ซูจิ่นซีมองไปยังทิศทางที่แม่นมฮวาชี้ไป เม็ดทรายเต็มท้องฟ้าหมุนวนดั่งสายน้ำหลาก
ท่ามกลางเม็ดทรายที่กำลังหมุนวน เห็นเป็นร่างของมนุษย์หลายคนเลือนราง
แม้จะถูกทรายบดบังไว้ราวกับผ้าม่านจนเห็นไม่ชัดนัก ทว่าซูจิ่นซีเห็นผู้ที่ขี่อยู่บนหลังอูฐด้วยท่าทางอำนาจและเย่อหยิ่งราวกับจักรพรรดิ เดินนำหน้าสุดได้อย่างชัดเจนว่าเป็นผู้ใด
“ท่านอ๋อง…….ท่านอ๋อง…….ท่านอ๋องกลับมาแล้ว ท่านอ๋องกลับมาแล้ว!”
ไม่รู้ว่าผู้ใดตะโกนขึ้น จากนั้นก็มีเสียงดังขึ้นโกลาหลมาจากจุดที่กำลังต่อสู้กัน
“ท่านอ๋อง เป็นท่านอ๋อง พวกเรารอดแล้ว ท่านอ๋องกลับมาแล้ว!”
“เป็นท่านอ๋อง!”
“ท่านอ๋อง!”
ในขณะเดียวกัน ซูจิ่นซีก็รู้สึกได้ชัดเจนว่าพลังของเหล่าองครักษ์ที่ต่อสู้กับฝูงหมาป่าเพิ่มสูงขึ้น
มีเสียงดังขึ้นสอดแทรกกับเสียงกู่ร้องและเสียงฆ่าฟันอันน่าหดหู่ “จี๊ด จี๊ด จี๊ด…….จี๊ด จี๊ด จี๊ด…….จี๊ด จี๊ด จี๊ด…….”
ทันใดนั้นเสียงของจิ้งจอกน้อยเก้าสีดังขึ้นท่ามกลางพายุทรายที่ปลิวว่อนบนท้องฟ้าจากที่ไกลออกไป
เมื่อได้ยินเสียงนั้นฝูงหมาป่าก็ล่าถอยทันที หมาป่าผู้หิวโหยแต่ละตัวแยกเขี้ยวอย่างบ้าคลั่งก็ระมัดระวังตัวมากขึ้นเล็กน้อย
พวกมันต่างก็มองไปยังทิศทางที่เสียงนั้นดังขึ้น
ทว่ายังไม่ทันเห็นชัดเจนว่าเป็นสิ่งใด ร่างขาวหิมะราวกับปุยฝ้ายและกลุ่มเมฆพุ่งเข้ามาหาพวกเขา
“โฮก…….”
ทันใดนั้นเสียงร้องน่าสลดดังออกมาจากกลางฝูงหมาป่า จิ้งจอกน้อยเก้าสีลงสู่พื้นดินใช้กรงเล็บตะปบหมาป่าผู้หิวโหยตายไปหลายตัว
หลังจากนั้นวิ่งไปข้างหน้าหลายจั้ง ยืนตรงหน้าซูจิ่นซี แม่นมฮวาและลวี่หลี มันหมุนตัวไปมา มองฝูงหมาป่าราวกับสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำอย่างภาคภูมิใจด้วยสายตาเหยียดหยาม
ในตอนที่ฝูงหมาป่ากำลังต่อสู้อยู่กับเหล่าทหาร พวกมันมีท่าทีดุร้าย ทว่าเมื่อขณะที่จิ้งจอกน้อยเก้าสีปรากฏตัว ความดุร้ายและความเป็นสัตว์ป่าของพวกมันก็ค่อยๆ หายไป
จนถึงตอนนี้ ภายใต้แววตาที่เย่อหยิ่งของจิ้งจอกเก้าสี กรงเล็บแหลมคมของหมาป่าถูกเก็บจนหมด พวกมันคลานหมอบบนพื้นแล้วค่อยๆ ถอยกลับไป
“จี๊ด……จี๊ด จี๊ด…….จี๊ด จี๊ด จี๊ด…….”
จิ้งจอกเก้าสีจ้องฝูงหมาป่าแล้วร้องเสียงดุร้าย ฝูงหมาป่าหันกลับ รีบวิ่งหนีไม่คิดชีวิต
องครักษ์ที่เพิ่งผ่านสถานการณ์การต่อสู้อันดุเดือดเลือดพล่าน เมื่อเห็นฉากนี้ทั้งประหลาดใจ ทั้งตื่นเต้น ทว่ายิ่งไปกว่านั้นมันคือความสุขหลังรอดชีวิต
พวกเขาเหนื่อยเกินไปแล้ว ไม่ใช่เหนื่อยกาย ทว่าเหนื่อยใจ
สถานการณ์ที่ประสบมาเมื่อก่อนหน้านี้ ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว
อย่างไรแล้วพวกเขาเคยได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดที่วิหารวิญญาณและได้รับการตรวจสอบทุกระดับเพื่อคัดเลือกองครักษ์และนักฆ่าที่มีฝีมือยอดเยี่ยม การฝึกฝนอันโหดเหี้ยมแบบใดที่ยังไม่เคยผ่านประสบการณ์มาบ้าง?
ทว่ากลับไม่เคยประสบกับเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่และน่าหวาดกลัวเช่นนี้มาก่อน ได้เห็นสิ่งมีพิษจำนวนมากและฝูงหมาป่าดุร้ายฝูงใหญ่
ในที่สุดพายุทรายที่หมุนวนราวกับน้ำท่วมก็มาใกล้ด้านหน้า
ท่ามกลางเม็ดทรายสีเหลือง เยี่ยโยวเหยากระโดดลงมาจากหลังอูฐราวกับเทพจักรพรรดิลงมาจุติ เขาเดินเยื้องย่างอย่างทระนงไปหาซูจิ่นซีทีละก้าว
ทว่าเมื่อมาอยู่ข้างกายซูจิ่นซี ความเย่อหยิ่งและท่าทีสง่าผ่าเผยก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลและความอ่อนโยนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เขารวบซูจิ่นซีเข้าสู่อ้อมแขนแล้วพูดด้วยเสียงเบาว่า
“ซีซี ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าและลูกต้องลำบาก!”
แม้เขาจะพยายามกลั้นไว้อย่างสุดความสามารถ ทว่ายังสามารถได้ยินความหวาดกลัวในน้ำเสียงของเขา
อย่างไรก็ตามความหวาดกลัวเล็กน้อยที่ซูจิ่นซีได้ยินในโสตประสาทกลับถูกความกลัวอย่างกะทันหันในก้นบึ้งหัวใจปกปิดเอาไว้
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแน่น นางยื่นมือออกไปหมายจะพยุงไหล่เยี่ยโยวเหยา ทว่าท้ายที่สุดมือค้างกลางอากาศอย่างไร้เรี่ยวแรง
นางถามเสียงเบาแหบพร่า “เยี่ยโยวเหยา……ท่านรู้แล้ว? ”
“อืม!”
ซูจิ่นซีไม่กล้าถามว่าเยี่ยโยวเหยารู้ตั้งแต่เมื่อไร และรู้ได้อย่างไร
ตอนที่เยี่ยโยวเหยากอดนางแล้วพูดขอโทษนางกับลูก เศษเสี้ยวในอดีตเกือบจะเชื่อมโยงกันในจิตใจอีกครั้ง
นางเกือบจะเดาบางอย่างได้แล้ว
ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปากแล้วมุมปากก็ยิ้มกว้าง โชคดีที่เยี่ยโยวเหยาเดาได้นานแล้ว มิฉะนั้นข่าวนี้นางไม่รู้จะบอกเขาอย่างไรจริงๆ
“ไม่เป็นไร หม่อมฉันกับลูกไม่เป็นไรเพคะ เยี่ยโยวเหยา หม่อมฉันขอโทษที่ทำให้ท่านอ๋องเป็นกังวล”
คนที่รักใคร่ซึ่งกันและกันก็เป็นเช่นนี้
เขาไม่ต้องการให้นางได้รับบาดเจ็บและอันตรายแม้แต่น้อย
นางยิ่งไม่ต้องการให้เขาแบกรับความกังวลและความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
ทว่าความจริงมักไม่เป็นดั่งที่หวังไว้
“ซูจิ่นซี เจ้าช่างกล้ายิ่งนัก!”
จู่ๆ เยี่ยโยวเหยาก็พูดขึ้น
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วอย่างแรง
เยี่ยโยวเหยาพูดต่ออีกว่า “หากข้ามาไม่ทัน เจ้าคงจะพาบุตรของข้าออกไปสู้กับเจ้าแล้ว? ”
ซูจิ่นซียังกุมกระบี่ในมือ จำนนต่อหลักฐาน นางไม่อาจปฏิเสธได้
“ทว่า เยี่ยโยวเหยา ทารกยังไม่ทันคลอดออกมา! ท่านอ๋องรู้ได้อย่างไรว่าเป็นบุตรชาย? ”
“ฝีมือของข้า ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร? ”
หัวใจซูจิ่นซีเจ็บปวดขึ้นมาทันใด จมูกและตาแสบร้อน นางรีบหลับตาลงเพื่อไม่ให้เยี่ยโยวเหยาเห็นความผิดปกติใดๆ
นางกังวลตลอดว่าตนเองไม่มีเวลาและไม่มีความสามารถที่จะให้กำเนิดทารกคนนี้ ไม่คิดว่าคนรักของนางอย่างเยี่ยโยวเหยาจะคิดไปไกลขนาดนั้นแล้ว
เยี่ยโยวเหยาแนบหน้าผากตนเองกับหน้าผากซูจิ่นซี ดูเหมือนว่ากำลังสัมผัสถึงความสุขอันแสนมีค่าหลังจากมีชีวิตรอดจากหายนะ
น้ำเสียงที่อบอุ่นจนทำให้น้ำตาปริ่มออกมา
“ซูจิ่นซี!”
“เพคะ? ”
“ซูจิ่นซี!”
“เพคะ? ”
“ซูจิ่นซี!”
“เพคะ? ”
“อย่าได้กลัว! ข้ากลับมาแล้ว! มีข้าอยู่!”
เพราะว่าร่างกายซูจิ่นซียังคงสั่นเทาตลอด
ทว่าเยี่ยโยวเหยาไม่รู้ว่าเหตุใดร่างกายซูจิ่นซีถึงได้สั่นเช่นนี้
ไม่ใช่เพราะความกลัวและอันตรายเมื่อครู่ ชีวิตนี้ไม่ว่าอันตรายอันใดนางไม่หวาดกลัวเลยสักนิด แม้ชีวิตจะหาไม่ นางไม่เคยกลัว
นอกจากนี้เพราะอารมณ์ที่สับสนยุ่งเหยิงจากก้นบึ้งหัวใจซึ่งเกี่ยวข้องกับเส้นประสาททุกเส้นในร่างกายทำให้ตอนหายใจนางรู้สึกได้ถึงหนามทั้งหมดที่งอกในปอดและลำคอ
“เพคะ!”
ซูจิ่นซีตอบเยี่ยโยวเหยาเสียงสะอื้น
ที่ตามเยี่ยโยวเหยามายังมีองครักษ์สิบกว่านายที่ออกไปตามหาอวิ๋นจิ่น อู๋จุนและถังเสวี่ยด้วยกันกับเขา
ยังมี……อวิ๋นจิ่นที่ตามกลับมาจนได้
แม้บนใบหน้าอวิ๋นจิ่นจะยังมีสีหน้าที่อ่อนโยน ทว่าหากมองในดวงตาเขาอย่างละเอียดจะพบว่าในดวงตาราวกับหินภูเขาไฟคู่นั้นมีอารมณ์ที่ถูกระงับไว้กำลังพลุ่งพล่านไม่หยุด
อารมณ์ที่พลุ่งพล่านนั้นไร้ซึ่งหนทางเกิดใหม่ตลอดกาล เป็นการรอคอยโทษประหารแสนยาวนานและความรักไม่ทีที่สิ้นสุด เป็นน้ำนิ่งไร้ซึ่งชีวิต
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ เยี่ยโยวเหยาถึงได้ปล่อยซูจิ่นซี อุ้มนางขึ้นวางในรถม้า
แน่นอนว่าหมาป่าหิวโหยที่ติดอยู่ในรถม้าตัวนั้นองครักษ์ได้จัดการทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว
จากนั้นเหล่าองครักษ์จึงทำความสะอาดพื้นที่ อวิ๋นจิ่นและหมอทหารที่ตามมาด้วยก็ไปรักษาบาดแผลให้เหล่าองครักษ์ที่ได้รับบาดเจ็บ
เยี่ยโยวเหยาอยู่ข้างกายซูจิ่นซีตลอดเพราะกลัวว่าซูจิ่นซีจะเกิดอุบัติเหตุอันใดอีก
แม่นมฮวาและลวี่หลีคอยอยู่รับใช้ข้างรถม้า
แม้ก่อนหน้าจะใช้เข็มเหมันต์เทวะผนึกเส้นลมปราณหลายเส้นในร่างกาย ทว่าคงอยู่ได้ไม่นานนักโดยเฉพาะเวลาสงบนิ่งเช่นนี้ ความรู้สึกไม่สบายตัวจะทะลักออกมาราวกับน้ำท่วม
เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบบนหน้าผากค่อยๆ แผ่ขยายกว้าง ร่างกายสั่นไม่หยุด
ในไม่ช้าเยี่ยโยวเหยาก็พบความผิดปกติของซูจิ่นซี
“จิ่นซี เจ้าเป็นอันใดไป? “