บุรุษผู้ใดจะทนให้สตรีของตนถามถึงบุรุษอีกคนกับตนเองได้?
ยิ่งไปกว่านั้นคือเยี่ยโยวเหยา?
เกือบจะทันทีที่ซูจิ่นซีเอ่ยปากถาม ดวงตาดำขลับลึกล้ำของเยี่ยโยวเหยาพลันปรากฏแสงเย็นยะเยือก ทว่าไม่นานนัก แสงนั้นก็หรี่ลงและถูกความอบอุ่นเข้ามาแทนที่
เยี่ยโยวเหยาคว้ามือของซูจิ่นซีและพยายามรวบนางเข้าสู่อ้อมแขนตนเอง กลับไม่คิดว่าซูจิ่นซีจะมีสีหน้าหวาดกลัวและเสียงสั่นจนเกือบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
“เยี่ยโยวเหยา อวิ๋นจิ่นอยู่ที่ใด? ”
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาอ้าปากค้างยังไม่ทันได้พูด ซูจิ่นซีก็เอ่ยปากพูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า “หรือว่า… ”
เดิมนางคิดว่าอวิ๋นจิ่นตายแล้ว ทว่าเมื่อนึกถึงเรื่องพันธสัญญาความเป็นความตายขึ้นมาจึงรู้ว่าเป็นไปไม่ได้
“เขาเป็นอย่างไรกันแน่? ท่านอ๋องพูด พูดออกมา! ”
“ซูจิ่นซี! ”
เยี่ยโยวเหยากัดฟันกรอด พลางคว้าตัวซูจิ่นซีอีกครั้ง ทว่าซูจิ่นซีผลักเขาออกทันที
ไม่รู้ว่าซูจิ่นซีที่อ่อนแอในตอนนี้เอาเรี่ยวแรงมากมายมาจากที่ใด นางผลักร่างสูงใหญ่ของเยี่ยโยวเหยาออกไปจนกระแทกกับผนังรถม้า
ทันใดนั้น ไอรอบตัวของเยี่ยโยวเหยาก็เย็นชาขึ้นอย่างฉับพลัน ทว่าซูจิ่นซีไม่รับรู้ถึงมันแม้แต่น้อย
“พระชายา… ”
ทันใดนั้น เสียงที่ราวกับดอกไม้ไฟในเดือนสาม ราวกับดอกไม้ร่วงหล่นลอยผ่านสายธารและอบอุ่นเป็นอย่างมากก็ดังขึ้น
ซูจิ่นซีหันขวับและเปิดม่านรถม้าขึ้น
ผืนทรายเต็มท้องฟ้าไกลสุดลูกหูลูกตา อาทิตย์อัสดงดั่งไฟแผดเผาอยู่บนเส้นขอบฟ้า เม็ดทรายสีเหลืองบนทะเลทรายที่สวยงามชวนหลงใหล
ทว่าต่อให้ทิวทัศน์งดงามเพียงใดก็ไม่งดงามเท่าผู้ที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อพลิ้วไหวสีแดงราวกับเปลวเพลิงผู้นั้น
เห็นได้ชัดว่าเป็นเดือนสิบสองตามปฏิทินจันทรคติ เห็นได้ชัดว่าเป็นทะเลทรายทางตอนเหนือที่แห้งแล้ง ทว่าคนผู้นั้นกลับแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยน ทำให้ทะเลทรายแห้งแล้งในฤดูอันหนาวเหน็บนี้เต็มไปด้วยกลีบดอกท้อร่วงหล่นในฤดูใบไม้ผลิเดือนสาม
ดอกไม้ที่เป็นของซูจิ่นซี
ภายในใจของซูจิ่นซีรู้สึกเป็นกังวล กระวนกระวาย ไม่มั่นคง เจ็บปวด และร้อนใจ การแสดงออกทั้งหมดถูกรอยยิ้มท่ามกลางทะเลทรายนั้นพัดพาไปในครั้งเดียวจนไม่เหลือแม้แต่น้อย
ในชั่วพริบตา ซูจิ่นซีมองอวิ๋นจิ่นตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เท้าจรดศีรษะอยู่หลายครั้ง
แม้จะเห็นว่าอวิ๋นจิ่นอยู่ในสภาพเป็นปกติ ทว่าซูจิ่นซีก็ยังคงถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ท่าน… ไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่? ”
อวิ๋นจิ่นตอบรับเสียงอ่อนโยน “พระชายาทรงวางพระทัยได้ กระหม่อมไม่เป็นอันใดพ่ะย่ะค่ะ”
ซูจิ่นซีท่าทางราวกับเด็ก นางแย้มยิ้มมุมปาก น้ำตาไหลอาบแก้มตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ทำเพียงพยักหน้าไม่หยุด
“ไม่เป็นอันใดก็ดี ไม่เป็นอันใดก็ดี… ไม่เป็นอันใดก็ดี! ”
ไม่รู้ว่าพูดซ้ำอยู่กี่ครั้ง รอยยิ้มบนใบหน้าของอวิ๋นจิ่นแทบจะอดกลั้นไม่ไหวแล้ว
ทันใดนั้น… ซูจิ่นซีก็ถูกลากเข้าไปในรถม้า
โลกเบื้องหน้าหมุนวนอยู่ครู่หนึ่ง ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงจนซูจิ่นซีรู้เพียงว่ากระดูกทั้งร่างของตนเองกำลังจะแตกเป็นชิ้นๆ
เสียงเย็นชาของเยี่ยโยวเหยาดังขึ้นข้างใบหู
“ซูจิ่นซี ต่อหน้าข้า… เจ้าทำเหมือนว่าข้าตายไปแล้วหรือ? ”
เสียงนั้นดังก้องขึ้นในสมองของซูจิ่นซี นางยังไม่ทันได้พูดอันใด การจุมพิตที่เอาแต่ใจและทรงพลังก็โหมกระหน่ำบดขยี้ริมฝีปากของนาง
ซูจิ่นซีถูกกดแนบโต๊ะตัวเล็กภายในรถม้าโดยไม่มีช่องว่างให้ต่อต้านและไม่มีกำลังขัดขืนแม้แต่น้อย
การจุมพิตที่เอาแต่ใจของเยี่ยโยวเหยาเลื่อนจากริมฝีปากของนางไปที่พวงแก้ม ซุกไซ้มาถึงบริเวณซอกคอด้วยความโมโหและเหมือนการลงโทษอย่างสุดซึ้ง ฝ่ามือใหญ่เร่าร้อนเคล้นคลึงบนร่างของนางอย่างบ้าคลั่งราวกับม้าป่าที่หลุดพ้นจากพันธนาการโดยไม่สนใจสิ่งใด
เมื่อได้ยินเสียงเสื้อผ้าฉีกขาด หน้าอกพลันรู้สึกเย็นวาบ ซูจิ่นซีเพิ่งค้นพบว่าการกระทำของเยี่ยโยวเหยาไม่ใช่การลงโทษและยิ่งไม่ใช่การระบายความโกรธ ทว่าเป็นการกระทำที่ต้องการครอบครอง ต้องการครอบครองทั้งหมดโดยไม่สนสิ่งใด
นางใช้กำลังทั้งหมดที่มีผลักเยี่ยโยวเหยาออกไป
“เยี่ยโยวเหยา อย่า เยี่ยโยวเหยา… เยี่ยโยวเหยา… ”
ทว่าดวงตาทั้งสองของเยี่ยโยวเหยากลับแดงฉานราวกับว่าไม่ได้ยินอันใด เขายังคงปล้นสวาทอย่างบ้าคลั่ง ต้องการเอาชนะโดยไม่สนทุกสิ่ง
มือของซูจิ่นซีถูกเยี่ยโยวเหยาจับไว้แน่นอยู่ข้างลำตัวอย่างไร้ผล นางดิ้นรนอยู่หลายครั้ง ทว่าทั้งร่างกลับไร้เรี่ยวแรงและไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไป
นางประหม่า หวาดกลัว และเรียกชื่อเยี่ยโยวเหยาไม่หยุด ทว่าเยี่ยโยวเหยาราวกับถูกครอบงำไปแล้ว พลังในการลงมือไร้ซึ่งความสงสาร
จนในที่สุด… ซูจิ่นซีก็น้ำตาไหลอาบสองแก้มอีกครั้ง
“เยี่ยโยวเหยา อย่า ท่านอย่าเป็นเช่นนี้! ยังมีทารกในครรภ์อีก… ”
ไม่ว่าร่างกายของตนเองจะถูกลงโทษมากเท่าไร นางไม่หวาดกลัว ทว่าวันนี้ต่างออกไป ทารกในครรภ์รอดมาอย่างยากลำบาก นางไม่อาจปล่อยให้ทารกเป็นอันใดไปได้อีก
ทันทีที่สิ้นเสียงของซูจิ่นซีที่เอ่ยถึงทารกในครรภ์ เยี่ยโยวเหยาก็หยุดการกระทำลงในทันใด ทว่าศีรษะของเขายังคงฝังลึกอยู่ในซอกคอของซูจิ่นซีโดยไม่ได้ผละออก
ร่างของซูจิ่นซีตึงเครียด หลังผ่านไปครู่ใหญ่ เส้นประสาทจึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง
นางรู้ดีว่าเพราะเหตุใดอารมณ์ของเยี่ยโยวเหยาถึงเป็นเช่นนี้
ทว่าการที่บุรุษผู้นั้นเสียสละให้นางมากถึงเพียงนี้ นางไม่อาจเพิกเฉยต่อความเป็นความตายของเขาได้
สำหรับเยี่ยโยวเหยา ความรู้สึกของนางชัดเจนมาก ความแน่วแน่ในความเป็นตายร่วมกันก็ชัดเจนมากเช่นกัน ทว่าสำหรับบุรุษผู้นั้น หลายครั้งที่นางควบคุมชีวิตตนเองไม่ได้…
นางคิดคำพูดมากมายเพื่อปลอบโยนเยี่ยโยวเหยา ทว่าเมื่อคำพูดมาถึงมุมปาก ก็ราวกับว่ามีบางอย่างติดลึกอยู่ในลำคอจนพูดไม่ออกสักประโยค
นางอ้าปากค้างอยู่นาน ทว่าพูดออกมาได้เพียงสามคำ “เยี่ยโยวเหยา… ”
เยี่ยโยวเหยาทุบกำปั้นลงบนโต๊ะข้างซูจิ่นซีดัง ‘ปัง’ โต๊ะชาทำจากไม้คุณภาพสูงแตกออกเป็นสองท่อน
ซูจิ่นซีสะดุ้งตกใจอย่างรุนแรง นางกัดริมฝีปากแน่นโดยไม่ได้พูด
บรรยากาศในรถม้าตึงเครียดถึงขีดสุด
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง จนกระทั่งซูจิ่นซีรู้สึกว่าร่างกายของตนเองกำลังหนาวเย็นท่ามกลางอากาศที่เย็นยะเยือก กำปั้นของเยี่ยโยวเหยาก็ค่อยๆ คลายออก เขาห่อเสื้อผ้าให้ซูจิ่นซี
นางมองไม่เห็นใบหน้าของเขา ทว่าได้ยินเพียงเสียงอดกลั้นอย่างเหลือทน น้ำเสียงตะกุกตะกักอันแผ่วเบา ทำให้นางรู้สึกปวดร้าว
“ซีซี ข้าขอโทษ… ”
ดวงตาของซูจิ่นซีร้อนผ่าว ทันทีที่เยี่ยโยวเหยาลุกขึ้น นางก็ลุกตามและกอดเยี่ยโยวเหยาเอาไว้แน่น
“เยี่ยโยวเหยา ควรเป็นข้าที่พูดขอโทษท่าน… เป็นข้า”
เยี่ยโยวเหยาตัวแข็งทื่อ เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น หลังจากนิ่งค้างอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็โอบซูจิ่นซีเข้าสู่อ้อมแขนตนเอง
เรื่องในอดีตชาติ ชะตาชีวิตหลายชั่วอายุ ผู้ใดมั่นคง ผู้ใดลืมเลือน ผู้ใดสูญเสีย ผู้ใดเฝ้ารอ ล่วงเลยมาหลายพันปี ภายในกงล้อแห่งโชคชะตา ทั้งสามคนพัวพันยุ่งเหยิงกันมานาน ผู้ใดติดค้างผู้ใด ไม่มีผู้ใดสามารถบอกได้ชัดเจน?
ในช่วงที่ซูจิ่นซีถูกเยี่ยโยวเหยาดึงเข้าไปในรถม้า องครักษ์วิหารวิญญาณรู้ชัดเจนว่าจะเกิดอันใดขึ้นเร็วๆ นี้ เช่นเคยเหมือนทุกครั้ง พวกเขาหันหลังกลับอย่างคนรู้งาน
หลังจากแม่นมฮวายืนเหม่ออยู่ครู่หนึ่ง จึงรีบดึงลวี่หลีไปอยู่ด้านหลังอย่างรวดเร็ว
มีอวิ๋นจิ่นเพียงผู้เดียวที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมอย่างยึดติดราวกับต้นท้อ
เสียงกระดิ่งอูฐ ผืนทรายสีเหลืองทั่วทั้งทะเลทราย อาทิตย์อัสดงดั่งเปลวไฟ รอยยิ้มอบอุ่นราวกับดอกไม้บนใบหน้าของเขาค่อยๆ หุบลงและแทนที่ด้วยท่าทีห่างเหิน อ้างว้าง และหดหู่
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อ้างว้างยิ่งกว่าท่าทางนั้นก็คือร่างขาวนวลราวพระจันทร์ที่พลิ้วไหวตามสายลมท่ามกลางผืนทรายอย่างต่อเนื่อง
จากการเคลื่อนไหวของรถม้า มีเสียงดังมาจากภายในรถม้า เขาก็พอจะเดาออกว่าเกิดอันใดขึ้นในรถม้า ทว่าไม่มีผู้ใดสามารถมองทะลุหัวใจของเขาผ่านการแสดงออกบนใบหน้าได้
ร่างนั้นยืนอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ท่ามกลางทะเลทรายเป็นเวลานาน จนภายในรถม้าไม่มีเสียงใดดังขึ้นอีก “จี๊ด จี๊ด จี๊ด… ” จิ้งจอกน้อยที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด วิ่งออกมาราวกับก้อนสำลีและกลิ้งไปที่เท้าของอวิ๋นจิ่น อุ้งเท้าน้อยดึงชายผ้าของอวิ๋นจิ่นอย่างเรียกร้องความสนใจ
แววตาของอวิ๋นจิ่นค่อยๆ เคลื่อนจากรถม้าที่อยู่ไกลออกไปมาที่ดวงตาสว่างพร่างพราวราวกับผลึกแก้วของจิ้งจอกน้อย ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจความคิดของจิ้งจอกน้อย เขายกยิ้มมุมปากเพื่อปลอบใจและยื่นมือไปหาจิ้งจอกน้อย
จิ้งจอกน้อยกระโดดเข้าสู่อ้อมแขนของอวิ๋นจิ่น
อวิ๋นจิ่นไม่ได้เหลือบมองรถม้าอีก เขากอดจิ้งจอกน้อยและค่อยๆ เดินไปยังพระอาทิตย์ตกสีแดงเพลิงที่ห่างไกลออกไป
ภายใต้แสงอาทิตย์ยามอัสดง มีคนหนึ่งคน จิ้งจอกหนึ่งตัว หนึ่งความเงียบ หนึ่งการเคลื่อนไหว
จิ้งจอกน้อยถูไถศีรษะเข้ากับไหล่ของอวิ๋นจิ่นไม่หยุด หางที่แผ่กว้างราวกับพัดสานสั่นกระดิกอยู่ข้างหูอวิ๋นจิ่นอย่างต่อเนื่อง ราวกับกำลังปลอบโยนและระบายความไม่พอใจบางอย่างออกมาด้วย
น่าโมโห!
เทพธิดาปฏิบัติกับคุณชายเช่นนี้ได้อย่างไร?
นางปฏิบัติกับคุณชายเช่นนี้ได้อย่างไร?
ทว่าบอกไม่ได้ว่าเทพธิดาผิดตรงที่ใด
คุณชาย ท่านอย่าได้เสียใจไปเลย!
อาหลี [1] อยู่กับท่าน!
อาหลีจะอยู่เคียงข้างท่านเสมอ!
ต่อให้ฟ้าถล่ม ต่อให้ทะเลเหือดแห้ง หินพังทลาย!
อาหลีจะอยู่ตลอดไป
……
เชิงอรรถ
[1] หลี แปลว่า จิ้งจอก