บทที่ 690 สรรพสิ่งคงเดิม แต่คนเปลี่ยนแปลง

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

บทที่ 690 สรรพสิ่งคงเดิม แต่คนเปลี่ยนแปลง

โจวอู่นีหัวเราะ เจียงเหิงเห็นหล่อนหัวเราะจึงหัวเราะตามเช่นกัน

ภรรยาของเขาสิดี อ่อนโยนใส่ใจผู้อื่นแถมยังใจกว้าง ไม่เหมือนพี่สะใภ้ใหญ่ของเขา เอาแต่คิดเล็กคิดน้อยไม่จบไม่สิ้น

อย่าคิดว่าเขาไม่รู้นะว่าหล่อนนั่นแหละที่ยุยงให้แม่เขาบอกให้น้องสาวสองคนของเขามาอยู่นี่

“ปีใหม่ปีนี้รับแม่คุณมาอยู่ด้วยดีไหมครับ” เจียงเหิงกล่าว

“แม่ฉันอาจจะไม่ว่างน่ะค่ะ ปกติสิ้นปีจะงานยุ่ง” โจวอู่นีบอก

เดี๋ยวนี้ธุรกิจทำง่ายขึ้นเรื่อย ๆ ร้านของพ่อแม่หล่อนถือว่าขายดีใช้ได้ โดยเฉพาะช่วงสิ้นปี ปกติแล้วจะยุ่งมาก

“งั้นถ้าคุณว่างช่วงไหนก็โทรกลับไปหาคุณแม่บ่อย ๆ หน่อยแล้วกันครับ” เจียงเหิงกล่าว

สำหรับเจียงเหิงแล้ว บ้านแม่ยายเขาดีกว่าบ้านแม่แท้ ๆ ของตัวเองเสียอีก

เวลาแม่ยายมีอะไรดี ๆ จะนึกถึงทางนี้เสมอ ไม่ต้องพูดถึงสินสอดแต่งงานเมื่อปีที่แล้วเลย ไหนจะห่อที่ส่งผ่านไปรษณีย์มาทีหลังอีก ซึ่งข้างในนั้นเต็มไปด้วยอาหารแห้ง

มีทั้งเนื้อแดดเดียวทั้งเห็ด ใจดีกับพวกเขาสองสามีภรรยามาก

โจวอู่นีต้องพอใจมากเป็นธรรมดา ตอนคุยโทรศัพท์กับสะใภ้สามโจวจึงเล่าท่าทางของเจียงเหิงให้ฟัง

สะใภ้สามโจวเอ่ยยิ้ม ๆ “พวกเธอสองคนมีชีวิตที่ดีกันก็พอแล้ว ถ้าแม่ว่างจะไปหาลูกนะ ยังไงบ้านอาสะใภ้สี่ก็หาง่ายอยู่แล้ว”

หลังลงจากรถไฟไปต่อรถอีกหนึ่งชั่วโมงครึ่งก็ถึง แน่นอนว่าไม่ได้ถึงหน้าบ้านเลย แต่ถึงโรงเรียน ตรงไปตามถนนที่ผ่านโรงเรียนจะเจอโรงพยาบาล เดินต่อไปเรื่อย ๆ ก็ใกล้ถึงแล้ว

ถึงระยะทางจะไม่ใกล้ แต่ก็จำง่ายมาก

สองแม่ลูกคุยกันไปสักพักถึงวางสาย แต่ทันทีที่วางสาย น้องสะใภ้สามหลินก็มา

สะใภ้สามโจวเห็นหล่อนมีสีหน้าไม่ค่อยดีจึงถามขึ้น “เป็นอะไรไปจ๊ะ?”

“พ่อสามีฉันเข้าโรงพยาบาล ดูท่าคงจะไม่รอดแล้วน่ะค่ะ” น้องสะใภ้สามหลินบอก

ท่านแม่หลินเสียชีวิตไปเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว แต่ท่านพ่อหลินอยู่มาจนถึงบัดนี้ ทว่าเดี๋ยวนี้ชราภาพลงมาก เมื่อคืนไข้ขึ้นสูงจนวันนี้ต้องเข้าโรงพยาบาล ด้วยความที่เขาอายุมากแล้ว ตอนนี้จึงเริ่มพูดไม่รู้เรื่อง

จะว่าไปคงถึงเวลาของเขาแล้วล่ะ หลายปีมานี้เขามีสุขภาพไม่ค่อยจะดีนัก

สะใภ้สามโจวเข้าใจ จึงโทรศัพท์ไปที่เรือนสี่ประสาน หลินชิงเหอไม่อยู่บ้านเพราะอยู่ที่ห้องทำงานการแปล ส่วนโจวชิงไป๋อยู่ที่ร้านขายชา เป็นเจ้าสามที่ร้อนจนเหงื่อแตกเลยกลับบ้านไปอาบน้ำ ถึงได้ยินจากอาอี๋จ้าวว่าที่บ้านเกิดโทรมา บอกว่ามีเรื่องด่วน

พอได้อาบน้ำร่างกายก็สดชื่น เจ้าสามจึงโทรกลับไปหาป้าสะใภ้สามของเขา

จากนั้นก็ได้ยินเรื่องของคุณตาคนนั้น

กับบ้านทางฝั่งแม่ ครอบครัวเขายอมรับแค่น้าเล็กคนเดียว ไม่ยอมรับใครอื่นอีก

แต่คราวก่อนที่ยายของเขาเสียชีวิต แม่เขาก็ไม่ยอมให้พวกเขากลับไป ครั้งนั้นไม่ใช่เรื่องสมควรเลย พวกเขาควรจะได้กลับไปสิ

ครั้งนี้ก็ควรจะเป็นเช่นนั้น เจ้าสามจึงให้คำตอบในโทรศัพท์เลยว่าครอบครัวเขาจะกลับไปแน่นอน

เสร็จแล้วเขาจึงโทรหาพี่ใหญ่เขาที่กองทัพ ตอนแรกพี่ใหญ่เขาจะออกไปปฏิบัติภารกิจ แต่คราวนี้ช่วยไม่ได้ ต้องให้คนอื่นไปแทน

เวิงเหม่ยเจี่ยไม่ได้กลับมาด้วย ท้องของหล่อนโตแล้วจึงเดินทางไม่ค่อยสะดวก อย่างไรเสียหล่อนก็ท้องอยู่

ที่เหลือก็คือพี่รองเขา ซึ่งต้องบอกเหมือนกัน

หลังจากแจ้งทุกคนเรียบร้อยแล้ว เจ้าสามถึงหยิบกุญแจรถออกจากบ้านไปบอกแม่เขา

หลินชิงเหอทราบข่าวแล้วก็พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้แล้ว ส่วนถ้าถามว่ารู้สึกโศกเศร้าหรือไม่นั้น คงเป็นคำว่าไม่

แต่อย่างไรต้องกลับไปร่วมงานศพอยู่ดี

เธอออกมาที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะเพื่อโทรกลับหาสะใภ้สามโจว และสอบถามรายละเอียด

“ฉันได้ยินน้องสะใภ้เธอบอกว่าครั้งนี้คงไม่รอดแล้ว ทางโรงพยาบาลก็ออกใบแจ้งแล้วว่าวิกฤติ ให้เริ่มเตรียมงานศพได้แล้ว” สะใภ้สามโจวบอก

ท่านพ่อหลินได้จากไปในคืนนั้นเอง

ซึ่งหน้าร้อนแบบนี้เก็บศพไว้นานไม่ได้

ดังนั้น หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋จึงพาเจ้าสาม หลินซิ่ว และสาวน้อยมี่มี่เดินทางกลับกันตั้งแต่วันรุ่งขึ้น

เจ้าใหญ่และเจ้ารองต่างคนต่างนั่งรถไฟกลับมา เวลาคลาดเคลื่อนกันไม่มาก

หลังจากมาถึงอำเภอแล้ว ก็ให้เจ้าสามไปอยู่บ้านน้าเล็กของเขา ส่วนหลินชิงเหอและโจวชิงไป๋พาสาวน้อยมี่มี่กลับไปอยู่ที่หมู่บ้าน

เนื่องจากพี่สามโจวบอกไว้ก่อนแล้ว สะใภ้ใหญ่โจวจึงเก็บกวาดบ้านไว้อย่างเรียบร้อย

ตอนนี้ที่บ้านสะอาดสะอ้านมาก

หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋พามี่มี่มากินข้าวที่นี่ และเอ่ยยิ้ม ๆ “พอกลับมาแต่ละที พี่สะใภ้ใหญ่ก็ทำความสะอาดไว้ซะเรียบร้อยเชียวนะคะ”

“ไม่ได้เปลืองแรงอะไรหรอกจ้ะ ที่บ้านมีพัดลมอีก เดี๋ยวอาสี่เอากลับไปด้วยตัวหนึ่ง อากาศแบบนี้ไม่มีพัดลมไม่ได้หรอก” สะใภ้ใหญ่โจวกล่าว

หลังกินข้าวที่นี่เสร็จ โจวชิงไป๋จึงอุ้มลูกสาวคนเล็กไปเดินเล่นในหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านชอบเธอสุด ๆ ได้ข่าวว่าโจวชิงไป๋และหลินชิงเหอมีลูกสาวตอนแก่เพิ่มมาอีกคน แต่ยังไม่เคยเห็น พอได้เจอแล้วหน้าตาสวยจริง ๆ เลย

อย่างกับนางฟ้าตัวน้อย ๆ

หลินชิงเหอไม่ได้ออกไปอวดลูกสาวตัวเองเหมือนโจวชิงไป๋ เธออยู่คุยกับสะใภ้ใหญ่โจว

นอกจากเรื่องที่บ้านหลินแล้ว ก็เหลือแต่โจวลิ่วนี

“ไม่รู้ว่าไปไหนคนเดียว ปีที่แล้วกลับมาครั้งหนึ่งก็ไม่กลับมาอีกเลย ยืมพี่ไป 200 หยวนด้วย” สะใภ้ใหญ่โจวกล่าว

ตอนแรกโจวลิ่วนีเรียกเงินก้อนโต จะขอยืมถึง 1,000 หยวน แต่สะใภ้ใหญ่โจวจะให้หล่อนยืมเงินมากมายขนาดนั้นได้อย่างไรกัน? เลยให้หล่อนยืมไปแค่ 200 เท่านั้น

ข้ออ้างที่โจวลิ่วนีใช้คือจะเอาไปคืนพ่อของหล่อน จะได้ไม่โดนพ่อด่า

ใครจะรู้ว่ายืมเงินไปได้วันเดียวหล่อนก็จากไปเลยตั้งแต่วันรุ่งขึ้น ส่วนไปไหนนั้นไม่มีใครรู้ จนบัดนี้ยังไร้ซึ่งข่าวคราว

หลินชิงเหอไม่สนใจโจวลิ่วนี ไม่ว่าหล่อนจะเกิดใหม่หรือทะลุมิติมา ทุกคนก็ต้องชดใช้ให้กับการกระทำของตัวเอง

เดินอยู่บนเส้นทางที่ดีก็จะได้ผลดี เดินอยู่บนเส้นทางไม่ดีก็ต้องได้ผลไม่ดี

แต่ในฐานะ ‘ผู้มาก่อนกาล’ ยังไงโจวลิ่วนีก็ดำเนินชีวิตไปได้ไม่แย่นักหรอก เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง หากมีความสามารถก็พอจะซื้อบ้านสักหลังสองหลังในเมืองชั้นนำได้ ก็ได้กำไรเห็น ๆ

เสียงโจวชิงไป๋คุยกับพี่รองโจวดังมาจากนอกประตู

หลินชิงเหอจึงเดินออกมาทักทาย เมื่อเห็นสภาพของพี่รองโจวแล้วหลินชิงเหอก็ต้องผงะ

ตอนที่เธอทะลุมิติมาพี่รองโจวยังหนุ่มอยู่เลย พริบตาเดียวผ่านไปแล้ว 20 ปี

ปีนี้พี่รองโจวอายุไม่น้อยแล้วจริง ๆ แต่สภาพของเขาดูแก่เกินไป แถมผอมแห้งไปทั้งตัว

หลินชิงเหอเห็นแล้วยังสงสาร

พูดกันตามตรง พี่รองโจวไม่ใช่คนเลวร้าย ถือว่าเป็นคนดีเลยด้วยซ้ำ แต่ภายในพริบตาเดียว สรรพสิ่งคงเดิมทว่าคนกลับเปลี่ยนแปลงไป

“น้องสะใภ้คงคิดว่าฉันแก่ขึ้นเยอะเลยใช่ไหม?” พี่รองโจวเอ่ยยิ้ม ๆ

“ของที่ปีนี้ฉันฝากพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่เอากลับมาเป็นของบำรุงทั้งนั้น พี่รองได้ตุ๋นกินไหมคะ” หลินชิงเหอถาม

“แม่ลิ่วนีเอาไปไว้ในเมืองหมดแล้ว” พี่รองโจวยังไม่ทันตอบ สะใภ้ใหญ่โจวก็ชิงตอบก่อน

“เซี่ยเซี่ยก็มีไม่ใช่เหรอคะ?” หลินชิงเหอเอ่ย

ได้กันทุกบ้าน ปริมาณเท่ากัน

“บ้านนั้นมี แต่แม่ลิ่วนีหาว่าน้อยเลยเอาไปด้วย” สะใภ้ใหญ่โจวกล่าว

“เอาไปก็เอาไปเถอะ ฉันไม่ต้องกินของแบบนั้นหรอก” พี่รองโจวยิ้ม

……………………………………………