เล่มที่ 31 เล่มที่ 31 ตอนที่ 911 พระชายา ทรงมีวิธีหรือไม่

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ทุกคนต่างตกตะลึงสุดขีด มีบางคนตกใจจนอ้าปากค้าง

เรื่องที่ซูจิ่นซีฝึกวรยุทธ์ มีแม่นมฮวาและลวี่หลีเท่านั้นที่ล่วงรู้ ทว่าองครักษ์เหล่านั้นไม่รู้!

องครักษ์เหล่านี้เพิ่งเข้ามาอยู่ในวิหารวิญญาณก่อนหน้าที่ซูจิ่นซีจะมาถึง

ในความทรงจำของพวกเขา นอกจากวิชาพิษแล้ว ซูจิ่นซีก็ไม่มีความสามารถอันใดเลย ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ไม่ว่าจะไปที่ใดต้องมีคนปกป้อง แม้พวกเขาจะเคารพและชื่นชมซูจิ่นซีมากในหลายๆ ด้าน ทว่าเนื่องจากนางไม่มีวรยุทธ์ พวกเขาจึงรู้สึกว่าเวลาซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาอยู่ด้วยกันเหมือนมีบางอย่างขาดหายไป และคิดเสมอว่าไม่ว่าซูจิ่นซีจะเก่งเพียงใด ความเป็นจริงก็ไม่คู่ควรกับเยี่ยโยวเหยาเลยสักนิด

ทว่าพวกเขาไม่มีทางคาดคิดได้เลยว่าซูจิ่นซีจะมีวรยุทธ์ ทั้งยังมีวรยุทธ์ขั้นสูงเช่นนี้อีกด้วย

หากซูจิ่นซีสามารถใช้วิชาตัวเบาได้เช่นนี้ วรยุทธ์ของนางต้องสูสีกับท่านอ๋องอย่างแน่นอน

พระชายาฝึกวรยุทธ์ตั้งแต่เมื่อไร?

วรยุทธ์ของนางสูงส่งได้อย่างไร?

ผู้ใดเป็นคนสอน?

ใช่ท่านอ๋องหรือไม่?

หลังจากแม่นมฮวาและลวี่หลีได้เห็นซูจิ่นซีใช้วิชาตัวเบากับวรยุทธ์แล้ว จึงเผยรอยยิ้มภาคภูมิใจบนใบหน้า และเมื่อเห็นปฏิกิริยาของทุกคน การแสดงออกบนใบหน้าก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น

แม่นมฮวากระซิบเสียงเบา “ตกตะลึงไปเลยสิพวกเจ้า! ต่อไปพวกเจ้าคงไม่กล้าพูดว่าพระชายาไม่เก่งอีก! ”

ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน ซูจิ่นซียังคงเหาะอยู่เหนือแมงป่องพิษเหล่านั้นโดยไม่หยุดพัก นางเหาะไปไกลมากภายในครั้งเดียว ในมือโปรยยาสมุนไพรหลากสีอย่างต่อเนื่อง

จุดที่ผงยาร่วงลงไป ไม่ว่าจะเป็นแมงป่องพิษที่สลบไปแล้วหรือแมงป่องพิษที่กำลังเข่นฆ่ากันเองอยู่ พวกมันล้วนชักกระตุกและหงายท้องนอนแน่นิ่งไม่ขยับ

ในเวลาเพียงกาน้ำชาเดือด ซูจิ่นซีเหาะกลับเข้าไปในรถม้าและสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ผืนเดิมบนร่างตนเองอีกครั้ง

อาการตกใจของทุกคนยังคงไม่จางหาย แววตาของทุกคนขยับไปมาตามร่างของซูจิ่นซี และในเวลานี้ก็ยังไม่ละสายตาไปจากร่างของซูจิ่นซี

“รีบหยิกข้า หยิกข้า! เมื่อครู่ข้าดูไม่ผิดใช่หรือไม่? พระชายาไม่ได้หยุดพักเลยในเวลาเพียงกาน้ำชาเดือดเท่านั้น! ”

“ใช่! ข้าก็เห็นแล้ว! ”

“วิชาตัวเบาช่างร้ายกาจ! ”

“นอกจากท่านอ๋องแล้ว ดูเหมือนว่ายังไม่มีผู้ใดทำเช่นนี้ได้ใช่หรือไม่? ”

“คนอื่นเป็นอย่างไรข้าไม่รู้ ทว่าข้าฝึกวรยุทธ์มายี่สิบกว่าปี ข้าก็ยังทำไม่ได้เลย! ”

“ทว่าพระชายาเป็นเพียงสตรีนางหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีอายุเพียงสิบกว่าปี! ”

“เป็นสตรีแล้วอย่างไร? ความสามารถไม่แบ่งแยกชายหญิง! ”

“ใช่ ยิ่งไม่แบ่งอายุอีกด้วย! ”

“ว้าว ทำอย่างไรดี? ข้ากลายเป็นแฟนคลับของพระชายาแล้ว ข้าอยากเป็นแฟนคลับของพระชายา! ”

“ข้าก็อยากเปลี่ยนเป็นแฟนคลับของพระชายา! ”

“พระชายาเท่มาก! ”

“เท่มาก! ”

“มีเสน่ห์มาก! ”

“ให้ตาย เก็บน้ำลายเจ้า ไม่อยากมีชีวิตแล้วหรือ? หากท่านอ๋องเห็น ระวังศีรษะของพวกเจ้าให้ดี! ”

อาคมกำไลปี่อั้นของซูจิ่นซีเปิดอยู่ตลอด ดังนั้นนางจึงได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของฝูงชน ทว่าใบหน้าของนางไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ สีหน้ายังคงจริงจังอย่างมาก

เพราะนางรู้ว่าเรื่องในคืนนี้คงไม่ง่ายดายอย่างแน่นอน แม้จะจัดการแมงป่องพิษเหล่านั้นแล้ว ไม่แน่ว่าสิ่งที่มีอันตรายยิ่งกว่านี้ยังมาไม่ถึง

แม่นมฮวาและลวี่หลีมองซูจิ่นซีด้วยสีหน้าเทิดทูน ทว่าพวกนางอยู่รับใช้ข้างกายซูจิ่นซีเป็นเวลานานจึงเข้าใจอารมณ์ของซูจิ่นซีเป็นอย่างดี เมื่อเห็นซูจิ่นซียังคงมีสีหน้าจริงจัง พวกนางจึงค่อยๆ ปรับสีหน้าให้เป็นปกติและขยับเข้าไปใกล้ซูจิ่นซีเล็กน้อย คอยรับใช้นางอย่างระมัดระวัง

เป็นจริงดั่งคาด ไม่นานนัก สีหน้าของซูจิ่นซีก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง

ซูจิ่นซีหรี่ตาลงเล็กน้อย ดูเหมือนกำลังตั้งใจฟังเสียงบางอย่าง

แม่นมฮวายกมือขึ้นเพื่อหยุดการสนทนาของทุกคน

“เงียบกันได้แล้ว เตรียมพร้อมตั้งสติให้ดี! ”

แม้แม่นมฮวาจะเป็นเพียงผู้รับใช้ ทว่าการอยู่รับใช้ข้างกายเยี่ยโยวเหยาถือเป็นตำแหน่งที่สูงมาก จึงไม่มีผู้ใดกล้าละเลยคำพูดของแม่นมฮวา

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขณะที่แม่นมฮวาพูด นางมองซูจิ่นซีไปด้วย ยิ่งทำให้ดูเย็นชาอย่างมาก

เสียงรอบด้านทั้งหมดพลันหยุดลง ซูจิ่นซีจึงใช้อาคมกำไลปี่อั้นฟังเสียงได้ชัดเจนมากขึ้น

ครานี้สิ่งที่มา ไม่คิดว่าจะเป็นงูพิษและตะขาบพิษ

นอกจากนี้ยังไม่ใช่งูธรรมดา ทว่าเป็นงูสามหัวที่มีพิษร้ายแรงที่สุด

สถานที่แห่งนี้ เหตุใดถึงมีพวกสารพัดพิษมากมายถึงเพียงนี้? สิ่งใดดึงดูดพวกมันมากันแน่?

ความคิดเช่นนี้แวบเข้ามาในใจของซูจิ่นซี ทว่านางไม่มีเวลาครุ่นคิดมากนัก

เพราะมีคนเห็นงูพิษและตะขาบพิษใกล้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง

“งู… งู… งูเยอะมาก! ”

“ยังมีตะขาบพิษอีก! ”

ซูจิ่นซีเหลือบมองไปยังทิศทางที่คนผู้นั้นชี้ไป หัวใจของนางพลันกระตุก

“คราวนี้จำนวนตะขาบพิษและงูพิษมีมากกว่าแมงป่องพิษเมื่อครู่สามถึงสี่เท่า”

และดูเหมือนการโจมตีจะรุนแรงมาก

เมื่อครู่ ตอนที่จัดการกับแมงป่องพิษ นางสังเกตอย่างละเอียดว่าสิ่งมีพิษเหล่านี้เหมือนจะเข้ามาใกล้อย่างต่อเนื่องจากที่ไกลๆ ทว่าความจริงแล้ว ส่วนใหญ่ผุดออกมาจากกลางทะเลทราย เมื่อจำนวนพิษมากขึ้น แมงป่องพิษก็โผล่ออกมาจากทะเลทรายมากขึ้น

คิดดูแล้ว รูปแบบที่ตะขาบพิษกับงูพิษพวกนี้ปรากฏตัว คงเหมือนกับแมงป่องพิษ

แสดงว่าวิธีที่นางใช้จัดการกับแมงป่องพิษก่อนหน้านี้ เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ และไม่สามารถใช้จัดการกับงูพิษและตะขาบพิษเหล่านี้ได้อีกต่อไป

แม้จะแก้ไขพิษเหล่านี้ได้ ต่อไปก็จะมีสิ่งที่ร้ายกาจยิ่งกว่าปรากฏขึ้นมาอีก หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาจะเสียเปรียบเป็นอย่างยิ่ง และอาจตายอยู่ที่นี่โดยไร้หนทางสู้

ทว่าหากไม่ใช้วิธีเมื่อครู่ แล้วยังจะใช้วิธีใดได้อีก?

นางมองตะขาบพิษและงูพิษเหล่านั้นที่เข้ามาใกล้พวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ

ตะขาบพิษมีลำตัวโปร่งใส มันเดินไปมาท่ามกลางทะเลทราย เปล่งแสงเจิดจ้าภายใต้แสงอาทิตย์

งูสามหัวยังคงแลบลิ้น ดุร้าย และเย็นชาราวกับว่ากำลังยั่วยุซูจิ่นซีและคนอื่นๆ

จะทำอย่างไร?

ยิ่งใกล้เข้ามาแล้ว!

จะทำอย่างไร?

จะทำอย่างไร?

จะทำอย่างไร?

มีคนตกใจจนกระบี่ในมือหล่นลงบนพื้นดัง ‘แกร๊ง’ องครักษ์ที่อยู่ข้างๆ รีบช่วยเขาหยิบกระบี่ขึ้นมา และพูดอย่างอารมณ์เสียว่า “สั่นอันใด? ยังมีพระชายาอยู่มิใช่หรือ? เจ้าเป็นองครักษ์วิหารวิญญาณของเราอยู่หรือไม่? ถ้าทำไม่ได้ก็ไปให้พ้น! อย่าให้พวกพี่น้องต้องขายหน้า! ”

เมื่อสิ้นเสียงขององครักษ์ผู้นั้น แววตาของคนที่เหลือต่างมองไปยังซูจิ่นซีที่อยู่ในรถม้า แววตาของแต่ละคนล้วนส่องประกายด้วยแสงแห่งความหวัง

ดูเหมือนพวกเขากำลังถามว่า

พระชายา พระองค์มีวิธีจัดการพวกมันหรือไม่?

พระชายา พระองค์ต้องมีวิธีอย่างแน่นอนใช่หรือไม่?

ทว่าแววตาของซูจิ่นซียังคงเย็นชาเป็นอย่างมาก นางหลับตาโดยไม่ได้พูดอันใด

นางมีหรือไม่มีวิธีรับมือกันแน่?