สามจั้ง
สองจั้ง
หนึ่งจั้ง
เมื่อเห็นว่างูพิษและตะขาบพิษเหล่านั้นเข้ามาใกล้กลุ่มคนมากขึ้นเรื่อยๆ และกำลังจะฝ่าแนวกั้นเขตผงยาสมุนไพรที่ซูจิ่นซีใช้ตอนก่อนหน้าแล้ว ทว่าซูจิ่นซีกลับไม่ขยับแม้แต่น้อย สีหน้าของทุกคนจึงเปลี่ยนไป
“พระชายา! ”
“พระชายา! ”
“พระชายา! ”
ซูจิ่นซียังคงปิดตาทั้งสองข้าง โดยไม่รู้ว่านางกำลังคิดอันใดอยู่
ลวี่หลีและแม่นมฮวาต่างก็เป็นกังวล ทว่าพวกนางไม่กล้ารบกวนซูจิ่นซี
ในที่สุด งูตัวแรกก็สามารถฝ่าเส้นกั้นเข้ามาได้ และเข้ามาใกล้พวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ
และตามด้วยตะขาบตัวแรก
จากนั้นก็งูตัวที่สอง… ตัวที่สาม… ตัวที่สี่…
ตะขาบตัวที่สอง… ตัวที่สาม… ตัวที่สี่…
“พระชายา! ”
“พระชายา! ”
“พระชายา! ”
ซูจิ่นซียังไม่ตอบสนอง
ในที่สุด องครักษ์ที่ยืนอยู่แถวหน้าสุดก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาจับกระบี่ในมือแน่น เตรียมต่อสู้กับงูพิษและตะขาบพิษพวกนั้น
ตอนที่ท่านอ๋องออกไป พระองค์ได้กำชับไว้ว่าจะต้องปกป้องพระชายาให้ดี ต่อให้พวกเขาตายก็ไม่อาจปล่อยให้พระชายาเกิดอุบัติเหตุได้
จากนั้น องครักษ์ที่เหลือต่างจับกระบี่ในมือแน่น ยกมันขึ้นสูงแล้วเตรียมเล็งไปที่งูพิษและตะขาบพิษเหล่านั้น
ในที่สุด ตะขาบพิษก็อยู่ห่างจากองครักษ์ที่อยู่แถวหน้าสุดเพียงห้าก้าวเท่านั้น
ทันใดนั้น… ก็เกิดเสียงดัง ‘ฟึบ’ งูพิษตัวหนึ่งพุ่งไปหาองครักษ์ผู้หนึ่งที่อยู่แถวหน้าสุด
องครักษ์ผู้นั้นพลันเบี่ยงหลบไปด้านข้าง และใช้กระบี่ในมือฟันลำตัวงู
ลำตัวของมันขาดเป็นสองท่อนและตกลงบนพื้น แต่ยังคงขยับอยู่
ตามด้วยตัวที่สอง ตัวที่สาม ตัวที่สี่…
งูพิษดำทะมึนเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ พวกมันโจมตีใส่กลุ่มคนราวกับฝูงปลาข้ามแม่น้ำ ซึ่งเป็นภาพเหตุการณ์ที่ตระการตาอย่างยิ่ง
ท้ายที่สุด งูพิษและตะขาบพิษทั้งหมดก็พุ่งเข้าโจมตีกลุ่มคนทันที ในตอนที่ทุกคนคิดว่าตนเองกำลังจะถูกฝูงงูพิษและตะขาบพิษฝังตายอยู่ที่นั่น ทันใดนั้น ด้านหลังของพวกเขาก็ปรากฏแสงห้าสีเปล่งประกายสว่างจ้า
แสงเปล่งประกายระยิบระยับสะท้อนไปที่ร่างของงูพิษและตะขาบพิษพวกนั้น บางตัวสลายกลายเป็นขี้เถ้า บางตัวก็ถอยหลังล้มลงบนพื้นและหมุนตัวเพื่อหนี
จากนั้นแสงทั้งห้าสีก็กลายเป็นควันสีแดง สีส้ม สีเหลือง สีเขียว และสีฟ้า ลอยอยู่เหนืองูพิษกับตะขาบพิษ ขวางทางพวกมันไว้
ในเวลาเพียงครู่เดียว ควันห้าสีที่ลอยอยู่บนอากาศก็รวมตัวกันกลายเป็นเมฆหมอก ชั่วพริบตาเดียวฝนก็ตกลงมา
ดูเหมือนว่าน้ำฝนจะมีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรง เมื่อฝนตกลงบนร่างของงูพิษและตะขาบพิษเหล่านั้น ภาพมืดมิดของงูพิษและตะขาบพิษก็กลายเป็นขี้เถ้าสลายหายไปทันที
เวลาเพียงครู่เดียวงูพิษและตะขาบพิษเหล่านั้นก็หายไปจนหมด
ใบหน้าของทุกคนปรากฏความโล่งใจ และมองไปยังซูจิ่นซีที่อยู่ในรถม้าซึ่งยังคงหลับตาสนิท
สายตาของทุกคนจดจ้องแสงทั้งห้าสีที่พุ่งเข้าไปในอาคมกำไลปี่อั้นของซูจิ่นซี สีหน้าตกตะลึงอีกครั้ง
ทันทีที่ฝนหยุดตก ซูจิ่นซีก็ลืมตาขึ้นและเห็นใบหน้าที่ตกใจของแต่ละคน
อย่างไรเสีย แม่นมฮวาและลวี่หลีก็เป็นคนรับใช้ข้างกายซูจิ่นซีมาเนิ่นนาน พบเห็นความอัศจรรย์ของอาคมกำไลปี่อั้นมาหลายครั้ง จึงไม่ได้แปลกใจอันใดมากนัก
ทว่าเป็นเรื่องจริงที่จะชื่นชมความสามารถของซูจิ่นซีในการจัดการสิ่งที่มีพิษ
เมื่อเห็นซูจิ่นซีลืมตาขึ้น แม่นมฮวาจึงรีบเอ่ย “พระชายา งูพิษและตะขาบพิษพวกนั้นไม่เหลือแม้แต่ซาก พวกมันถูกพระองค์กำจัดจนหมดแล้วเพคะ พระชายา พระองค์สุดยอดเสียจริงเพคะ! ”
ทันทีที่สิ้นเสียงของแม่นมฮวา สีหน้าของซูจิ่นซีพลันซีดขาว นางค้ำขอบรถม้าด้วยสีหน้าเจ็บปวด
“พระชายา! ”
“คุณหนู! ”
แม่นมฮวาและลวี่หลีรีบกระโดดขึ้นรถม้าและพยุงซูจิ่นซี
“พระชายา พระองค์เป็นอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ? ”
เหล่าองครักษ์ด้านนอกรถม้าก็มีท่าทีเป็นกังวลเช่นกัน
เพื่อรักษาขวัญกำลังใจขององครักษ์ทุกคน ซูจิ่นซีพยายามอย่างมากเพื่อรักษาสีหน้าให้เป็นปกติ และพยายามอดทนอย่างสุดความสามารถ
สุดท้ายแล้ว เยี่ยโยวเหยาและตงหลิงหวงก็ยังไม่กลับมา เวลานี้พวกเขาปลอดภัยหรือยัง ล้วนไม่อาจทราบได้
ทว่านางอดทนไม่ไหวแล้ว!
เมื่อครู่ วิธีที่ใช้จัดการกับงูพิษและตะขาบพิษเป็นวิชาลับของเผ่าเม้ย ซึ่งผสานกับดวงวิญญาณทั้งห้าดวงในอาคมกำไลปี่อั้น
ไม่รู้เหมือนกันว่านี่เป็นครั้งแรกในรอบพันกว่าปีที่นางใช้วิชาลับหรือไม่ เป็นเพราะฝีมือตก หรือว่าในตอนนี้นางมีทักษะไม่เพียงพอ หลังใช้พลังออกไป บริเวณท้องของนางจึงรู้สึกปวด
ความเจ็บปวดยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น
แม้จะอดกลั้นไหว ทว่าภายในระยะเวลาเพียงสั้นๆ เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบก็ผุดขึ้นมาบนหน้าผากของซูจิ่นซี
นิ้วของซูจิ่นซีสั่นเทาเล็กน้อย จู่ๆ ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีก็ปรากฏขึ้นในใจ
แม้นางจะตั้งครรภ์เป็นครั้งแรก ทว่าต่อให้คนที่ไม่เข้าใจวิชาแพทย์ก็รู้ว่าหากยังปวดเช่นนี้ต่อไปจะต้องมีเรื่องแน่นอนและไม่เป็นผลดีต่อทารกในครรภ์ ยิ่งไปกว่านั้น ซูจิ่นซียังเป็นหมออีกด้วย
ทว่านางไม่อยากเสียเด็กคนนี้ไป ต่อให้นางไม่พร้อมที่จะมีทารกคนนี้ ต่อให้นางยังไม่แน่ใจว่าจะคลอดทารกคนนี้ได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ ทว่านางก็ไม่อยากเสียทารกคนนี้ไป
“พระชายา พระองค์เป็นอันใดหรือเพคะ? ”
“พระชายา พระองค์สบายดีหรือไม่? ”
“พระชายา! ”
“พระชายา! ”
ข้างหูเต็มไปด้วยเสียงตื่นตระหนกของแม่นมฮวาและเสียงขององครักษ์ที่ดังอยู่หลายครั้ง
ภายในสมองของซูจิ่นซีดังอื้ออึง ทว่านางพยายามทำให้ความว้าวุ่นเช่นนี้ของตนเองสงบลง คิดหาหนทางบรรเทาความเจ็บปวดนี้ คิดหาวิธีรักษาชีวิตทารกของตนไว้
ทว่าความจริงได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า บางครั้งสวรรค์ก็ไม่ตอบรับคำอ้อนวอนของมนุษย์
ซูจิ่นซียังไม่ทันได้คิดหาวิธี ทันใดนั้น… อาคมกำไลปี่อั้นก็ตรวจพบเสียงที่ทำให้แผ่นหลังของนางเย็นวาบ
หากได้ยินเสียงเช่นนี้ ในอดีต ซูจิ่นซีไม่มีทางหวาดกลัวอย่างแน่นอน แม้ได้ยินก่อนหน้า เพียงนางก็สามารถสงบนิ่งและไม่หวาดหวั่นแม้แต่น้อย
ทว่าเวลานี้… นางไม่สามารถเข้าใจร่างกายของตนเองได้อย่างแน่ชัด
เนื่องจากความเจ็บปวดอย่างรุนแรงจนร่างกายสั่นเทา นางต้องการใช้อาคมกำไลปี่อั้น ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด นางถึงเข้าไปไม่ได้
แม้กระทั่งการทำงานของระบบถอนพิษก็ยังยากลำบากอย่างมาก
เกรงว่า… ครั้งนี้นางจะเจอปัญหาใหญ่แล้วจริงๆ !
ทว่านางไม่มีวันยอมแพ้ ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่มีวันยอมแพ้
เมื่อก่อนมีอันตรายมากมาย นางก็สามารถผ่านพ้นไปได้โดยไม่ยอมแพ้
แล้วครั้งนี้ นางจะยอมแพ้ได้อย่างไร?
นางยังไม่ได้บอกเยี่ยโยวเหยากับปากเลยว่านางตั้งครรภ์แล้ว พวกเขามีลูกด้วยกันแล้ว
นางยังไม่ได้ต่อสู้เพื่อให้ทารกคนนี้มีโอกาสเกิดออกมา ลูกของนางยังไม่ได้ออกมาลืมตาดูโลก นางยังไม่ได้ตั้งชื่อให้ลูกของตนเองเลย
จะเกิดเรื่องได้อย่างไร?
นางจะยอมแพ้ได้อย่างไร?
ซูจิ่นซีพยายามให้กำลังใจตนเองอย่างหนัก พยายามเพิ่มความแข็งแกร่งของพลังตนเองเพื่อจัดการกับอันตรายที่ต้องเผชิญ
ทันใดนั้น องครักษ์ด้านข้างก็ตะโกนเสียงดัง “ดูทางนั้น… นั่นคืออันใด? ”
ทุกคนหันมองไปยังทิศทางที่คนผู้นั้นชี้ไป เห็นเพียงกลางทะเลทรายที่ไกลออกไปดูเหมือนว่าจะมีภูเขาเตี้ยๆ ลูกหนึ่งซึ่งเป็นสีเดียวกับทะเลทราย หากไม่ตั้งใจมองให้ละเอียดก็คงแยกไม่ออก
เหนือ ‘ภูเขาเตี้ย’ เหล่านั้นฝังด้วย ‘ลูกปัด’ ที่เปล่งแสงเจิดจ้า
ทุกคนกำลังแยกแยะอย่างละเอียดว่าสิ่งเหล่านั้นคืออันใดกันแน่ ทันใดนั้น ไม่รู้ว่าผู้ใดตะโกนขึ้นมาเสียงดังว่า “หมาป่า… เป็นหมาป่า…”