แน่นอนว่ากลางทะเลทรายนั้นอันตรายมากที่สุด พวกเขาไม่สามารถเข้าไปในทะเลทรายในเวลานี้
ซูจิ่นซีเพียงต้องการหาที่สงบเงียบอยู่กับเยี่ยโยวเหยาสองคนเพียงลำพังเท่านั้น
ดังนั้นทั้งสองคนจึงนั่งลงในสถานที่ที่ค่อนข้างห่างไกลจากโรงเตี๊ยม
ซูจิ่นซีซบศีรษะของตนเองลงบนไหล่ของเยี่ยโยวเหยา ชื่นชมแสงอาทิตย์อัสดงอย่างเงียบงัน
แม้ช่วงเวลาแสนอบอุ่นระหว่างพวกเขาจะมีมากมาย ทว่าดูเหมือนจะไม่เคยมีช่วงเวลาดั่งเช่นตอนนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาชมทิวทัศน์ที่เงียบสงบ
อู๋จุนที่เพิ่งขี่ม้ากลับมาเห็นภาพนี้จากระยะไกลพอดี เขาไม่ได้ละสายตาไปจากร่างของเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซี
เมื่อมาถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยม ถังเสวี่ยก็ออกมาต้อนรับ
“พี่เป่าอวี้ เจ้ากลับมาแล้วหรือ? ”
“ทางนั้น เขากำลังทำอันใด? ” อู๋จุนเชิดคางไปยังทิศทางที่ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาอยู่
ดวงตาดำขลับราวกับหยดน้ำของถังเสวี่ยเหลือบไปมอง “พี่เป่าอวี้ เจ้ามองไม่ออกหรือ? โยวอ๋องกับซูจิ่นซีกำลังชมพระอาทิตย์ตกดินกันอยู่!
หรือว่า… พวกเราไปดูด้วยกันดีหรือไม่?
พี่เป่าอวี้ เจ้าอยากไปดูที่ใด? ถังเสวี่ยจะไปดูเป็นเพื่อนเอง! ”
อู๋จุนพูดออกมาคำเดียว “น่าเบื่อ! ” หลังจากนั้นก็ส่งสายบังเหียนให้ถังเสวี่ย ก่อนจะผิวปากกระโดดขึ้นไปบนหลังคา
อู๋จุนยกสองขาไขว่ห้างแล้วใช้สองมือหนุนเอนนอนอยู่บนหลังคา พลางหรี่ตามองไปยังภาพสีแดงท่ามกลางทะเลทรายจากระยะไกล เพื่อมองแสงอาทิตย์อัสดงอันแสนงดงาม
มองอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน
“น่าเบื่อจริงๆ มันมีอันใดน่าดู! ”
ถังเสวี่ยไม่โกรธกับความเย็นชาเฉยเมยของอู๋จุน นางผูกม้าเสร็จเรียบร้อย ก็กระโดดขึ้นไปบนหลังคาและนั่งลงข้างกายอู๋จุน
นางนั่งลงเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอันใด
ความจริงแล้ว บางครั้งความเงียบก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุด
ไม่จำเป็นต้องร้องขอความเห็นจากอีกฝ่าย ไม่ต้องให้อีกฝ่ายยอมรับ ตราบใดที่อยู่เงียบๆ เป็นเพื่อนข้างกายคนผู้นั้น ก็ถือเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว
ตลอดหลายปีมานี้ นางติดตามอยู่ข้างกายพี่เป่าอวี้ เฝ้ามองทัศนียภาพของอาณาจักรเทียนเหอหลายแห่ง พระอาทิตย์ขึ้นและตก ทิวทัศน์ภูมิประเทศอันงดงาม วิมานหยกแสนสวย และฝูงชนพลุกพล่าน…
ทุกครั้งที่มองออกไปล้วนให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน
อันที่จริง ไม่สำคัญว่าจะเห็นสิ่งใด สิ่งสำคัญที่สุดคือคนที่ดูทิวทัศน์ด้วยกันคือผู้ใดต่างหาก
ตงหลิงหวงเพิ่งอ่านจดหมายที่ตงหลิงจวิ้นส่งมาจากเมืองหลวง แสงอาทิตย์อัสดงสีเหลืองทองอร่ามส่องเข้ามาในห้องของนาง ทำให้ภายในห้องสว่างจ้า
ช่างเป็นภาพที่สวยงามยิ่งนัก นางจึงอดเดินไปตรงหน้าต่างไม่ได้ ก่อนจะมองเห็นภาพซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยานั่งอิงแอบแนบชิดกันอยู่ไกลๆ นางมองเพียบแวบเดียว จากนั้นจึงปิดหน้าต่างลงและเดินไปชงชาที่โต๊ะ
ทว่าในอีกห้องหนึ่ง อวิ๋นจิ่นไม่ได้ใจกว้างและเฉยเมยเหมือนนาง เขายืนอยู่ข้างหน้าต่างด้วยแววตาที่จับจ้องอยู่บนร่างซูจิ่นซีโดยไม่อาจหันหนีได้
ราวกับว่ามีเพียงเวลานี้เท่านั้น มีเพียงเวลาที่ทุกคนมองไม่เห็น เขาถึงได้มีโอกาสมองซูจิ่นซีโดยปราศจากความละอายต่อบาป น่าเสียดายที่แม้จะเป็นเพียงมุมมองจากทางด้านหลัง ซึ่งโอกาสเช่นนี้ไม่ได้มีมากนักและเป็นเรื่องที่หาได้ยากอย่างยิ่ง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ความจริงแล้วพวกเขาก็เป็นเช่นนี้ ดีดกู่ฉิน เป่าขลุ่ยด้วยกันบนหอดูดาว ดูพระอาทิตย์ขึ้นและตกด้วยกันบนยอดหุบเขาเทียนอี
ทว่าช่วงเวลาเหล่านั้นกลายเป็นเรื่องราวของชาติปางก่อนไปแล้ว
เวลาผ่านไปนับพันปี ความทรงจำของเขาเลือนรางไปบ้าง หลายครั้งที่พยายามนึกขึ้นมาและพยายามขบคิด ทว่ากลับไม่สามารถรวบรวมให้เป็นชิ้นส่วนที่สมบูรณ์ได้
ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยานั่งอยู่จนแสงตะวันลับขอบฟ้า เมื่อท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวถึงได้ลุกขึ้นและเดินไปขึ้นรถม้า
ถังเสวี่ยและอู๋จุนยังคงอยู่บนหลังคา โดยที่การเคลื่อนไหวของทั้งคู่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
บ่อยครั้งที่ถังเสวี่ยเหลือบมองอู๋จุนด้วยหางตา จากนั้นจึงแย้มยิ้มมุมปากอย่างอ่อนหวานยิ่งกว่าน้ำผึ้ง
ท่าทางของอู๋จุนยังคงดูไร้หัวใจและอยากขับไล่ถังเสวี่ยอยู่หลายครั้ง ทว่าเด็กคนนี้เกาะติดหนึบราวกับตังเม ไล่เท่าไรก็ไม่ไป
อวิ๋นจิ่นยังคงยืนอยู่ข้างหน้าต่าง เฝ้ามองซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาเดินเข้าไปในรถม้าเงียบๆ มองดูสถานที่อันไร้ซึ่งเงาร่างของผู้คนที่ตนเองจ้องมองเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วยามอย่างเงียบงันเพียงลำพัง ลมหนาวพัดวูบหนึ่ง ปราศจากร่องรอย
หากหัวใจของมนุษย์ทำเช่นนี้ได้ก็คงจะดีไม่น้อย?
หลายสิ่งเปลี่ยนไปราวกับห่านที่บินผ่านไปโดยไร้เงา น้ำที่ผ่านไปโดยไร้ร่องรอย ไม่ทิ้งร่องรอยแม้แต่น้อย
หากเป็นเช่นนี้… หัวใจจะได้ไม่เจ็บปวด?
ดูเหมือนว่าอวิ๋นจิ่นจะกล้ำกลืนความเจ็บปวดที่หนักหน่วง เขาเงยศีรษะขึ้นเล็กน้อยและหลับตาทั้งสองข้าง หลังจากนั้นจึงพลิกมือ ขลุ่ยหนึ่งเลาจึงปรากฏบนฝ่ามือของเขา
เขาวางขลุ่ยที่ริมฝีปาก นิ้วที่วางอยู่บนขลุ่ยพลิ้วไหวดั่งมีชีวิต ทว่าเขากลับไม่ได้เป่าให้เสียงมันดังออกมา
ไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังคิดอันใดอยู่ รอยยิ้มที่มีความสุขถึงได้ปรากฏอยู่บนมุมปากของเขา รอยยิ้มนั้นยิ่งลึกซึ้งและสดใสขึ้นตามจังหวะที่นิ้วกระดกอยู่บนขลุ่ย
หลังจากที่ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยากลับขึ้นมาบนรถม้า พวกเขาก็รีบพักผ่อน ส่วนคนอื่นจะพักผ่อนเมื่อไรนั้นไม่อาจทราบได้
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อเส้นขอบฟ้าเริ่มปรากฏแสงแห่งรุ่งอรุณ อู๋จุนและถังเสวี่ยยังคงอยู่บนหลังคา ศีรษะของถังเสวี่ยหนุนอยู่บนเข่าของอู๋จุนและมีเสื้อคลุมสีแดงตัวใหญ่ของอู๋จุนคลุมอยู่บนร่าง
ทันทีที่ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมา สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาก็คือดวงตาโฉบเฉี่ยวน่ามองคู่นั้นของอู๋จุน
ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กน้อยจะไม่เคยได้ใกล้ชิดกับอู๋จุนเช่นนี้มาก่อน นางกระเด้งตัวขึ้นมาทันทีราวกับปลาโดนน้ำร้อน และรีบมองไปที่เสื้อผ้าของตนเอง
เมื่ออู๋จุนเห็นการกระทำของถังเสวี่ย เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เด็กน้อย เจ้ามองหาอันใด? ”
ถังเสวี่ยชี้ไปที่จมูกของอู๋จุน “เจ้า… เจ้า… เมื่อคืนเจ้าทำอันใดข้า? ”
อู๋จุนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ยกยิ้มมุมปากชั่วร้าย
“เจ้าว่าอย่างไร? เด็กน้อย เจ้าต้องรับผิดชอบข้า! ”
แก้มของถังเสวี่ยพลันแดงก่ำ ร่างกายของนางแข็งทื่อเล็กน้อย ทว่าฟื้นคืนสติกลับมาอย่างรวดเร็ว นางเม้มริมฝีปากพลางขยับเข้าไปใกล้อู๋จุนและเอ่ยเสียงเบาราวกับเสียงยุง
“พี่… พี่เป่าอวี้ เจ้าต้องการให้ถังเสวี่ยรับผิดชอบอย่างไรหรือ? ”
เมื่อเห็นถังเสวี่ยเป็นเช่นนี้ อู๋จุนก็ยิ่งนึกสนุกเข้าไปใหญ่ เขาจงใจฉวยโอกาสนี้กลั่นแกล้งนาง
“เจ้าว่าอย่างไร? ”
น้ำเสียงนั้นทุ้มต่ำและมีเสน่ห์เหลือร้าย เด็กน้อยใสซื่อบริสุทธิ์อย่างถังเสวี่ยจะต้านทานไหวได้อย่างไร
แก้มของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำทันที นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า “พี่เป่าอวี้ พวกเรา… พวกเรากราบไหว้ฟ้าดินแต่งงานกันแล้ว มิสู้… มิสู้ถังเสวี่ยขอมอบชีวิตและร่างกายนี้ให้ท่านเพียงคนเดียว! ”
มอบชีวิตและร่างกายนี้ให้ท่านเพียงคนเดียว?
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ดูเหมือนว่าอู๋จุนจะเคยพูดเช่นนี้กับซูจิ่นซี ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ ภาพนั้นจึงผุดขึ้นภายในจิตใจเวลานี้
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน สายตาแปลกประหลาดเล็กน้อยกวาดมองทั่วใบหน้าของถังเสวี่ย ก่อนจะผลักตัวนางออกไปทันที
“น่าเบื่อ ไม่เล่นแล้วๆ เตรียมตัวออกเดินทางได้แล้ว! ”
ถังเสวี่ยถูกผลักจนเกือบตกหลังคา โชคดีที่หยุดเท้าได้ทันจึงไม่หล่นลงไป นางมองแผ่นหลังของอู๋จุนที่เดินจากไปด้วยใบหน้างุนงง อารมณ์ในก้นบึ้งของหัวใจตีรวนกันเป็นอย่างยิ่ง นางทั้งอับอายและสับสน
“ถังเป่าอวี้ เจ้าคนประสาท เจ้าเป็นบ้าอันใดตั้งแต่เช้าตรู่! ”
ผ่านไปไม่นานนัก คนที่เหลือตื่นกันหมด
หลังจากซูจิ่นซีชำระร่างกายและแต่งตัวเสร็จแล้ว นางกำลังนั่งทานมื้อเช้า ทันใดนั้น องครักษ์ก็เข้ามารายงานว่ามีคนสองคนมาถึง
เป็นสองคนที่ซูจิ่นซีไม่คาดคิดเลยว่าจะปรากฏตัวที่นี่และในเวลานี้