บทที่ 3065 (4) ปัจฉิมบท 30
ครั้งนี้นางปล่อยร่างอวตารนั้นออกมาก่อน ใช้วาจาดึงดูดตี้ฝูอีไว้ จากนั้นตัวนางที่เป็นร่างจริงก็จำแลงเป็นสายลมหอบหนึ่ง พัดตรงเข้าหากู้ซีจิ่ว คิดจะช่วงชิงยึดครองร่างนางอีกครั้ง…
กลับคาดไม่ถึงเลยว่าตี้ฝูอีจะมองออก!
เห็นได้ชัดว่าแสงรุ้งของตี้ฝูอีทำร้ายจิตมารตนนี้ได้แล้ว มีโลหิตไหลซึมออกมาจากมุมปาก
“ตี้ฝูอี เจ้าช่างอำมหิตนัก…” ร่างกายนางสั่นเทานิดๆ น้ำเสียงชอกช้ำขมขื่น ในดวงตาคู่นั้นคล้ายมีเพลิงลุกโชนอยู่ “เจ้าจำเรื่องในอดีตไม่ได้จริงๆ หรือ?”
สีหน้าตี้ฝูอีเรียบเฉย มองนางอย่างเฉยชา ค่อยๆ เปิดปากเอ่ย “เปิ่นจุนจำได้ เพียงแต่ เจ้าไม่ใช่นาง!”
มือข้างหนึ่งของเขากุมมือกู้ซีจิ่วเอาไว้ตลอด “นางสิถึงจะใช่!”
“แต่นางจำไม่ได้! ยามนั้นนางตัดแยกตัวข้าที่รักเจ้าออกมาจากร่าง! นางจำเจ้าไม่ได้! แต่กลับเป็นข้าที่จดจำเจ้าได้เสมอมา! รอคอยเจ้า!” เสียงของจิตมารเสียดแหลมโศกศัลย์ ราวกับสามารถทิ่มแทงเข้าสู่ก้นบึ้งใจคนได้ ทำให้จิตใจคนเกิดความเศร้าหมอง
ตี้ฝูอีกลับไม่ไหวติงเลย พิศมองสตรีชุดขาวจากบนจรดล่างแวบหนึ่ง ส่ายหน้านิดๆ “จำได้แล้วอย่างไรเล่า? สุดท้ายเจ้าก็ไม่ใช่นางอยู่ดี เพียงแค่ในร่างมีจิตมารเสี้ยวหนึ่งของตัวนางในอดีตเท่านั้น แม้แต่ดวงวิญญาณของนางก็ยังไม่มีเลย ส่วนดวงวิญญาณของเจ้าก็เป็นการผสมผสานรวมตัวกันของสตรีที่เคียดแค้นพยาบาทสิบแปดนาง เจ้าคิดว่าเปิ่นจุนมองไม่ออกหรือไง?”
สตรีชุดขาวนิ่งงันไปแล้ว
ตี้ฝูอีเลิกแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อย “อย่าได้พูดจาไร้สาระอีกเลย ให้เปิ่นจุนได้ทดสอบฝีมือของเจ้าเถอะ เปิ่นจุนอยากเห็นว่าสุดท้ายแล้วเจ้ามีฝีมือแค่ไหนกัน? ถึงก่อมรสุมใหญ่โตถึงเพียงนี้ขึ้นมาได้!”
….
กู้ซีจิ่วยืนอยู่บนผาน้ำแข็งแห่งหนึ่ง รอบกายมีกำบังแสงมงคลครอบคลุมอยู่ แสงมงคลนี้เป็นตี้ฝูอีที่ร่ายลงบนร่างเธอเมื่อครู่นี้ มีประสิทธิภาพยิ่งกว่ารัดเกล้าทองของซุนหงอคงเสียอีก เมื่อร่างเธอมีแสงมงคลนี้โอบคลุม ภูตผีปีศาจชั่วร้ายที่อยู่รอบข้างล้วนไม่กล้าเข้าใกล้…
เธอมองตี้ฝูอีประมือกับจิตมารชุดขาวตนนั้น ดูไปได้แค่สามสี่กระบวนท่า หัวใจก็สงบลงแล้ว
หลังจากตี้ฝูอีกลับคืนฐานะเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์แล้ว พลังยุทธ์เพิ่มพูนขึ้นกว่าร้อยเท่าเลย! หากกล่าวว่าเมื่อก่อนพลังยุทธ์ของเขาคือนทีใหญ่สายหนึ่ง เช่นนั้นพลังยุทธ์ของตัวเขาในตอนนี้ก็คือมหาสมุทรแปซิฟิก…
จิตมารชุดขาวมิใช่คู่ต่อสู้ของตี้ฝูอีเลย! ความพ่ายคือเรื่องที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว…
ตี้ฝูอียืนสง่าอยู่ตรงนั้น มือขยับพลิ้วไหว ราวกับเดินหมากอยู่
และมีแสงรุ้งมากมายนับไม่ถ้วนจำแลงเป็นดวงดาวหมุนโคจรอยู่ที่ปลายนิ้วเขา ปิดล้อมจิตมารชุดขาวเอาไว้ตรงกลางอย่างหนาแน่น ทำให้ถึงนางอยากหนีก็หาโอกาสไม่ได้
จิตมารชุดขาวนึกเสียใจแล้ว!
นางทุ่มพลังยุทธ์ทั้งหมดออกมาแล้ว ยังคงไม่อาจต้านทานแสงรุ้งนั้นที่เข้าโจมตีได้
ทุกครั้งที่ดวงดาวแสงรุ้งเข้าปะทะร่าง นางล้วนรู้สึกราวกับว่าดวงวิญญาณของตนกำลังจะถูกแบ่งแยก เจ็บปวดจนทนไม่ไหว!
ส่วนกระบวนท่าที่นางสำแดงออกมาก็ไม่โดนแม้แต่มุมชุดของอีกฝ่ายเลย นี่เป็นการบดขยี้กันอยู่ฝ่ายเดียวชัดๆ!
จิตมารชุดขาวคิดจะหลบหนีอยู่หลายครั้ง ล้วนถูกดวงดาวที่ราวกับทางช้างเผือกพุ่งเข้ามากวาดต้อนให้กลับมา…
ตัวดวงดาวมีอักขระอาคมเก่าแก่อยู่ ทุกครั้งที่ร่อนลงมา จะทิ้งบาดแผลอาบโลหิตสายหนึ่งเอาไว้บนร่างของจิตมาร โลหิตนั้นเป็นสีดำสนิท มีไอทมิฬล่องลอยขึ้นมา…
ระยะเวลาในการทำศึกครั้งนี้ไม่นับว่านานเกินไป เพียงครึ่งชั่วยามก็ตัดสินแพ้ชนะได้แล้ว
ในที่สุด ตี้ฝูอีก็หยุดมือแล้ว
ส่วนรูปลักษณ์ของจิตมารชุดขาวที่อยู่ตรงหน้าเขาก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงเลย
ทั้งร่างนางอาบไปด้วยโลหิต ตัวคนเสมือนถูกงมขึ้นมาจากบ่อโลหิตสีดำก็มิปาน และเหมือนถูกบังคับถลกหนังออกไปชั้นหนึ่ง เหลือไว้เพียงแกนร่างสีเทาอ่อน ซ้ำแกนนั้นยังสั่นสะท้านไหวระริกด้วย ราวกับกึ่งๆ ควบรวมขึ้นจากอากาศธาตุ ลมพัดมาคราหนึ่งก็จะสลายกระจายไป…
นางยืนอยู่ตรงนั้น ดวงหน้าสลัวพร่าเลือนอย่างยิ่ง ราวกับหวนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นแรกสุดแล้ว ยามที่นางเพิ่งถูกตัดแยกออกมาจากร่างของเทพผู้สร้างโลก…
….
————————————————————————————-
บทที่ 3066 (1) ปัจฉิมบท 31
“เป็นไปได้ยังไง?” นางพึมพำ ไอมารบนร่างเดี๋ยวหนาแน่นเดี๋ยวเบาบาง “ไม่น่าเชื่อว่าวรยุทธ์ของเจ้าจะสูงส่งถึงเพียงนี้…มิน่าเล่าฟั่นเชียนซื่อถึงต้องวางแผนโค่นล้มเจ้ามาเป็นหมื่นปี…แต่ว่าในอดีต…ในอดีตเห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าวรยุทธ์ของเจ้าไม่ได้สูงขนาดนี้!”
ตี้ฝูอีเอ่ยตอบ “ชาติก่อนตอนที่รู้จักนาง ข้ายังไม่ได้ตื่นรู้ พลังยุทธ์ฟื้นฟูกลับมาเพียงเสี้ยวหนึ่งของทั้งหมด…”
“นางอะไร? นั่นคือข้า!” จิตมารตนนั้นกรีดร้อง
“ไม่ เจ้าไม่เคยเป็นนางเลย” น้ำเสียงของตี้ฝูอีสุขุมและเย็นชา “เพียงเพราะในปีนั้นฟั่นเชียนซื่อต้องการเพิ่มพูนความเคียดแค้นชิงชังให้เจ้า จึงฝืนใส่ความทรงจำส่วนหนึ่งของนางให้เจ้า เสริมให้ความหมกมุ่นยึดติดของเจ้ากล้าแข็งขึ้น”
จิตมารนิ่งงันไป ไม่น่าเชื่อว่าแม้แต่ความทรงจำก็มิใช่ของตนหรือ? เช่นนั้นสิ่งใดบ้างเล่าที่เป็นของตน?
ร่างนางส่ายโอนเอน ดูเลื่อนลอยมึนงง
ระหว่างนิ้วมือของตี้ฝูอีมีแสงผุดขึ้นมาอีกครั้ง…
จิตมารคล้ายจะตระหนักรู้อันใดแล้ว เงยหน้าขึ้นทันที “เจ้าจะจัดการข้าอย่างไร?!”
น้ำเสียงตี้ฝูอีเย็นชา “ส่งเจ้าไปยังที่ที่ควรอยู่!”
แสงรุ้งเอ่อล้นออกมาจากปลายนิ้ว ครอบคลุมทั้งร่างของจิตมารเอาไว้ด้านใน
จิตมาร เดิมทีก็ไม่สมควรกลายเป็นปัจเจกบุคคลที่มีความคิดอิสระอยู่แล้ว ด้วยการจับพลัดจับผลูถึงได้ก่อร่างกลายเป็นตัวตนเช่นนี้ในยามนี้ ถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอกของนางจะคล้ายกับกู้ซีจิ่ว แต่นางไม่ใช่กู้ซีจิ่วจริงๆ ตัวนางถึงขั้นที่ยังสู้เหล่าพี่สาวน้องสาวร่วมสายโลหิตของกู้ซีจิ่วในชาตินี้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ตี้ฝูอีย่อมไม่มีทางปล่อยนางไป
ยิ่งไปกว่านั้นคือหากว่านางไม่ตาย ก็ไม่อาจชำระล้างวิญญาณอาฆาตในทะเลทรายทมิฬแห่งนี้ได้
เพียงแต่ เห็นแก่ที่นางเคยเป็นจิตมารของกู้ซีจิ่วมาก่อน เขาจะผ่อนปรนให้สักหน่อย ให้นางตายอย่างรวดเร็ว ลดทอนความเจ็บปวดลงหน่อย…
จิตมารกลับไม่ยินดีจะถูกชำระล้างไปเช่นนี้ พุ่งซ้ายกระแทกขวาอยู่ภายในแสงรุ้ง ทว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็ดิ้นรนให้หลุดพ้นจากการพัวพันของแสงรุ้งไม่ได้
จู่ๆ นางก็กรีดร้องใส่กู้ซีจิ่ว “ฮ่าๆ ดูเหมือนเขาจะไม่ได้รักเจ้าเลยนะ มิเช่นนั้นจะลงมือต่อจิตมารของเจ้าอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้ได้อย่างไร?! เขาคือเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ ในใจมีแต่ความรักอันยิ่งใหญ่มิมีความรักอันหยุมหยิม เมื่อเขากลับสู่ฐานะเดิมก็ไม่รักเจ้าแล้ว! ฮ่าๆๆ เขาไม่รักเจ้าเลย!”
กู้ซีจิ่วไม่เอ่ยวาจา
ฝูอีขมวดคิ้วนิดๆ นิ้วมือพลันกำแน่น แสงรุ้งหดรัดในทันใด จิตมารร้องโหยหวน เปล่งเสียงร้องแหลมเสียดหู “ตี้ฝูอี แล้วเจ้าจะเสียใจที่สังหารข้า! ฮ่าๆ เจ้าจะต้องเสียใจ…”
เอ่ยยังไม่ทันขาดคำ เงาร่างของนางก็แตกสลายไปท่ามกลางแสงรุ้ง กลายเป็นเถ้าธุลี
วิญญาณอาฆาตที่คำรามโหยหวนอยู่รอบข้างเหล่านั้นก็คล้ายจะเงียบตามไปด้วย ถูกอำนาจแห่งเทวาอันแข็งแกร่งบนร่างตี้ฝูอีสะกดข่ม ไม่กล้าเข้าใกล้เขาในระยะร้อยจั้ง
รอบข้างเงียบสงัดลงชั่วขณะ
ตี้ฝูอีมองไปทางกู้ซีจิ่วที่อยู่ไม่ไกลนัก กู้ซีจิ่วยืนสง่าอยู่ตรงนั้น มองดูทิศทางที่จิตมารสลายไป คล้ายจะใช้ความคิดอยู่บ้าง
แววตาเขาไหววูบ กวักมือเรียกนาง “มานี่!”
ก่อนหน้านี้อยู่ในระหว่างการต่อสู้ นางเกรงว่าจะถูกลูกหลงยืนอยู่ไกลหน่อยก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ ตอนนี้ทุกอย่างสงบลงแล้ว ทำไมนางยังยืนห่างจากเขาถึงนั้นอีกเล่า?
หรือว่าจะได้รับผลกระทบจากวาจานั้นของจิตมาร?
ตี้ฝูอีจึงเดินเข้าไปหาเองเสียเลย แขนข้างหนึ่งคล้องเอวบางของนางไว้ “โกรธหรือ? หืม? อันที่จริงนางไม่ใช่เจ้าเลยจริงๆ ข้าสังหารนางไม่ได้แปลว่าไม่รักเจ้านะ…”
“ข้ารู้สึกอยู่เสมอว่ายังไม่จบสิ้น” จู่ๆ กู้ซีจิ่วที่อยู่ในห้วงความคิดก็เอ่ยขึ้นมา
“หือ?” ตี้ฝูอีไม่เข้าใจ
“จิตมารไม่มีทางสลายหายไปง่ายๆ เช่นนี้ ข้ารู้สึกว่านางยังทิ้งไม้ตายสุดท้ายเอาไว้ ถ้อยคำสุดท้ายของนาง ไม่คล้ายจะเป็นแค่การข่มขู่…” นิ้วมือกู้ซีจิ่วเคาะผาน้ำแข็งที่อยู่ด้านข้างเบาๆ คาดเดาออกมา
————————————————————————————-