เล่มที่ 31 เล่มที่ 31 ตอนที่ 912 หมาป่า เป็นหมาป่า...

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สามจั้ง

สองจั้ง

หนึ่งจั้ง

เมื่อเห็นว่างูพิษและตะขาบพิษเหล่านั้นเข้ามาใกล้กลุ่มคนมากขึ้นเรื่อยๆ และกำลังจะฝ่าแนวกั้นเขตผงยาสมุนไพรที่ซูจิ่นซีใช้ตอนก่อนหน้าแล้ว ทว่าซูจิ่นซีกลับไม่ขยับแม้แต่น้อย สีหน้าของทุกคนจึงเปลี่ยนไป

“พระชายา! ”

“พระชายา! ”

“พระชายา! ”

ซูจิ่นซียังคงปิดตาทั้งสองข้าง โดยไม่รู้ว่านางกำลังคิดอันใดอยู่

ลวี่หลีและแม่นมฮวาต่างก็เป็นกังวล ทว่าพวกนางไม่กล้ารบกวนซูจิ่นซี

ในที่สุด งูตัวแรกก็สามารถฝ่าเส้นกั้นเข้ามาได้ และเข้ามาใกล้พวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ

และตามด้วยตะขาบตัวแรก

จากนั้นก็งูตัวที่สอง… ตัวที่สาม… ตัวที่สี่…

ตะขาบตัวที่สอง… ตัวที่สาม… ตัวที่สี่…

“พระชายา! ”

“พระชายา! ”

“พระชายา! ”

ซูจิ่นซียังไม่ตอบสนอง

ในที่สุด องครักษ์ที่ยืนอยู่แถวหน้าสุดก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาจับกระบี่ในมือแน่น เตรียมต่อสู้กับงูพิษและตะขาบพิษพวกนั้น

ตอนที่ท่านอ๋องออกไป พระองค์ได้กำชับไว้ว่าจะต้องปกป้องพระชายาให้ดี ต่อให้พวกเขาตายก็ไม่อาจปล่อยให้พระชายาเกิดอุบัติเหตุได้

จากนั้น องครักษ์ที่เหลือต่างจับกระบี่ในมือแน่น ยกมันขึ้นสูงแล้วเตรียมเล็งไปที่งูพิษและตะขาบพิษเหล่านั้น

ในที่สุด ตะขาบพิษก็อยู่ห่างจากองครักษ์ที่อยู่แถวหน้าสุดเพียงห้าก้าวเท่านั้น

ทันใดนั้น… ก็เกิดเสียงดัง ‘ฟึบ’ งูพิษตัวหนึ่งพุ่งไปหาองครักษ์ผู้หนึ่งที่อยู่แถวหน้าสุด

องครักษ์ผู้นั้นพลันเบี่ยงหลบไปด้านข้าง และใช้กระบี่ในมือฟันลำตัวงู

ลำตัวของมันขาดเป็นสองท่อนและตกลงบนพื้น แต่ยังคงขยับอยู่

ตามด้วยตัวที่สอง ตัวที่สาม ตัวที่สี่…

งูพิษดำทะมึนเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ พวกมันโจมตีใส่กลุ่มคนราวกับฝูงปลาข้ามแม่น้ำ ซึ่งเป็นภาพเหตุการณ์ที่ตระการตาอย่างยิ่ง

ท้ายที่สุด งูพิษและตะขาบพิษทั้งหมดก็พุ่งเข้าโจมตีกลุ่มคนทันที ในตอนที่ทุกคนคิดว่าตนเองกำลังจะถูกฝูงงูพิษและตะขาบพิษฝังตายอยู่ที่นั่น ทันใดนั้น ด้านหลังของพวกเขาก็ปรากฏแสงห้าสีเปล่งประกายสว่างจ้า

แสงเปล่งประกายระยิบระยับสะท้อนไปที่ร่างของงูพิษและตะขาบพิษพวกนั้น บางตัวสลายกลายเป็นขี้เถ้า บางตัวก็ถอยหลังล้มลงบนพื้นและหมุนตัวเพื่อหนี

จากนั้นแสงทั้งห้าสีก็กลายเป็นควันสีแดง สีส้ม สีเหลือง สีเขียว และสีฟ้า ลอยอยู่เหนืองูพิษกับตะขาบพิษ ขวางทางพวกมันไว้

ในเวลาเพียงครู่เดียว ควันห้าสีที่ลอยอยู่บนอากาศก็รวมตัวกันกลายเป็นเมฆหมอก ชั่วพริบตาเดียวฝนก็ตกลงมา

ดูเหมือนว่าน้ำฝนจะมีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรง เมื่อฝนตกลงบนร่างของงูพิษและตะขาบพิษเหล่านั้น ภาพมืดมิดของงูพิษและตะขาบพิษก็กลายเป็นขี้เถ้าสลายหายไปทันที

เวลาเพียงครู่เดียวงูพิษและตะขาบพิษเหล่านั้นก็หายไปจนหมด

ใบหน้าของทุกคนปรากฏความโล่งใจ และมองไปยังซูจิ่นซีที่อยู่ในรถม้าซึ่งยังคงหลับตาสนิท

สายตาของทุกคนจดจ้องแสงทั้งห้าสีที่พุ่งเข้าไปในอาคมกำไลปี่อั้นของซูจิ่นซี สีหน้าตกตะลึงอีกครั้ง

ทันทีที่ฝนหยุดตก ซูจิ่นซีก็ลืมตาขึ้นและเห็นใบหน้าที่ตกใจของแต่ละคน

อย่างไรเสีย แม่นมฮวาและลวี่หลีก็เป็นคนรับใช้ข้างกายซูจิ่นซีมาเนิ่นนาน พบเห็นความอัศจรรย์ของอาคมกำไลปี่อั้นมาหลายครั้ง จึงไม่ได้แปลกใจอันใดมากนัก

ทว่าเป็นเรื่องจริงที่จะชื่นชมความสามารถของซูจิ่นซีในการจัดการสิ่งที่มีพิษ

เมื่อเห็นซูจิ่นซีลืมตาขึ้น แม่นมฮวาจึงรีบเอ่ย “พระชายา งูพิษและตะขาบพิษพวกนั้นไม่เหลือแม้แต่ซาก พวกมันถูกพระองค์กำจัดจนหมดแล้วเพคะ พระชายา พระองค์สุดยอดเสียจริงเพคะ! ”

ทันทีที่สิ้นเสียงของแม่นมฮวา สีหน้าของซูจิ่นซีพลันซีดขาว นางค้ำขอบรถม้าด้วยสีหน้าเจ็บปวด

“พระชายา! ”

“คุณหนู! ”

แม่นมฮวาและลวี่หลีรีบกระโดดขึ้นรถม้าและพยุงซูจิ่นซี

“พระชายา พระองค์เป็นอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ? ”

เหล่าองครักษ์ด้านนอกรถม้าก็มีท่าทีเป็นกังวลเช่นกัน

เพื่อรักษาขวัญกำลังใจขององครักษ์ทุกคน ซูจิ่นซีพยายามอย่างมากเพื่อรักษาสีหน้าให้เป็นปกติ และพยายามอดทนอย่างสุดความสามารถ

สุดท้ายแล้ว เยี่ยโยวเหยาและตงหลิงหวงก็ยังไม่กลับมา เวลานี้พวกเขาปลอดภัยหรือยัง ล้วนไม่อาจทราบได้

ทว่านางอดทนไม่ไหวแล้ว!

เมื่อครู่ วิธีที่ใช้จัดการกับงูพิษและตะขาบพิษเป็นวิชาลับของเผ่าเม้ย ซึ่งผสานกับดวงวิญญาณทั้งห้าดวงในอาคมกำไลปี่อั้น

ไม่รู้เหมือนกันว่านี่เป็นครั้งแรกในรอบพันกว่าปีที่นางใช้วิชาลับหรือไม่ เป็นเพราะฝีมือตก หรือว่าในตอนนี้นางมีทักษะไม่เพียงพอ หลังใช้พลังออกไป บริเวณท้องของนางจึงรู้สึกปวด

ความเจ็บปวดยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น

แม้จะอดกลั้นไหว ทว่าภายในระยะเวลาเพียงสั้นๆ เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบก็ผุดขึ้นมาบนหน้าผากของซูจิ่นซี

นิ้วของซูจิ่นซีสั่นเทาเล็กน้อย จู่ๆ ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีก็ปรากฏขึ้นในใจ

แม้นางจะตั้งครรภ์เป็นครั้งแรก ทว่าต่อให้คนที่ไม่เข้าใจวิชาแพทย์ก็รู้ว่าหากยังปวดเช่นนี้ต่อไปจะต้องมีเรื่องแน่นอนและไม่เป็นผลดีต่อทารกในครรภ์ ยิ่งไปกว่านั้น ซูจิ่นซียังเป็นหมออีกด้วย

ทว่านางไม่อยากเสียเด็กคนนี้ไป ต่อให้นางไม่พร้อมที่จะมีทารกคนนี้ ต่อให้นางยังไม่แน่ใจว่าจะคลอดทารกคนนี้ได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ ทว่านางก็ไม่อยากเสียทารกคนนี้ไป

“พระชายา พระองค์เป็นอันใดหรือเพคะ? ”

“พระชายา พระองค์สบายดีหรือไม่? ”

“พระชายา! ”

“พระชายา! ”

ข้างหูเต็มไปด้วยเสียงตื่นตระหนกของแม่นมฮวาและเสียงขององครักษ์ที่ดังอยู่หลายครั้ง

ภายในสมองของซูจิ่นซีดังอื้ออึง ทว่านางพยายามทำให้ความว้าวุ่นเช่นนี้ของตนเองสงบลง คิดหาหนทางบรรเทาความเจ็บปวดนี้ คิดหาวิธีรักษาชีวิตทารกของตนไว้

ทว่าความจริงได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า บางครั้งสวรรค์ก็ไม่ตอบรับคำอ้อนวอนของมนุษย์

ซูจิ่นซียังไม่ทันได้คิดหาวิธี ทันใดนั้น… อาคมกำไลปี่อั้นก็ตรวจพบเสียงที่ทำให้แผ่นหลังของนางเย็นวาบ

หากได้ยินเสียงเช่นนี้ ในอดีต ซูจิ่นซีไม่มีทางหวาดกลัวอย่างแน่นอน แม้ได้ยินก่อนหน้า เพียงนางก็สามารถสงบนิ่งและไม่หวาดหวั่นแม้แต่น้อย

ทว่าเวลานี้… นางไม่สามารถเข้าใจร่างกายของตนเองได้อย่างแน่ชัด

เนื่องจากความเจ็บปวดอย่างรุนแรงจนร่างกายสั่นเทา นางต้องการใช้อาคมกำไลปี่อั้น ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด นางถึงเข้าไปไม่ได้

แม้กระทั่งการทำงานของระบบถอนพิษก็ยังยากลำบากอย่างมาก

เกรงว่า… ครั้งนี้นางจะเจอปัญหาใหญ่แล้วจริงๆ !

ทว่านางไม่มีวันยอมแพ้ ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่มีวันยอมแพ้

เมื่อก่อนมีอันตรายมากมาย นางก็สามารถผ่านพ้นไปได้โดยไม่ยอมแพ้

แล้วครั้งนี้ นางจะยอมแพ้ได้อย่างไร?

นางยังไม่ได้บอกเยี่ยโยวเหยากับปากเลยว่านางตั้งครรภ์แล้ว พวกเขามีลูกด้วยกันแล้ว

นางยังไม่ได้ต่อสู้เพื่อให้ทารกคนนี้มีโอกาสเกิดออกมา ลูกของนางยังไม่ได้ออกมาลืมตาดูโลก นางยังไม่ได้ตั้งชื่อให้ลูกของตนเองเลย

จะเกิดเรื่องได้อย่างไร?

นางจะยอมแพ้ได้อย่างไร?

ซูจิ่นซีพยายามให้กำลังใจตนเองอย่างหนัก พยายามเพิ่มความแข็งแกร่งของพลังตนเองเพื่อจัดการกับอันตรายที่ต้องเผชิญ

ทันใดนั้น องครักษ์ด้านข้างก็ตะโกนเสียงดัง “ดูทางนั้น… นั่นคืออันใด? ”

ทุกคนหันมองไปยังทิศทางที่คนผู้นั้นชี้ไป เห็นเพียงกลางทะเลทรายที่ไกลออกไปดูเหมือนว่าจะมีภูเขาเตี้ยๆ ลูกหนึ่งซึ่งเป็นสีเดียวกับทะเลทราย หากไม่ตั้งใจมองให้ละเอียดก็คงแยกไม่ออก

เหนือ ‘ภูเขาเตี้ย’ เหล่านั้นฝังด้วย ‘ลูกปัด’ ที่เปล่งแสงเจิดจ้า

ทุกคนกำลังแยกแยะอย่างละเอียดว่าสิ่งเหล่านั้นคืออันใดกันแน่ ทันใดนั้น ไม่รู้ว่าผู้ใดตะโกนขึ้นมาเสียงดังว่า “หมาป่า… เป็นหมาป่า…”