จักรพรรดินีภูตนางฟ้ารู้สึกสับสนเป็นอย่างมากกับการกระทำของหลิงตู้ฉิง

หากจะคิดว่าเหตุผลที่เขามาช่วยเหลือเผ่าภูตนางฟ้าเพราะอยากได้ตัวลูกสาวของนางเพียงอย่างเดียวนั้นมันก็ดูไร้สาระเกินไป

ลูกสาวของนางถึงแม้ว่าจะงดงาม แต่ก็ไม่ได้งดงามถึงขนาดเป็นหนึ่งในใต้หล้า ดังนั้นมันจึงดูไม่สมเหตุสมผลแม้แต่น้อยในการที่เขาต้องลงทุนเสี่ยงชีวิตมาช่วยเหลือเผ่านางแบบนี้

หลิงตู้ฉิงสั่งให้คนอื่น ๆ เว้นระยะออกไปก่อนเหลือแค่เพียงอี้ลั่วเอ๋อเท่านั้นที่เขาให้รั้งอยู่ จากนั้นเขาพูดกับจักรพรรดินีภูตนางฟ้าว่า “เหตุผลที่ข้ามาช่วยเผ่าของเจ้านั้นเป็นเพราะบรรพบุรุษของเจ้า บรรพบุรุษของเจ้าเคยติดตามข้าเป็นเวลาหลายพันปีและผลงานที่นางทำเพื่อข้านั้นก็มีมากมายนัก ดังนั้นการที่ข้ามาช่วยเจ้าวันนี้มันจึงถือได้ว่าเป็นการตอบแทนความภักดีของนาง”

เหมือนกับทาสกระบี่ หลิงตู้ฉิงนั้นไม่รู้ชื่อของผีเสื้อเช่นกันฉะนั้นเขาจึงใช้คำเรียกแทนตัวตนของผีเสื้อว่า บรรพบุรุษของจักรพรรดินีภูตนางฟ้า

แต่การที่หลิงตู้ฉิงเอ่ยคำว่าบรรพบุรุษ มันก็ทำให้จักรพรรดินีภูตนางฟ้ายังคงรู้สึกสับสนเหมือนเดิมเพราะนางมีบรรพบุรุษตั้งหลายคน ดังนั้นนางจะไปรู้ได้ยังไงว่าหลิงตู้ฉิงเอ่ยถึงคนไหน?

เมื่อเห็นว่าแม่ของนางแสดงสีหน้าสับสน อี้ลั่วเอ๋อจึงปรับความเข้าใจให้ว่า “ท่านแม่ นายท่านของข้าก็คือองค์เหนือหัวคนเดียวกับที่บรรพบุรุษ อี้ชิวซุย เคยติดตาม!”

เมื่อได้ยินชื่อบรรพบุรุษที่ลูกสาวของนางบอก จักรพรรดินีภูตนางฟ้าก็รู้สึกตกตะลึงในทันทีเพราะนางรู้แล้วว่าหลิงตู้ฉิงเป็นใคร

หลังจากตกตะลึงอยู่พักใหญ่ จักรพรรดินีภูตนางฟ้าจึงพูดขึ้นว่า “ไม่ใช่ว่าองค์เหนือหัวถูกทำลายโดยสวรรค์ไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ถ้าไม่มีข่าวเรื่ององค์เหนือหัวถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ เผ่าอื่น ๆ จะไม่มีวันรุมรังแกพวกเราแบบนี้แน่นอน!”

หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ข้ายังอยู่ดี ข้าแค่ขึ้นไปอยู่บนโลกเบื้องบนก็เท่านั้น แต่ตอนนี้ด้วยเหตุผลหลายอย่างข้าจึงกลับลงมาที่โลกเบื้องล่างอีกรอบ แต่ก็นั่นล่ะหากข้าไม่กลับลงมา ข้าก็คงไม่ได้เจอกับลั่วเอ๋อและก็คงไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเจ้าตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ขนาดไหน”

ในตอนนี้จักรพรรดินีภูตนางฟ้าเข้าใจแล้วว่าทำไมชายผู้นี้ถึงลงทุนช่วยเผ่าของนางขนาดนี้

หากเขาเป็นองค์เหนือหัวของเผ่านาง ทุกอย่างมันก็สมเหตุสมผล!

จักรพรรดินีภูตนางฟ้าคุกเข่าลงคำนับทันทีและพูดว่า “ข้า อี้ฉิงซิง ขอถวายบังคมองค์เหนือหัว!”

“ลุกขึ้นเถอะ!” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ข้ามาช้าไปหน่อยเลยทำให้พวกเจ้าต้องทุกข์ทรมานกันอย่างสาหัส แต่เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ทุกบัญชีแค้นของพวกเจ้าข้าจะเป็นคนทวงให้ทั้งหมดเอง”

“ก่อนหน้านี้ข้าได้บอกให้คนของตำหนักเทพโชคลาภช่วยสืบสวนเรื่องที่เผ่าของเจ้าตกเป็นเป้าโจมตีให้เรียบร้อยแล้ว เมื่อไหร่ที่ได้ข้อมูลที่แน่นอนข้าจะพาเจ้าไปล้างแค้นด้วยกัน”

“ส่วนเรื่องตำหนักเทพโชคลาภ เจ้าไม่จำเป็นต้องไปผูกใจเจ็บอะไรอีก พวกเขากับข้านั้นนับได้ว่าเป็นมิตรต่อกันพอสมควร แถมคนของข้าคนหนึ่งยังเป็นหนึ่งในสมาชิกของพวกเขา ดังนั้นในอนาคตเจ้าสามารถร่วมมือทำการค้ากับพวกเขาได้ แต่เจ้าห้ามเปิดเผยตัวตนของข้าก่อนที่ข้าจะอนุญาตเด็ดขาด”

จักรพรรดินีภูตนางฟ้าตอบกลับด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ในเมื่อองค์เหนือหัวกลับมาแล้วแบบนี้ งั้นข้าขอมอบอำนาจสั่งการเผ่าของข้าทุกอย่างให้กับองค์เหนือหัวทั้งหมด!”

หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “เรื่องของเผ่าเจ้า เจ้าจงตัดสินใจเอง! แต่ไม่ต้องกังวลไม่ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อประตูเคลื่อนย้ายสร้างเสร็จแล้วหากเจ้ามีปัญหาอะไรเจ้าสามารถเดินทางไปที่อาณาจักรจันทราเพื่อขอความช่วยเหลือได้ทุกเมื่อ จักรพรรดิของที่นั่นก็คือลูกชายของข้าเอง”

“หรือถ้าเจ้าไม่ไปขอความช่วยเหลือที่อาณาจักรจันทรา เจ้าก็สามารถใช้ประตูเคลื่อนย้ายเดินทางไปที่ ภูเขาฟีนิกซ์ สำนักเต๋าสวรรค์ สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ หรือสำนักวิญญาณโลหิตเพื่อขอความช่วยเหลือก็ได้ ขุมกำลังเหล่านี้ทั้งหมดล้วนเป็นพันธมิตรของข้า อ๋อ! ยังมีอีก 3 กองกำลังที่ข้าลืมพูดถึงไปก็คือเผ่าภูตดิน สันเขาทรราช และสำนักกระบี่เอกภพ ซึ่งก็คือเหล่าทายาทของจางหมิงก็เป็นพันธมิตรของข้าเช่นกัน เอาเป็นว่าเมื่อไหร่ที่ประตูเคลื่อนย้ายสร้างเสร็จ เจ้าก็ส่งคนคอยคุ้มกันมันให้ดี ๆ เพราะมันคือทางรอดของพวกเจ้าในยามฉุกเฉิน”

อี้ลั่วเอ๋อพูดขึ้นเสริมกับแม่ของนาง “ท่านแม่ในระหว่างที่ข้าติดตามนายท่านอยู่หลายร้อยปี ข้าได้ท่องไปทั่วและได้เห็นกองกำลังที่แข็งแกร่งมากมาย ซึ่งมันทำให้ข้าได้รู้ว่าเผ่าของเรานั้นช่างอ่อนแอและต้องรีบพัฒนาตัวเองทันที”

จากนั้นอี้ลั่วเอ๋อก็เล่าประสบการณ์ที่นางไปเยือนสถานที่ต่าง ๆ ให้กับแม่ของนางฟังแบบสรุปสั้น ๆ

เมื่อได้ฟังเรื่องราวจนหมด จักรพรรดินีภูตนางฟ้าก็ได้แต่ก้มหน้าพูดด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “ที่เผ่าของเราอ่อนแอถึงขนาดนี้มันเป็นเพราะข้าเองที่ไร้ความสามารถ แม้แต่เหล่าทายาทของผู้อาวุโสเทพกระบี่ที่ถูกเพ่งเล็งเหมือนกันยังมีความเป็นอยู่ดีกว่าพวกเราเลย ข้า…”..

หลิงตู้ฉิงโบกมือและพูดแทรก “ไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองขนาดนั้น แค่เจ้าทำให้เผ่าของเจ้ารอดอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ก็นับได้ว่าวิเศษแล้ว อย่าได้เอาตัวของเจ้าไปเทียบกับหยุนชานและเหล่าลูกหลานของจางหมิง การที่พวกเขามีสภาพความเป็นอยู่ดีกว่าเจ้านั้นเป็นเพราะพวกเขาคือมนุษย์ พวกเขาจึงสามารถแฝงตัวอยู่ที่ไหนก็ได้ แต่สำหรับเจ้าและคนของเจ้าที่เป็นภูตนางฟ้า พวกเจ้าจึงไม่อาจหลบซ่อนได้แบบพวกเขา นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเจ้าถึงได้ตกต่ำมากกว่า”

“เอาล่ะเรื่องในอดีตมันผ่านไปแล้วก็ช่างเถอะ ตอนนี้เจ้ามุ่งมั่นอยู่กับปัจจุบันดีกว่า จงเคี่ยวเข็นให้คนของเจ้ารีบบ่มเพาะกันให้เร็วที่สุด ข้าได้ทำการถ่ายทอดเคล็ดวิชาผีเสื้อยมโลกเริงระบำให้กับลั่วเอ๋อเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้เจ้าก็จงให้ลูกสาวของเจ้าถ่ายทอดมันให้กับเจ้าก็แล้วกัน เพราะข้าคงไม่ว่างถ่ายทอดให้ด้วยตัวเองเนื่องจากข้าเองจำเป็นต้องเก็บตัวบ่มเพาะไปสักระยะ”

“ถัดจากนี้ข้าจะต้องขอยืมต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าเจ้าด้วยเพื่อใช้มันบ่มเพาะร่างของข้าเอง และเมื่อไหร่ที่ข้าบ่มเพาะร่างกายเสร็จ ข้าจะบรรยายเต๋าให้กับเผ่าของเจ้าได้ฟังและหลังจากนั้นพวกเราค่อยไปทวงแค้นให้กับเผ่าของเจ้าต่อ”

“ขอบพระทัยเองค์หนือหัว!” จักรพรรดินีภูตนางฟ้าโค้งตัวคำนับด้วยสีหน้าซาบซึ้ง “ลั่วเอ๋อ เจ้าจงพาองค์เหนือหัวไปที่ห้องนอนของแม่เพื่อที่นายท่านจะได้บ่มเพาะได้สบายที่สุดพร้อม ๆ กับที่องค์เหนือหัวจะได้อยู่ในจุดที่ใกล้ที่สุดกับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์”

อี้ลั่วเอ๋อหัวเราะ “นายท่านตามข้ามาได้เลย! นี่นายท่านเป็นผู้ชายคนแรกเลยนะที่จะได้เข้าไปในห้องนอนแม่ของข้า!”

หลิงตู้ฉิงโบกมือและพูดว่า “ไม่จำเป็น ข้าสะดวกบ่มเพาะที่ใต้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์มากกว่า”

เมื่อได้ยินหลิงตู้ฉิงปฏิเสธ อี้ลั่วเอ๋อและแม่ของนางก็ได้แต่ทำตาม จากนั้นพวกนางก็พาหลิงตู้ฉิงไปที่ใต้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้เขาบ่มเพาะ

ในอีกด้านหนึ่ง หลังจากเหรินฉิงชาน ไป๋หลีเหวินเซี่ยง และกลุ่มคนของสำนักห้าวเทียนถอนตัวออกจากป่าภูตนางฟ้า ไป๋หลีเหวินเซี่ยงที่มีคำถามมากมายอยู่ในหัวก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “เทพแห่งความมั่งคั่ง ตอนนี้ท่านอธิบายได้รึยังว่าในตอนแรกพวกเราก็ตกลงกันเป็นอย่างดีว่าพวกเราจะช่วยกันทำลายพวกภูตนางฟ้า แต่แล้วทำไมพอถึงเวลาจริงท่านถึงกลับคำพูดบอกให้พวกเรายืนดูอยู่เฉย ๆ ซะอย่างนั้น?”

เหรินฉิงชานยิ้มและตอบกลับ “เหตุผลจริง ๆ ที่ข้ามาที่นี่ก็เพราะข้าแค่อยากยืนยันข้อสงสัยอะไรบางอย่าง!”

“ยืนยันข้อสงสัย?” ไป๋หลีเหวินเซี่ยงแสงดงสีหน้างุนงง

“ตำหนักเทพโชคลาภของข้าต้องการยืนยันว่า หลิงตู้ฉิงเป็นคน ๆ เดียวกับคนผู้นั้นรึเปล่า!” เหรินฉิงชานตอบกลับ

“คนผู้นั้น? ท่านหมายถึงใครกัน?” ไป๋หลีเหวินเซี่ยงถามกลับด้วยสีหน้างุนงงมากกว่าเดิม

เหรินฉิงชานจ้องหน้าไป๋หลีเหวินเซี่ยง และพูดว่า “เมื่อราว ๆ 500 กว่าปีที่แล้ว มีชายผู้หนึ่งที่มีความสามารถพิสดารต่าง ๆ มากมายปรากฏตัวขึ้นในทะเลชางหมาง”

“ถัดมาเมื่อชายผู้นั้นออกจากทะเลชางหมาง เขาก็ได้ทำสิ่งต่าง ๆ มากมายที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนเช่นการฟื้นฟูสำนักวิญญาณโลหิต จากนั้นเมื่อเขาไปถึงอาณาเขตสุสานกระบี่ เหล่าทายาทเทพกระบี่ก็กล้าที่จะเผยตัวต่อโลกและจากนั้นเขายังไปเยือนสำนักมหาอำนาจต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ สำนักเต๋าสวรรค์ สันเขาทรราช ภูเขาฟีนีกซ์และอีกหลายสำนัก และทุกสำนักที่เขาไปจะต้องมีเหตุการณ์นองเลือดเกิดขึ้น แต่มันก็มีเพียงสำนักเดียวที่ถูกเขาทำลายลงอย่างราบคาบ ซึ่งก็คือสำนักวายุคลั่ง”

“เหตุผลที่สำนักวายุคลั่งถูกทำลายลงนั้นเป็นเพราะพวกเขาสมรู้ร่วมคิดกับพวกเผ่าอสูรคอยทำหน้าที่ลักพาตัวมนุษย์เพื่อนำไปให้กับพวกเผ่าอสูรกิน จากข้อมูลทั้งหมดที่พวกข้ามี พวกข้าก็นึกได้ว่ากองกำลังเหล่านั้นทั้งหมดเคยมีสัมพันธ์กับคนผู้นั้น ส่วนพวกอสูรก็มีความขัดแย้งกับคนผู้นั้นอย่างรุนแรงในอดีต ดังนั้นพวกข้าจึงพอจะเดาได้คร่าว ๆ ว่าหลิงตู้ฉิงอาจจะเป็นคนผู้นั้นกลับชาติมาเกิด แค่พวกเรายังไม่มีหลักฐานเพียงพอเท่านั้นที่จะยืนยันเรื่องนี้ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงยอมตกลงมากับเจ้าที่นี่ในตอนแรก เจ้าน่าจะรู้ใช่ไหมว่าพวกภูตนางฟ้าเคยมีผู้ใดหนุนหลัง?”

ไป๋หลีเหวินเซี่ยงครุ่นคิดรวบรวมข้อมูลอยู่ในหัวสักพัก จากนั้นเขาตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าตกตะลึง “นี่ท่านสงสัยว่า หลิงตู้ฉิงเป็นคนผู้นั้นงั้นเหรอ?”

“ก็ทุกอย่างมันดูสมเหตุสมผลดีจริงไหมล่ะ?” เหรินฉิงชานหัวเราะ

“เขาฆ่าคนของอาณาจักรอ้าวเฟิงไปมากขนาดนั้น ดังนั้นมันก็น่าจะเป็นเขา ไม่น่าจะเป็นคนอื่นไปได้ไม่ใช่เหรอ?” ไป๋หลีเหวินเซี่ยงถามอีกรอบด้วยสีหน้าหวาดกลัว