บทที่ 1905 ขโมยมาทั้งหมดเลยเหรอ?
“ช่วยไปส่งจดหมายถึงนายแห่งอาชูร่าให้ฉันหน่อย” หลังลงจากรถ เยี่ยหวันหวั่นก็หันไปสั่งเป่ยโต่วที่อยู่ข้างๆ
ชีซิงขมวดคิ้วแน่นเมื่อได้ยิน นี่เพิ่งจะได้หยุดพัก ผู้นำคิดจะทำอะไรอีก?
เป่ยโต่วกะพริบตาปริบๆ “อ๋า? พี่เฟิง นี่พี่จะส่งจดหมายรักให้นายแห่งอาชูร่าอีกแล้วเหรอ?”
“จดหมายรักบ้านป้าแกสิ ส่งจดหมายไปบอกเขาว่า ฉันอยากได้แหวนวงนั้น เงื่อนไขแล้วแต่เขาจะเสนอ” เยี่ยหวันหวั่นออกคำสั่ง
เป่ยโต่วบ่นพึมพำ “เฮ้อ ผมว่าพี่ตัดใจซะเถอะนะ ขนาดคุณชายเสิ่นขอซื้อสามร้อยล้านนายแห่งอาชูร่ายังไม่ขายให้เลย…”
เยี่ยหวันหวั่นจ้องเป่ยโต่วเขม็ง “ฉันสั่งให้ไปก็ไปสิ!”
“อ้อ…” เป่ยโต่วกล่าวราวกับว่าตัวเองได้ค้นพบความจริง แท้จริงแล้วคะแนนเกียรติยศเป็นเพียงเรื่องบังหน้า หญิงสาวต้องการแค่แหวนของจี้หวงเท่านั้นใช่ไหม?
……
หลังจากกลับมายังพันธมิตรอู๋เว่ย เยี่ยหวันหวั่นขอให้เป่ยโต่วไปที่หอสมุด เพื่อค้นหาบันทึกในอดีตของรัฐอิสระ
เมื่อรู้ว่าเดธโรสมีตัวตนอยู่จริง เยี่ยหวันหวั่นก็เริ่มที่จะสนใจขึ้นมา
ในความคิดของเยี่ยหวันหวั่นตอนนี้ พันธมิตรอู๋เว่ยในรัฐอิสระ ก็อยู่ในกองกำลังระดับ TI แล้ว และถือว่าอยู่ในอันดับต้นๆ แม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับกองกำลังของจี้หวง หรือกองกำลังของนายแห่งอาชูร่า แต่ก็ไม่นับว่าห่างชั้นกันมากนัก
นอกจากกองกำลังที่แข็งแกร่งหาใดเปรียบแล้ว ยังมีตระกูลเก่าแก่ของรัฐอิสระ รวมไปถึงผู้พิทักษ์ความยุติธรรมของรัฐอิสระ และกลุ่มสหพันธ์วิทยายุทธ์…
กองกำลังเหล่านี้ประกอบด้วยตระกูลเนี่ย ตระกูลจี้ และตระกูลหลิง สามตระกูลใหญ่ของรัฐอิสระ ถ้าเลือกแค่หนึ่งตระกูล แล้วบอกว่าสู้เดธโรสไม่ได้ เยี่ยหวันหวั่นก็เชื่อ ส่วนบ้านนอกเข้ากรุงอย่างตระกูลเสิ่น แน่นอนว่าไม่ถือว่าเป็นกองกำลังต่อสู้ด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม เดธโรสเคยเป็นฝันร้ายของทั้งรัฐอิสระ แม้ว่าหลังจากล่มสลายไป…ก็ยังคงเป็นข้อห้ามในรัฐอิสระ
เรื่องนี้ยิ่งทำให้เยี่ยหวันหวั่นไม่เข้าใจ ว่าเดธโรสเคยแข็งแกร่งเพียงใด และแข็งแกร่งถึงระดับไหน จนถึงขั้นที่ทำให้ทั้งรัฐอิสระหวาดกลัวเป็นอย่างมาก…
“พี่เฟิง นี่พี่จริงจังเหรอ?” ตอนนี้เป่ยโต่วเอ่ยถามเยี่ยหวันหวั่น ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสับสน
เมื่อได้ยินเป่ยโต่วถามดังนั้น เยี่ยหวันหวั่นก็เหลือบตามอง “เพ้อเจ้อ ฉันให้แกไปยืมหนังสือ ยังจะมาถามว่าอะไรจริงจัง ไม่จริงจังอีก”
“นี่…” เป่ยโต่วเกาหัว “พี่เฟิง พวกเราไม่ได้อ่านหนังสือกันนี่นา ถึงพันธมิตรอู๋เว่ยของเราจะมีห้องสมุดขนาดใหญ่…แต่ข้างในก็มีแต่เครื่องประดับที่เราขโมยมาไม่ใช่เหรอ…จะมีของราคาถูกอย่างหนังสือได้ยังไงกันเล่า…”
“เป่ยโต่ว แกจะพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก หนังสือเป็นบันไดสู่ความก้าวหน้าของมนุษย์ โดยเฉพาะหนังสือโบราณ ซึ่งเป็นความรู้และประสบการณ์ยิ่งใหญ่ที่สุดที่บรรพบุรุษได้ทิ้งไว้ จะมาพูดว่าหนังสือราคาถูกได้ยังไง หนังสือดีๆ หนึ่งเล่มมีค่ายิ่งกว่าทองอีกนะ…” เยี่ยหวันหวั่นจ้องเป่ยโต่ว ราวกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งกำลังสั่งสอนเด็ก
เป่ยโต่วจ้องเยี่ยหวันหวั่นเขม็งด้วยสีหน้าประหลาดใจ เหมือนอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงพยักหน้า “อ๋อ…”
“ดี งั้นตอนนี้พาฉันไปหอสมุด ไปดูแก้วแหวนเงินทองที่เราขโมยมาสักหน่อย” เยี่ยหวันหวั่นจ้องเป่ยโต่วด้วยสีหน้าจริงจัง
เป่ยโต่วพูดไม่ออก
ไม่นาน เยี่ยหวันหวั่นกับเป่ยโต่วก็มาถึงหอสมุดของพันธมิตรอู๋เว่ย นอกจากนี้ยังมีผู้พิทักษ์ชั้นยอดของพันธมิตรอู๋เว่ยเฝ้าประตูอยู่
“ผู้นำ!”
เมื่อเห็นเยี่ยหวันหวั่น กลุ่มผู้พิทักษ์ชั้นยอดของพันธมิตรอู๋เว่ยหลายคน ต่างก็มีสีหน้าประหลาดใจ เพราะแต่ไหนแต่ไรผู้นำไม่เคยมาที่หอสมุดเลย
“จะยืนบื้อกันอีกนานไหม รีบๆ เปิดประตูสิ…” เยี่ยหวันหวั่นถูมือตัวเองและกล่าวอย่างรีบร้อน
ภายใต้คำสั่งของเยี่ยหวันหวั่น หนึ่งในสมาชิกของพันธมิตรอู๋เว่ยคนหนึ่งก็รีบเปิดระตูใหญ่ของหอสมุดทันที
ในหอสมุดขนาดใหญ่ มีแสงประกายสีทองระยิบระยับ เพชรที่ถูกโยนลงบนพื้นก็ส่องประกายเจิดจ้า
เยี่ยหวันหวั่นและเป่ยโต่วเดินเข้าไปในหอสมุด ทันใดนั้นทั้งสองก็อุทานขึ้นพร้อมกัน
“ทั้งหมดนี้เป็นของฉันคนเดียว…” เยี่ยหวันหวั่นกล่าว
“แม่เจ้าโว้ย วิบวับสุดๆ…” เป่ยโต่วถึงกับอุทาน
นอกจากทองคำและเพชรเล็กๆ น้อยๆ แล้ว ยังมีเครื่องประดับที่หายากเป็นจำนวนมาก แม้กระทั่งภาพวาดพู่กันและภาพวาดสุดคลาสสิค รวมไปถึงสมบัติหายากนานาชนิด ก็มีอยู่ทั้งหมด
ในขณะนี้ ดวงตาของเยี่ยหวันหวั่นกำลังเปล่งแสงวิบวับ พระเจ้า นี่มันเกินจริงสุดๆ!
“ของพวกนี้เป็นของที่พวกเราขโมยมาทั้งหมดเลยเหรอ?” จู่ๆ เยี่ยหวันหวั่นก็เอ่ยถามเป่ยโต่ว
เมื่อได้ยินดังนั้น เป่ยโต่วก็พยักหน้าเหมือนไก่ที่กำลังจิกเมล็ดข้าว “ใช่แล้วพี่เฟิง ส่วนใหญ่จะเป็นของที่เราปล้นมานั่นแหละ พันธมิตรอู๋เว่ยของพวกเราหลังจากปล้นของมา ส่วนใหญ่ก็จะนำไปขายต่อ แต่จะมีของบางชิ้นที่พี่เฟิงชอบ พี่ก็เอามาโยนเก็บไว้ในหอสมุดนี้…”
——————————————–
บทที่ 1906 รวยขนาดนี้จริงๆ เหรอ?
“ให้ตายสิ…”
ใบหน้าของเยี่ยหวันหวั่นเต็มไปด้วยความพึงพอใจ เรื่องไร้มโนธรรมที่พันธมิตรอู๋เว่ยเคยทำมา… คือการปล้นสมบัติทรัพย์สินเงินทองมาอย่างมหาศาล…
“เอาละ นายออกไปได้แล้ว” เยี่ยหวันหวั่นมองเป่ยโต่วแล้วโบกไม้โบกมือไล่
เมื่อได้ยินดังนั้น เป่ยโต่วก็ออกมาจากหอสมุดด้วยสีหน้าที่ไม่เต็มใจนัก
เมื่อมองไปยังหอสมุดที่เต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติและเงินทอง เยี่ยหวันหวั่นก็ตระหนักได้เป็นครั้งแรกว่า เธอรวยมากขนาดนี้จริงๆ เหรอ…
ในตอนนี้ เยี่ยหวันหวั่นก็จัดการกับอัญมณีเหล่านี้ด้วยตัวเอง เนื่องจากมีสมบัติมากมาย เธออาจจะขายไปบางส่วน เพื่อที่เธอจะสามารถจ่ายเงินให้กับทหารรับจ้างระดับสูงที่โรงเรียนชื่อเยี่ยนได้ พวกเขาจะได้ทำงานให้กับเธอต่อไป จากนั้นก็ฟื้นฟูความทรงจำ เรื่องทั้งหมดนี้ต้องพึ่งของมีค่าพวกนี้แล้ว…
อย่างไรก็ตาม เยี่ยหวันหวั่นจัดแจงของมีค่าอยู่นาน แต่กลับพบว่าตัวเองชอบมากทุกชิ้น และไม่อยากขายเลยแม้แต่ชิ้นเดียว…
อีกอย่าง ของพวกนี้เป็นของที่ขโมยมา จึงแทบจะจัดการอะไรไม่ได้
ในขณะนั้น สายตาของเยี่ยหวันหวั่น ก็จับจ้องไปยังตู้ที่เธอจัดแยกของไว้เรียบร้อยแล้ว ในนั้นมีแหวงหนึ่งวงนอนอยู่นิ่งๆ
ไม่ใช่เพราะแหวนทำจากวัสดุราคาแพง เยี่ยหวันหวั่นไม่รู้จักงานฝีมือและวัสดุที่ใช้ทำแหวนด้วยซ้ำ เพียงรู้สึกว่าแหวนวงนี้ดูคุ้นตา เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
เยี่ยหวันหวั่นจึงรีบเดินไปข้างตู้ทันที จากนั้นก็เขย่งปลายเท้าแล้วเอื้อมหยิบแหวนลงมาอย่างง่ายดาย
แหวนวงนี้ค่อนข้างดูเก่าแก่ เป็นสีด้าน ด้านหลังของแหวนมีรูปของพืชที่ไม่รู้จักสลักเอาไว้
“เอ๊ะ…”
เยี่ยหวันหวั่นขมวดคิ้วเล็กน้อย ยิ่งจ้องมองแหวนในมือมากเท่าไร ก็ยิ่งพบว่ารู้สึกคุ้นเคยกับแหวนวงนี้มากเท่านั้น
ไม่นานนัก ใบหน้าของเยี่ยหวันหวั่นก็เปลี่ยนไป แหวนวงนี้ คือแหวนวงที่ซือเยี่ยหานเคยมอบไว้ตัวเองไม่ใช่เหรอ ตอนที่อยู่ในประเทศจีน แหวนวงนี้ก็เคยถูกผู้มีฝีมือดักปล้น…ทำไมตอนนี้ถึงมาอยู่ในหอสมุด แหวนมันมีขางอกออกมาได้เหรอไง?!
เยี่ยหวันหวั่นยกมือขวาขึ้นมามองนิ้วมือตามจิตใต้สำนึก
เยี่ยหวันหวั่นพูดไม่ออก
แหวนที่ซือเยี่ยหานมอบให้ยังคงสวมอยู่บนนิ้วมือ และเธอไม่ได้ทำหายด้วย
“เป็นไปได้ยังไง…” เยี่ยหวันหวั่นขมวดคิ้วแน่น พร้อมความสงสัยที่ปรากฏเต็มใบหน้า จะมีแหวนสองวงได้ยังไง?!
“เป่ยโต่ว”
เยี่ยหวันหวั่นตะโกนเรียก
“มาแล้วๆ พี่เฟิงพี่เรียกผมเหรอ?!” เมื่อสิ้นเสียงของเยี่ยหวันหวั่น ประตูใหญ่ของหอสมุดก็เปิดออกทันที เป่ยโต่วรีบพุ่งเข้ามาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง เผื่อว่าเยี่ยหวันหวั่นจะมอบของมีค่าให้เขาสักสองสามอย่าง
“ฉันขอถามนายหน่อยสิ ของทั้งตู้นี้ใครเป็นคนขโมยมาเหรอ?” เยี่ยหวันหวั่นมองหน้าเป่ยโต่วแล้วเอ่ยถาม
เมื่อฟังเยี่ยหวันหวั่นพูดจบ เป่ยโต่วรีบก้าวขึ้นมาข้างหน้า มองดูอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว “ไม่รู้เหมือนกันครับพี่…ของที่อยู่ที่นี่…ก็เป็นของที่พี่กับผู้อาวุโสใหญ่เป็นคนขโมยมาเมื่อไม่กี่ปีก่อนไง…”
“แกพูดอะไรของแก” เยี่ยหวันหวั่นจ้องเป่ยโต่วเขม็ง ขโมยบ้าบออะไร…นั่นเขาเรียกว่าทำงานต่างหาก
“ไปตามผู้อาวุโสใหญ่มา” เยี่ยหวันหวั่นออกคำสั่ง
“ได้เลยครับ…” เมื่อเป่ยโต่วได้รับคำสั่งจากเยี่ยหวันหวั่น ก็รีบพุ่งตัวออกไปทันที
ผ่านไปราวสิบห้านาที เป่ยโต่วก็พาผู้อาวุโสใหญ่มายังหอสมุด
“พี่เฟิง ผมพาผู้อาวุโสใหญ่มาแล้ว” เป่ยโต่วเอ่ยกับเยี่ยหวันหวั่นด้วยรอยยิ้ม
“ผู้นำ รีบตามหาผม มีธุระอะไรเหรอครับ?” ผู้อาวุโสใหญ่จ้องมองเยี่ยหวันหวั่น ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม
“ผู้อาวุโสใหญ่ ฉันจำไม่ค่อยได้แล้วว่าของที่อยู่ในตู้นี้ เราสองคนได้มันมาจากไหน?” เยี่ยหวันหวั่นหันไปมองผู้อาวุโสใหญ่พลางถาม
……………………………………………………………