เล่มที่ 31 เล่มที่ 31 ตอนที่ 916 อาหลีจะอยู่ด้วยตลอดไป

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

บุรุษผู้ใดจะทนให้สตรีของตนถามถึงบุรุษอีกคนกับตนเองได้?

ยิ่งไปกว่านั้นคือเยี่ยโยวเหยา?

เกือบจะทันทีที่ซูจิ่นซีเอ่ยปากถาม ดวงตาดำขลับลึกล้ำของเยี่ยโยวเหยาพลันปรากฏแสงเย็นยะเยือก ทว่าไม่นานนัก แสงนั้นก็หรี่ลงและถูกความอบอุ่นเข้ามาแทนที่

เยี่ยโยวเหยาคว้ามือของซูจิ่นซีและพยายามรวบนางเข้าสู่อ้อมแขนตนเอง กลับไม่คิดว่าซูจิ่นซีจะมีสีหน้าหวาดกลัวและเสียงสั่นจนเกือบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

“เยี่ยโยวเหยา อวิ๋นจิ่นอยู่ที่ใด? ”

เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาอ้าปากค้างยังไม่ทันได้พูด ซูจิ่นซีก็เอ่ยปากพูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า “หรือว่า… ”

เดิมนางคิดว่าอวิ๋นจิ่นตายแล้ว ทว่าเมื่อนึกถึงเรื่องพันธสัญญาความเป็นความตายขึ้นมาจึงรู้ว่าเป็นไปไม่ได้

“เขาเป็นอย่างไรกันแน่? ท่านอ๋องพูด พูดออกมา! ”

“ซูจิ่นซี! ”

เยี่ยโยวเหยากัดฟันกรอด พลางคว้าตัวซูจิ่นซีอีกครั้ง ทว่าซูจิ่นซีผลักเขาออกทันที

ไม่รู้ว่าซูจิ่นซีที่อ่อนแอในตอนนี้เอาเรี่ยวแรงมากมายมาจากที่ใด นางผลักร่างสูงใหญ่ของเยี่ยโยวเหยาออกไปจนกระแทกกับผนังรถม้า

ทันใดนั้น ไอรอบตัวของเยี่ยโยวเหยาก็เย็นชาขึ้นอย่างฉับพลัน ทว่าซูจิ่นซีไม่รับรู้ถึงมันแม้แต่น้อย

“พระชายา… ”

ทันใดนั้น เสียงที่ราวกับดอกไม้ไฟในเดือนสาม ราวกับดอกไม้ร่วงหล่นลอยผ่านสายธารและอบอุ่นเป็นอย่างมากก็ดังขึ้น

ซูจิ่นซีหันขวับและเปิดม่านรถม้าขึ้น

ผืนทรายเต็มท้องฟ้าไกลสุดลูกหูลูกตา อาทิตย์อัสดงดั่งไฟแผดเผาอยู่บนเส้นขอบฟ้า เม็ดทรายสีเหลืองบนทะเลทรายที่สวยงามชวนหลงใหล

ทว่าต่อให้ทิวทัศน์งดงามเพียงใดก็ไม่งดงามเท่าผู้ที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อพลิ้วไหวสีแดงราวกับเปลวเพลิงผู้นั้น

เห็นได้ชัดว่าเป็นเดือนสิบสองตามปฏิทินจันทรคติ เห็นได้ชัดว่าเป็นทะเลทรายทางตอนเหนือที่แห้งแล้ง ทว่าคนผู้นั้นกลับแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยน ทำให้ทะเลทรายแห้งแล้งในฤดูอันหนาวเหน็บนี้เต็มไปด้วยกลีบดอกท้อร่วงหล่นในฤดูใบไม้ผลิเดือนสาม

ดอกไม้ที่เป็นของซูจิ่นซี

ภายในใจของซูจิ่นซีรู้สึกเป็นกังวล กระวนกระวาย ไม่มั่นคง เจ็บปวด และร้อนใจ การแสดงออกทั้งหมดถูกรอยยิ้มท่ามกลางทะเลทรายนั้นพัดพาไปในครั้งเดียวจนไม่เหลือแม้แต่น้อย

ในชั่วพริบตา ซูจิ่นซีมองอวิ๋นจิ่นตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เท้าจรดศีรษะอยู่หลายครั้ง

แม้จะเห็นว่าอวิ๋นจิ่นอยู่ในสภาพเป็นปกติ ทว่าซูจิ่นซีก็ยังคงถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“ท่าน… ไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่? ”

อวิ๋นจิ่นตอบรับเสียงอ่อนโยน “พระชายาทรงวางพระทัยได้ กระหม่อมไม่เป็นอันใดพ่ะย่ะค่ะ”

ซูจิ่นซีท่าทางราวกับเด็ก นางแย้มยิ้มมุมปาก น้ำตาไหลอาบแก้มตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ทำเพียงพยักหน้าไม่หยุด

“ไม่เป็นอันใดก็ดี ไม่เป็นอันใดก็ดี… ไม่เป็นอันใดก็ดี! ”

ไม่รู้ว่าพูดซ้ำอยู่กี่ครั้ง รอยยิ้มบนใบหน้าของอวิ๋นจิ่นแทบจะอดกลั้นไม่ไหวแล้ว

ทันใดนั้น… ซูจิ่นซีก็ถูกลากเข้าไปในรถม้า

โลกเบื้องหน้าหมุนวนอยู่ครู่หนึ่ง ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงจนซูจิ่นซีรู้เพียงว่ากระดูกทั้งร่างของตนเองกำลังจะแตกเป็นชิ้นๆ

เสียงเย็นชาของเยี่ยโยวเหยาดังขึ้นข้างใบหู

“ซูจิ่นซี ต่อหน้าข้า… เจ้าทำเหมือนว่าข้าตายไปแล้วหรือ? ”

เสียงนั้นดังก้องขึ้นในสมองของซูจิ่นซี นางยังไม่ทันได้พูดอันใด การจุมพิตที่เอาแต่ใจและทรงพลังก็โหมกระหน่ำบดขยี้ริมฝีปากของนาง

ซูจิ่นซีถูกกดแนบโต๊ะตัวเล็กภายในรถม้าโดยไม่มีช่องว่างให้ต่อต้านและไม่มีกำลังขัดขืนแม้แต่น้อย

การจุมพิตที่เอาแต่ใจของเยี่ยโยวเหยาเลื่อนจากริมฝีปากของนางไปที่พวงแก้ม ซุกไซ้มาถึงบริเวณซอกคอด้วยความโมโหและเหมือนการลงโทษอย่างสุดซึ้ง ฝ่ามือใหญ่เร่าร้อนเคล้นคลึงบนร่างของนางอย่างบ้าคลั่งราวกับม้าป่าที่หลุดพ้นจากพันธนาการโดยไม่สนใจสิ่งใด

เมื่อได้ยินเสียงเสื้อผ้าฉีกขาด หน้าอกพลันรู้สึกเย็นวาบ ซูจิ่นซีเพิ่งค้นพบว่าการกระทำของเยี่ยโยวเหยาไม่ใช่การลงโทษและยิ่งไม่ใช่การระบายความโกรธ ทว่าเป็นการกระทำที่ต้องการครอบครอง ต้องการครอบครองทั้งหมดโดยไม่สนสิ่งใด

นางใช้กำลังทั้งหมดที่มีผลักเยี่ยโยวเหยาออกไป

“เยี่ยโยวเหยา อย่า เยี่ยโยวเหยา… เยี่ยโยวเหยา… ”

ทว่าดวงตาทั้งสองของเยี่ยโยวเหยากลับแดงฉานราวกับว่าไม่ได้ยินอันใด เขายังคงปล้นสวาทอย่างบ้าคลั่ง ต้องการเอาชนะโดยไม่สนทุกสิ่ง

มือของซูจิ่นซีถูกเยี่ยโยวเหยาจับไว้แน่นอยู่ข้างลำตัวอย่างไร้ผล นางดิ้นรนอยู่หลายครั้ง ทว่าทั้งร่างกลับไร้เรี่ยวแรงและไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไป

นางประหม่า หวาดกลัว และเรียกชื่อเยี่ยโยวเหยาไม่หยุด ทว่าเยี่ยโยวเหยาราวกับถูกครอบงำไปแล้ว พลังในการลงมือไร้ซึ่งความสงสาร

จนในที่สุด… ซูจิ่นซีก็น้ำตาไหลอาบสองแก้มอีกครั้ง

“เยี่ยโยวเหยา อย่า ท่านอย่าเป็นเช่นนี้! ยังมีทารกในครรภ์อีก… ”

ไม่ว่าร่างกายของตนเองจะถูกลงโทษมากเท่าไร นางไม่หวาดกลัว ทว่าวันนี้ต่างออกไป ทารกในครรภ์รอดมาอย่างยากลำบาก นางไม่อาจปล่อยให้ทารกเป็นอันใดไปได้อีก

ทันทีที่สิ้นเสียงของซูจิ่นซีที่เอ่ยถึงทารกในครรภ์ เยี่ยโยวเหยาก็หยุดการกระทำลงในทันใด ทว่าศีรษะของเขายังคงฝังลึกอยู่ในซอกคอของซูจิ่นซีโดยไม่ได้ผละออก

ร่างของซูจิ่นซีตึงเครียด หลังผ่านไปครู่ใหญ่ เส้นประสาทจึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง

นางรู้ดีว่าเพราะเหตุใดอารมณ์ของเยี่ยโยวเหยาถึงเป็นเช่นนี้

ทว่าการที่บุรุษผู้นั้นเสียสละให้นางมากถึงเพียงนี้ นางไม่อาจเพิกเฉยต่อความเป็นความตายของเขาได้

สำหรับเยี่ยโยวเหยา ความรู้สึกของนางชัดเจนมาก ความแน่วแน่ในความเป็นตายร่วมกันก็ชัดเจนมากเช่นกัน ทว่าสำหรับบุรุษผู้นั้น หลายครั้งที่นางควบคุมชีวิตตนเองไม่ได้…

นางคิดคำพูดมากมายเพื่อปลอบโยนเยี่ยโยวเหยา ทว่าเมื่อคำพูดมาถึงมุมปาก ก็ราวกับว่ามีบางอย่างติดลึกอยู่ในลำคอจนพูดไม่ออกสักประโยค

นางอ้าปากค้างอยู่นาน ทว่าพูดออกมาได้เพียงสามคำ “เยี่ยโยวเหยา… ”

เยี่ยโยวเหยาทุบกำปั้นลงบนโต๊ะข้างซูจิ่นซีดัง ‘ปัง’ โต๊ะชาทำจากไม้คุณภาพสูงแตกออกเป็นสองท่อน

ซูจิ่นซีสะดุ้งตกใจอย่างรุนแรง นางกัดริมฝีปากแน่นโดยไม่ได้พูด

บรรยากาศในรถม้าตึงเครียดถึงขีดสุด

ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง จนกระทั่งซูจิ่นซีรู้สึกว่าร่างกายของตนเองกำลังหนาวเย็นท่ามกลางอากาศที่เย็นยะเยือก กำปั้นของเยี่ยโยวเหยาก็ค่อยๆ คลายออก เขาห่อเสื้อผ้าให้ซูจิ่นซี

นางมองไม่เห็นใบหน้าของเขา ทว่าได้ยินเพียงเสียงอดกลั้นอย่างเหลือทน น้ำเสียงตะกุกตะกักอันแผ่วเบา ทำให้นางรู้สึกปวดร้าว

“ซีซี ข้าขอโทษ… ”

ดวงตาของซูจิ่นซีร้อนผ่าว ทันทีที่เยี่ยโยวเหยาลุกขึ้น นางก็ลุกตามและกอดเยี่ยโยวเหยาเอาไว้แน่น

“เยี่ยโยวเหยา ควรเป็นข้าที่พูดขอโทษท่าน… เป็นข้า”

เยี่ยโยวเหยาตัวแข็งทื่อ เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น หลังจากนิ่งค้างอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็โอบซูจิ่นซีเข้าสู่อ้อมแขนตนเอง

เรื่องในอดีตชาติ ชะตาชีวิตหลายชั่วอายุ ผู้ใดมั่นคง ผู้ใดลืมเลือน ผู้ใดสูญเสีย ผู้ใดเฝ้ารอ ล่วงเลยมาหลายพันปี ภายในกงล้อแห่งโชคชะตา ทั้งสามคนพัวพันยุ่งเหยิงกันมานาน ผู้ใดติดค้างผู้ใด ไม่มีผู้ใดสามารถบอกได้ชัดเจน?

ในช่วงที่ซูจิ่นซีถูกเยี่ยโยวเหยาดึงเข้าไปในรถม้า องครักษ์วิหารวิญญาณรู้ชัดเจนว่าจะเกิดอันใดขึ้นเร็วๆ นี้ เช่นเคยเหมือนทุกครั้ง พวกเขาหันหลังกลับอย่างคนรู้งาน

หลังจากแม่นมฮวายืนเหม่ออยู่ครู่หนึ่ง จึงรีบดึงลวี่หลีไปอยู่ด้านหลังอย่างรวดเร็ว

มีอวิ๋นจิ่นเพียงผู้เดียวที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมอย่างยึดติดราวกับต้นท้อ

เสียงกระดิ่งอูฐ ผืนทรายสีเหลืองทั่วทั้งทะเลทราย อาทิตย์อัสดงดั่งเปลวไฟ รอยยิ้มอบอุ่นราวกับดอกไม้บนใบหน้าของเขาค่อยๆ หุบลงและแทนที่ด้วยท่าทีห่างเหิน อ้างว้าง และหดหู่

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อ้างว้างยิ่งกว่าท่าทางนั้นก็คือร่างขาวนวลราวพระจันทร์ที่พลิ้วไหวตามสายลมท่ามกลางผืนทรายอย่างต่อเนื่อง

จากการเคลื่อนไหวของรถม้า มีเสียงดังมาจากภายในรถม้า เขาก็พอจะเดาออกว่าเกิดอันใดขึ้นในรถม้า ทว่าไม่มีผู้ใดสามารถมองทะลุหัวใจของเขาผ่านการแสดงออกบนใบหน้าได้

ร่างนั้นยืนอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ท่ามกลางทะเลทรายเป็นเวลานาน จนภายในรถม้าไม่มีเสียงใดดังขึ้นอีก “จี๊ด จี๊ด จี๊ด… ” จิ้งจอกน้อยที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด วิ่งออกมาราวกับก้อนสำลีและกลิ้งไปที่เท้าของอวิ๋นจิ่น อุ้งเท้าน้อยดึงชายผ้าของอวิ๋นจิ่นอย่างเรียกร้องความสนใจ

แววตาของอวิ๋นจิ่นค่อยๆ เคลื่อนจากรถม้าที่อยู่ไกลออกไปมาที่ดวงตาสว่างพร่างพราวราวกับผลึกแก้วของจิ้งจอกน้อย ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจความคิดของจิ้งจอกน้อย เขายกยิ้มมุมปากเพื่อปลอบใจและยื่นมือไปหาจิ้งจอกน้อย

จิ้งจอกน้อยกระโดดเข้าสู่อ้อมแขนของอวิ๋นจิ่น

อวิ๋นจิ่นไม่ได้เหลือบมองรถม้าอีก เขากอดจิ้งจอกน้อยและค่อยๆ เดินไปยังพระอาทิตย์ตกสีแดงเพลิงที่ห่างไกลออกไป

ภายใต้แสงอาทิตย์ยามอัสดง มีคนหนึ่งคน จิ้งจอกหนึ่งตัว หนึ่งความเงียบ หนึ่งการเคลื่อนไหว

จิ้งจอกน้อยถูไถศีรษะเข้ากับไหล่ของอวิ๋นจิ่นไม่หยุด หางที่แผ่กว้างราวกับพัดสานสั่นกระดิกอยู่ข้างหูอวิ๋นจิ่นอย่างต่อเนื่อง ราวกับกำลังปลอบโยนและระบายความไม่พอใจบางอย่างออกมาด้วย

น่าโมโห!

เทพธิดาปฏิบัติกับคุณชายเช่นนี้ได้อย่างไร?

นางปฏิบัติกับคุณชายเช่นนี้ได้อย่างไร?

ทว่าบอกไม่ได้ว่าเทพธิดาผิดตรงที่ใด

คุณชาย ท่านอย่าได้เสียใจไปเลย!

อาหลี [1] อยู่กับท่าน!

อาหลีจะอยู่เคียงข้างท่านเสมอ!

ต่อให้ฟ้าถล่ม ต่อให้ทะเลเหือดแห้ง หินพังทลาย!

อาหลีจะอยู่ตลอดไป

……

เชิงอรรถ

[1] หลี แปลว่า จิ้งจอก