เล่มที่ 31 เล่มที่ 31 ตอนที่ 904 เจ้ามีหัวใจหรือไม่

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ซูจิ่นซียิ่งเดินก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวหนักขึ้น ยิ่งนางเดินไปไกลเท่าไร หนังศีรษะและแผ่นหลังยิ่งชามากเท่านั้น

นางเผลอเอามือสัมผัสที่ท้องน้อยโดยไม่รู้ตัว

“ซูจิ่นซี… ”

ทันใดนั้น เสียงของถังเสวี่ยก็ดังมาจากด้านหลัง

ซูจิ่นซีหยุดฝีเท้า นางพยายามฝืนยิ้มจากความหนาวและหันศีรษะกลับไป

แม้นางจะพยายามรักษาสีหน้าของตนเองไม่ให้เปลี่ยนไป ทว่าสีหน้าซีดเซียวของนางดันทรยศต่ออารมณ์ที่สับสนยุ่งเหยิงในเวลานี้อย่างมาก

“ซูจิ่นซี เจ้าเป็นอันใดหรือ? ”

ซูจิ่นซีตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมมือไปหาถังเสวี่ย

“แม่นางถัง ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากรบกวนเจ้า! ”

“เรื่องอันใด? ” ถังเสวี่ยเดินเข้าไปหาซูจิ่นซี

“เจ้าตามข้ามา! ”

ซูจิ่นซีจูงมือถังเสวี่ยเข้าไปในโรงเตี๊ยมและหาห้องที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว หลังจากที่ทั้งสองเดินเข้าไปข้างใน ซูจิ่นซีก็ปิดประตูแล้วเปิดความถี่อาคมกำไลปี่อั้นให้ทำงานเต็มที่

เมื่อถังเสวี่ยเห็นสิ่งนี้จึงแสดงสีหน้าสงสัย

“เรื่องอันใดหรือ? ถึงได้ลึกลับเพียงนี้! ”

ซูจิ่นซีนั่งลงบนเก้าอี้แล้วถกแขนเสื้อขึ้นสูง ก่อนจะยื่นไปตรงหน้าถังเสวี่ย

“แม่นางถัง เจ้าตรวจชีพจรให้ข้าหน่อยว่าใช่ชีพจรตั้งครรภ์หรือไม่! ”

ชีพจรตั้งครรภ์?

ถังเสวี่ยพลันตกใจ

“เรื่องแบบนี้ เจ้าควรไปหาหมอหลวงอวิ๋นมิใช่หรือ? เหตุใดถึงมาหาข้าเล่า! อีกอย่าง ซูจิ่นซี ตัวเจ้าเองก็เป็นหมอ! เหตุใดถึงไม่ตรวจชีพจรตั้งครรภ์เองเล่า? ”

“หมอรักษาตนเองไม่ได้! ”

ซูจิ่นซีเอ่ยเบาๆ

แท้จริงแล้ว จากสภาพร่างกายช่วงนี้ของตนเอง และจากความชอบในการทานตอนอยู่บนรถม้าเมื่อครู่ ซูจิ่นซีมั่นใจเก้าส่วนว่าจะต้องเป็นชีพจรตั้งครรภ์แน่นอน

ทว่านางรู้สึกกระวนกระวายใจ จึงไม่มั่นใจนัก

ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องเช่นนี้ นางจะพลาดไม่ได้แม้แต่น้อย

ดังนั้น ตอนที่เห็นถังเสวี่ย นางจึงอยากให้ถังเสวี่ยช่วยยืนยันให้นางแน่ใจ

แท้จริงแล้ว สิ่งที่เรียกว่าความแน่ใจก็คือการหาที่พึ่งทางจิตใจเสียมากกว่า

มันกะทันหันเกินไป นางจึงไม่มีความพร้อมใดๆ และตั้งรับไม่ทัน

“โอ้! ”

ถังเสวี่ยตอบรับและเดินไปข้างหน้า ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ข้างกายซูจิ่นซี ทว่าขณะที่นิ้วมือของนางกำลังจะแตะลงบนชีพจรของซูจิ่นซี ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็ชักมือกลับและดึงแขนเสื้อลง จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปข้างนอก

สีหน้าของนางซีดเซียวกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก ทั้งยังรู้สึกกังวลเล็กน้อย

เมื่อเดินมาถึงประตู นางหยุดฝีเท้า

“แม่นางถัง เจ้าต้องสาบานว่า เรื่องนี้ต้องไม่แพร่งพรายออกไปแม้แต่คำเดียว”

“อ๋า? ” ถังเสวี่ยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้าพูดว่าอันใด? ” นางไม่เข้าใจเสียด้วยซ้ำว่าตนเองมีเรื่องอันใดที่สามารถพูดออกไปได้

ซูจิ่นซีหันศีรษะกลับมาทันที แววตาของนางเย็นชาและมีท่าทีแน่วแน่ โดยพื้นฐานแล้ว นางไม่สามารถทนกับถังเสวี่ยที่ไม่เชื่อฟังได้

“เจ้าต้องสาบาน! เอาอู๋จุนมาสาบาน! หากเรื่องเมื่อครู่ที่เราสนทนากันแพร่งพรายออกไป ระหว่างเจ้ากับอู๋จุนจะไม่มีอนาคตร่วมกันได้ตลอดไป ไม่ แยกจากกันทุกภพทุกชาติ ไม่มีวันได้พบกัน ไม่มีวันอยู่ด้วยกันตลอดไป”

ถังเสวี่ยกังวลขึ้นมาทันที กังวลจนขอบตาแดงก่ำ

นางไม่คาดคิดเลยว่าซูจิ่นซีจะพูดเช่นนี้ ทั้งยังบีบบังคับให้นางสาบานโดยใช้อู๋จุนเป็นตัวประกันอีก

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะวิตกกังวลหรือเป็นเพราะโกรธเคืองกันแน่ ร่างกายของนางจึงสั่นเทาไปทั้งตัว

ทันใดนั้น นางก็ก้าวไปเบื้องหน้าซูจิ่นซีสองก้าว น้ำตาคลอเบ้าเอ่อล้นออกมา

“ซูจิ่นซี เจ้ามีหัวใจหรือไม่? เจ้ามีหัวใจหรือไม่? เจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่เป่าอวี้ชอบเจ้าเพียงใด? และข้ารักเขามากเพียงใด? เหตุใดเจ้าจึงได้ไร้หัวใจถึงเพียงนี้ ให้ข้าสาปแช่งเขา? ให้ข้าใช้ความรักของตนเองที่มีต่อเขา สาปแช่งเขา? ”

ซูจิ่นซีเงยหน้าขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง พลางปิดตาทั้งสองข้างลง

“ถังเสวี่ย ข้าขอโทษ! ”

ถังเสวี่ยตกตะลึงครู่หนึ่ง นางไม่คาดคิดเลยว่าซูจิ่นซี ผู้ไม่เคยรู้จักการอ่อนข้อให้ผู้อื่นเช่นเดียวกับเยี่ยโยวเหยา จะกล่าวคำขอโทษนางได้อย่างง่ายดายเช่นนี้

“ซูจิ่นซี เจ้าเป็นอันใดไปกันแน่? ในใจเจ้ามีเรื่องอันใดซ่อนไว้หรือ? ”

“แม่นางถัง เรื่องที่ข้ากับเจ้าคุยกันวันนี้ เจ้าได้โปรดอย่าเปิดเผยออกไปแม้แต่ครึ่งคำ ข้าขอโทษที่ไม่สามารถอธิบายให้เจ้าฟังไปมากกว่านี้ได้”

ถังเสวี่ยรู้ว่าเรื่องที่ซูจิ่นซียืนยันว่าไม่ต้องการพูด ตัวนางเองก็ไม่มีความสามารถที่จะถามสิ่งใดไปมากกว่านี้

นางจึงยกสองนิ้วขึ้น “ซูจิ่นซี ข้าขอสาบานว่าวันนี้ เรื่องที่ข้าและเจ้าคุยกัน ข้าจะไม่นำไปบอกผู้อื่นแม้แต่คำเดียว ไม่เช่นนั้น ขอให้ข้า ถังเสวี่ยโดนฟ้าผ่า ไม่ตายดี! ”

ซูจิ่นซีรู้ว่าถังเสวี่ยเป็นแม่นางที่มีคุณธรรมผู้หนึ่ง นางไม่ต้องการนำอู๋จุน คนที่ตนรักมาสาบาน เพราะฉะนั้น นางจึงสาบานกับตนเอง ทว่าในเมื่อนางให้สัญญาแล้วว่าจะไม่พูด เรื่องนี้จึงห้ามเปิดเผยออกไปแม้แต่ครึ่งคำ

“ขอบใจมาก! ” ซูจิ่นซีพูดเบาๆ สองคำและกำลังจะหันหลังเดินจากไป

ทันใดนั้น ถังเสวี่ยก็เอ่ยขึ้นมาอย่างเป็นกังวลว่า “ซูจิ่นซี เจ้าตั้งครรภ์จริงหรือ? ในเมื่อเจ้าตั้งครรภ์แล้ว เหตุใดเจ้าต้องปิดบังเรื่องตั้งครรภ์กับเขา? ”

เรื่องนี้ ซูจิ่นซีไม่รู้จะอธิบายให้ถังเสวี่ยฟังอย่างไร ท้ายที่สุด นางจึงไม่ได้พูดอันใดและหันหลังเดินออกไป

เรื่องตั้งครรภ์ใหญ่โตถึงเพียงนี้ เพราะเหตุใดนางถึงไม่ต้องการบอกเยี่ยโยวเหยา?

ผู้อื่นอาจไม่รู้ ทว่านางรู้ดีว่าเยี่ยโยวเหยาอยากมีลูกมาก

อย่างไรก็ตาม เด็กคนนี้มาผิดเวลาเกินไป ไม่ใช่ว่านางไม่อยากมีลูก ไม่ใช่ว่านางไม่อยากให้เขากำเนิดมาบนโลกใบนี้ ทว่านางไม่แน่ใจว่าตนเองมีกำลังที่จะให้กำเนิดเขาหรือไม่

เทพพยากรณ์เคยพูดว่า หากนางไม่ไปสำนักแพทย์เทียนอีก่อนวันเสี่ยวหาน นางอาจเสียชีวิต

แม้ภายหลังจะได้รับความช่วยเหลือจากท่านเทพโดยการยืดอายุขัยออกไปอีกหลายเดือน ทว่าเป็นเวลาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น และเวลาไม่กี่เดือนมันไม่พอสำหรับการตั้งครรภ์ถึงเก้าเดือน

ซูจิ่นซีกอดอกไว้แน่นและเดินออกมาจากโรงเตี๊ยม ทันใดนั้น แสงยามอาทิตย์อัสดงสีเหลืองทองก็ปกคลุมร่างของนาง

นี่คือแสงอาทิตย์อัสดงที่ส่องลงมาเหนือทะเลทรายจากระยะไกล มีความงดงามที่ต่างออกไป

นางเคยเห็นพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกมาแล้วหลายแห่ง มีคนผู้หนึ่งชมทิวทัศน์เป็นเพื่อนนาง ทว่าน่าเสียดายที่เรารักกันช้าไป ชีวิตคนเราช่างสั้นเหลือเกิน

นางหยุดเดินและค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองแสงอาทิตย์ ทันใดนั้น ในสมองก็ฉายภาพของแสงอาทิตย์ที่นางเคยเห็นในจวนโยวอ๋องแคว้นจงหนิง และภาพของคนผู้นั้นที่อยู่ข้างกายนาง

เยี่ยโยวเหยาที่ไม่รู้ว่าลงมาจากรถม้าตั้งแต่เมื่อใด เดินมาอยู่ข้างๆ นาง เขากระชับเสื้อคลุมตัวใหญ่บนร่างของนางเล็กน้อย

ซูจิ่นซีเงยหน้าแย้มยิ้มให้เยี่ยโยวเหยา

รอยยิ้มนั้นงดงามยิ่งกว่าแสงอาทิตย์สีเหลืองทองบนเส้นขอบฟ้าหลายส่วน

“เยี่ยโยวเหยา ท่านลงมาได้อย่างไร? จัดการจดหมายเรียบร้อยแล้วหรือ? ”

“ยังเลย! ”

ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย เยี่ยโยวเหยาจูงมือซูจิ่นซีเดินเข้าไปในรถม้า “ไม่มีเจ้าอยู่ข้างกาย ข้าไม่มีจิตใจทำอันใดทั้งนั้น”

หัวใจของซูจิ่นซีพลันร้อนผ่าว หัวใจดวงนี้ของนางแทบจะถูกคำพูดเช่นนี้ของเยี่ยโยวเหยาหลอมละลาย

ขณะที่ทั้งสองกำลังจะเดินถึงรถม้า ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็คว้ามือเยี่ยโยวเหยาให้หยุดเดิน ก่อนจะชี้ไปที่แสงอาทิตย์อัสดงบนทะเลทรายที่อยู่ห่างไกลออกไป “ท่านอ๋อง นานแล้วที่พวกเราไม่ได้ดูพระอาทิตย์ตกด้วยกัน ท่านอยู่เป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่? ”

“ตกลง! ”

เยี่ยโยวเหยารับปากซูจิ่นซีโดยไม่ลังเล แววตาที่มองซูจิ่นซีเต็มไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้งและรักใคร่เอ็นดู

ใบหน้าของซูจิ่นซีดูมีความสุข

ทั้งสองจูงมือกันและค่อยๆ เดินไปยังทิศทางของแสงอาทิตย์อัสดงในทะเลทราย