ภายในรถม้าตอนนี้อากาศค่อนข้างเย็น ซูจิ่นซีผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว นางถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยเสียงเปิดประตูรถม้าของเยี่ยโยวเหยา
“ท่านอ๋อง! ” เสียงองครักษ์ดังขึ้นด้านนอก
ซูจิ่นซีลืมตาขึ้นมา แสงที่ส่องเข้ามาในรถม้าทำให้นางลืมตาไม่ได้ นางใช้มือบังไว้แล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา เมื่อมองออกไปด้านนอกก็พบว่าท้องฟ้าสว่างแล้ว
แสงอาทิตย์หลังจากลมทะเลทรายราวกับฟ้าหลังฝน แจ่มใสและเป็นธรรมชาติ อากาศแห้งมีกลิ่นดินทรายพัดโชยมา
ซูจิ่นซีไปที่ประตูรถม้า นางยังไม่ได้ลงจากรถม้าก็ได้ยินเสียงตกใจเล็กน้อยของเยี่ยโยวเหยา
“คนที่เหลืออยู่ที่ใด? ”
องครักษ์ดูเหมือนจะตกตะลึงและไม่ได้ส่งเสียงอยู่ครู่หนึ่ง
ซูจิ่นซีหัวใจเต้นรัวและรีบลงจากรถม้า พลางมองสำรวจสถานการณ์โดยรอบโดยที่เท้ายังไม่ทันได้แตะพื้นทรายจนเกือบจะสะดุดล้ม แม่นมฮวาและลวี่หลีที่ไม่รู้โผล่มาจากที่ใด ร่างกายเต็มไปด้วยทราย พวกนางรีบเข้าไปพยุงซูจิ่นซี
เสียงของซูจิ่นซีสั่นเทาเล็กน้อยโดยที่นางก็ไม่รู้ตัว
“อวิ๋นจิ่นเล่า? อู๋จุนกับถังเสวี่ยเล่า? ”
แม่นมฮวามีท่าทีตกใจเล็กน้อย ก่อนจะมองไปรอบๆ
“ไม่ทราบเพคะ! พระชายา เมื่อคืน เดิมทีอูฐของเจ้าหุบเขาอู๋และแม่นางถังเสวี่ยอยู่ด้านข้างบ่าว ทว่าหลังจากลมทะเลทรายที่รุนแรง บ่าวและลวี่หลีจึงไปหลบอยู่ข้างๆ รถม้าของท่านและท่านอ๋อง เมื่อครู่ได้ยินเสียงพระชายากับท่านอ๋องจึงเพิ่งตื่นเพคะ”
เมื่อคืน นางและเยี่ยโยวเหยาออกมาด้านนอกรถม้าครั้งหนึ่ง จึงจดจำตำแหน่งที่อูฐของพวกเขาสามคนอยู่ได้คร่าวๆ ซูจิ่นซีจึงรีบไปยังทิศทางที่อูฐของพวกเขาสามคนอยู่ก่อนหน้านี้และพบว่าไม่มีสิ่งใดอยู่บนพื้นดิน เมื่อมองไปรอบบริเวณก็ไม่พบแม้แต่เงาคน
ลวี่หลีน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย “หรือว่า… หรือว่าโดนทรายฝังไปแล้วเจ้าคะ? ”
“ยังไม่รีบไปขุดหาคนอีก! ” เยี่ยโยวเหยาสั่งการด้วยน้ำเสียงเย็นชา
องครักษ์ด้านข้างจึงรีบไปหาสิ่งของมาขุด
ทว่าก้นบึ้งหัวใจของซูจิ่นซีกลับเย็นลงเรื่อยๆ แม้นางไม่เคยมาทะเลทราย ทว่าก็พอมีความรู้ทั่วไปอยู่บ้าง
หากคนถูกฝังอยู่ใต้ทะเลทรายจะยังอยู่รอดได้อย่างไร?
ดังนั้น ยิ่งองครักษ์ที่อยู่ตรงหน้านางขุดหลุมกว้างเท่าไร นางก็ยิ่งไม่กล้ามอง หัวใจยิ่งกระตุกอย่างรุนแรง
สุดท้ายจึงไม่กล้ามองและหันหลังเดินจากไป
ตงหลิงหวงที่ร่างกายเต็มไปด้วยทรายเช่นกัน เดินมาอยู่ด้านข้างซูจิ่นซี
“วางใจได้ พวกเขาสามคนจะต้องไม่เป็นอันใด! ”
หวังว่าจะเป็นดั่งที่ตงหลิงหวงพูด ซูจิ่นซียังคงไม่พูดอันใด
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ เสียงขององครักษ์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ท่านอ๋อง ลึกเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ นอกจากนั้น สถานที่กว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ พวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนถูกฝังที่ใด ไม่อาจขุดต่อไปเช่นนี้ได้พ่ะย่ะค่ะ! ”
“ขุดต่อไป! ” เยี่ยโยวเหยากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา ไม่อนุญาตให้ผู้ใดปฏิเสธ
แม่นมฮวาเป็นห่วงซูจิ่นซีเล็กน้อย นางจึงเดินมาอยู่ด้านข้างซูจิ่นซี พลางพูดปลอบเสียงเบา
“พระชายา พระองค์ระวังพระวรกายด้วยเพคะ”
หัวใจของซูจิ่นซียังคงสั่นระรัวไม่หยุด มือของนางที่ค้ำรถม้าไว้ซีดลงเล็กน้อย
เยี่ยโยวเหยาเดินมายังข้างกายซูจิ่นซี และโอบไหล่นางเข้าสู่อ้อมแขน
“วางใจได้ มีข้าอยู่ พวกเขาจะต้องกลับมาอย่างปลอดภัย”
ซูจิ่นซีรู้ว่าพูดอันใดในตอนนี้ก็ไร้ประโยชน์ ไม่รู้เลยพวกเขาสามคนจะยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์
ซูจิ่นซีหลับตาลงอย่างอ่อนแรง ราวกับกำลังอดทนต่อสู้กับความเจ็บปวดบางอย่าง เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งจึงลืมตาขึ้น
“เยี่ยโยวเหยา ท่านว่าพวกเราไม่ควรมาที่ทะเลทรายหรือไม่? ไม่ควรขึ้นเหนือเพื่อตามหาแคว้นเป่ยอี้หรือไม่? ไม่ควรตามหาอมฤตทั้งห้าใช่หรือไม่? ”
เยี่ยโยวเหยากอดซูจิ่นซีแน่น ปลายคางถูไถเส้นผมบนศีรษะของนางไม่หยุดด้วยความรัก
“ยิ่งไม่ควรมากเท่าไร ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้า ซูจิ่นซี เจ้าอย่าได้โทษตนเอง มันไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้า”
“ทว่า… ”
ซูจิ่นซียังพูดไม่ทันจบ ทันใดนั้น นิ้วเรียวยาวทรงพลังของเยี่ยโยวเหยาก็กดริมฝีปากของนางเอาไว้ให้หยุดพูด และส่ายศีรษะด้วยสายตาแน่วแน่
“ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าโทษตนเอง! ”
ซูจิ่นซีจึงไม่พูดอันใดอีก
ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน นางก็ราวกับคิดบางอย่างออก ดวงตาของนางพลันทอประกาย สายตาเป็นกังวลลดลงไม่น้อย
นางเรียกสัตว์เทพกิเลนและจิ้งจอกเก้าสีออกมาจากอาคมกำไลปี่อั้น
เมื่อครู่นางเอาแต่เป็นกังวลจนลืมเจ้าเก้าสีและกิเลนไปได้อย่างไร?
พวกมันต่างก็เป็นสัตว์เทพแห่งพลังจิต โดยเฉพาะเจ้าจิ้งจอกเก้าสีที่คุ้นเคยกับกลิ่นของอวิ๋นจิ่นมากที่สุด ให้พวกมันตามหาอวิ๋นจิ่น อู๋จุน และถังเสวี่ย ดีกว่าให้พวกเขาขุดหาอยู่ที่นี่
ซูจิ่นซีวางจิ้งจอกเก้าสีและสัตว์เทพกิเลนลงบนพื้น พลางหยิบสมุนไพรอย่างดีให้พวกมันสองชิ้น
“เก้าสี เจ้าไปหาอวิ๋นจิ่น ส่วนกิเลน เจ้าไปหาอู๋จุนกับถังเสวี่ย จำไว้ว่าต่อให้หาเจอหรือไม่เจอ จะต้องกลับมาก่อนฟ้ามืด”
“จี๊ด จี๊ด จี๊ด… ”
“โฮก โฮก โฮก… ”
เก้าสีและกิเลนส่งเสียงร้องราวกับรับปากซูจิ่นซี หลังจากนั้นก็วิ่งแยกกันไปคนละทาง
เก้าสีวิ่งไม่หยุด ร่างหายวับไปกับตา
กิเลนหมุนตัวสองครั้งบริเวณที่องครักษ์ขุดทรายไว้เพื่อค้นหาก่อนหน้านี้ มันดมซ้ายทีขวาทีและวิ่งหายไปโดยไร้เงา
เยี่ยโยวเหยาโอบไหล่ของซูจิ่นซีเอาไว้ “วางใจ พวกเขาจะต้องไม่เป็นอันใด ในเมื่อเก้าสีและกิเลนไปหาที่อื่น หมายความว่าพวกเขาไม่ได้ถูกฝังอยู่ที่นี่ ไม่ได้ถูกทรายฝังแสดงว่ายังมีความหวัง”
ซูจิ่นซีเม้มฝีปากพลางพยักหน้า
เยี่ยโยวเหยาปัดทรายบนร่างของซูจิ่นซี “เข้าไปรอในรถม้าเถิด! หากมีข่าวของพวกเขา ข้าจะบอกเจ้าทันที! ”
“เพคะ! ” ซูจิ่นซีพยักหน้า เยี่ยโยวเหยาจึงพยุงซูจิ่นซีเข้าไปในรถม้า
จากนั้น เยี่ยโยวเหยาและตงหลิงหวงก็แยกกันพาคนไปตามหาอวิ๋นจิ่น อู๋จุน และถังเสวี่ย
แม่นมฮวาเอ่ยถาม “พระชายา พระองค์ต้องการเสวยสิ่งใดหรือไม่? บ่าวจะไปเตรียมให้เพคะ”
ซูจิ่นซีทานอันใดไม่ลงจริงๆ ทว่าในท้องมีเด็กหนึ่งคน หากนางไม่ทานก็จะทำให้เด็กหิว!
“อันใดก็ได้! ”
“เพคะ! บ่าวจะไปทำมาให้”
ลวี่หลีที่ยืนอยู่ข้างรถม้า นางเห็นซูจิ่นซียืนพิงรถม้าและเอานิ้วมือคลึงหน้าผากไม่หยุด “คุณหนูปวดศีรษะอีกแล้วหรือเจ้าคะ? ให้บ่าวคลึงให้หรือไม่? ”
เยี่ยโยวเหยาไม่ได้ส่งเสียงออกมาแสดงว่าเห็นด้วย
ลวี่หลีจึงกระโดดขึ้นไปบนรถม้าและคลึงขมับให้ซูจิ่นซี
ทว่าคลึงได้ไม่นาน ซูจิ่นซีก็ผล็อยหลับไปอีกครั้ง
แท้จริงแล้ว นางไม่ได้อยากนอน ทว่าไม่กี่วันมานี้นางเหนื่อยง่ายมาก มักจะรู้สึกอยากนอนและดูเหมือนจะงีบหลับมากเป็นพิเศษ
แม้กระทั่งในความฝัน นางเป็นก็ยังเป็นห่วงอวิ๋นจิ่น อู๋จุน และถังเสวี่ยอยู่ตลอดเวลา
ลวี่หลีฟังซูจิ่นซีที่กำลังนอนละเมอเรียกชื่ออวิ๋นจิ่น อู๋จุนและถังเสวี่ยไม่หยุด จึงไม่กล้าลงน้ำหนักมือนวดให้ซูจิ่นซีแรงนัก เพราะกลัวว่าจะปลุกซูจิ่นซีโดยไม่ได้ตั้งใจ
คุณหนูช่างน่าสงสารจริงๆ
นางมีเรื่องให้กังวลมากอยู่แล้ว ไม่คิดว่าต้องมาเจอกับเรื่องที่หมอหลวงอวิ๋นและคนอื่นๆ หายตัวไปอีก จะนอนก็นอนหลับไม่สนิท
หมอหลวงอวิ๋น เจ้าหุบเขาอู๋ คุณหนูถังเสวี่ย พวกท่านอยู่ที่ใดกันแน่?