ในสายตาของโยวอ๋อง นอกจากซูจิ่นซีแล้วยังมีสตรีอื่นอีกหรือ? ”
ไม่มีหรือ?
ไม่มี!
อู๋จุนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เขาลืมเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไปได้อย่างไร?
ในสายตาของเยี่ยโยวเหยา มีเพียงคนสองประเภท
ประเภทแรกคือซูจิ่นซี อีกประเภทคือคนอื่นที่ไม่ใช่ซูจิ่นซี
เมื่อเห็นอู๋จุนตกตะลึง ไม่รู้ว่าตกตะลึงเพราะถังเสวี่ยพูดแทงใจดำ หรือเพราะอิจฉาเยี่ยโยวเหยา อย่างไรก็ตาม เขาก็ทำได้ดีมาก
ถังเสวี่ยมองด้วยความรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก นางจึงหัวเราะออกมา
ใบหน้าของอวิ๋นจิ่นปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย ทว่าหากคนสังเกตอย่างละเอียด จะรู้ว่าแววตาของเขาไม่ได้ยิ้มไปด้วย
ซูจิ่นซีกินส้มที่เยี่ยโยวเหยายื่นให้อย่างเงียบงัน โดยไม่ได้พูดอันใด
และตัวต้นเรื่องอย่างเยี่ยโยวเหยาก็ยังคงสงบนิ่ง เหมือนคนไม่สนใจโลก
ในที่สุด อู๋จุนก็อดกลั้นไม่ไหว เขาลุกขึ้นยืนและกระโดดอยู่ที่เดิมสองรอบ “ช่างปะไร! ไม่พูดแล้ว เข้าเรื่องสำคัญดีกว่า แม่นางพิษน้อย เรื่องไปทางเหนือจะคิดการอย่างไร?”