ตอนที่ 852 บุรุษผู้หลงตัวเอง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ในที่สุดเมื่อฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ได้พบกับอวิ๋นซื่อเทียนและเซิ่งเซียว เวลานี้ทุกคนล้วนสุขใจกันอย่างยิ่ง

ทั้งสี่คนยังคงอยู่ในบริเวณครึ่งทางไปสู่ยอดเขาขณะพูดคุยกันเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่มาถึงดินแดนมหาเทพและต้องถอนหายใจไปตาม ๆ กัน

เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ของฉินอวี้โม่เลวร้ายที่สุดในหมู่คนเหล่านี้

ค่ายกลเคลื่อนย้ายส่งนางไปสู่เมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งและต้องผ่านการคัดเลือกมากมายหลายครั้งกว่าที่จะมาถึงรอบสุดท้ายในที่สุด

ทว่าอวิ๋นซื่อเทียนและหานโม่ฉือปรากฏตัวในเมืองรองและได้เข้าร่วมตระกูลที่มีพลังอำนาจและอิทธิพลพอสมควร ทั้งสองจึงไม่ต้องเผชิญอุปสรรคมากนักในการเข้าร่วมการคัดเลือก สำหรับเซิ่งเซียว โชคของเขาดีกว่าทุกคนในที่แห่งนี้ แม้ในตอนแรกจะปรากฏตัวไม่ไกลจากอวิ๋นซื่อเทียน ทว่าเขาก็มีโอกาสไปที่เมืองหลักเมืองหนึ่งของดินแดนและกลายเป็นศิษย์หลักของตระกูลใหญ่ในเมืองนั้น เขาไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการคัดเลือกสองรอบที่ผ่านมาด้วยซ้ำและสามารถเข้าร่วมการคัดเลือกรอบสุดท้ายได้โดยตรง

“เดิมทีผู้นำตระกูลก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติของการคัดเลือกและไม่เห็นด้วยกับการที่ข้าจะเข้าร่วมการคัดเลือกรอบสุดท้ายนี้ อย่างไรก็ตาม ข้ามั่นใจว่าพวกเจ้าจะต้องเข้าร่วมแน่ ๆ จึงได้โน้มน้าวใจเขาจนสำเร็จ ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ข้าก็พยายามตามหาพวกเจ้ามาโดยตลอด ทว่าเมื่อครู่นี้ข้าเพียงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของซื่อเทียน ข้าจึงรีบมุ่งหน้ามาที่นี่ทันที”

เซิ่งเซียวกล่าวอธิบายอย่างคร่าว ๆ

ด้วยความชาญฉลาดของเขาและคนอื่น ๆ ทุกคนทราบจุดประสงค์และความไม่ชอบมาพากลของการคัดเลือกรอบสุดท้ายนี้เป็นอย่างดี นั่นคือการคัดเลือกนี้จะต้องมีแผนการสมคบคิดบางอย่างอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ได้พบกับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ โดยเร็วที่สุด พวกเขาจึงไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อเดินทางมาจากดินแดนเทพมายาจนมาถึงที่นี่ได้ ไม่ว่าอุปสรรคขวากหนามที่รออยู่จะอันตรายเพียงใด มันก็ไม่มีทางหยุดยั้งฉินอวี้โม่และคณะได้เลย

“ก่อนหน้านี้ข้ารู้สึกได้ว่าบนยอดเขามีพลังประหลาดบางอย่าง ข้าจึงต้องการขึ้นไปสำรวจดูให้เห็นกับตา ไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับคณะของเสี่ยวยวี่ยวี่ที่นี่”

อวิ๋นซื่อเทียนก็กล่าวออกไปเช่นกัน หากมิใช่เพราะเสี่ยวยวี่ยวี่และพวกที่เข้ามาขวางทางให้เสียเวลา นางก็คงเดินทางไปถึงยอดของภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ตามที่ต้องการแล้ว

อย่างไรก็ตาม โชคดีที่ทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากันพักใหญ่ มิฉะนั้นนางก็คงไม่ได้พบกับเซิ่งเซียว ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเร็วเช่นนี้

หลังจากพูดคุยกันพักใหญ่ ทั้งสี่ก็เดินหน้าต่อไปและมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางซึ่งก็คือยอดเขาของภูเขาลูกนี้ บรรยากาศในตอนนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มและพวกเขาก็รู้สึกผ่อนคลายกันอย่างมาก

หานโม่ฉือจับมือฉินอวี้โม่ไว้แน่นและมองนางด้วยความรักเต็มเปี่ยมเป็นครั้งคราว ทว่าท่าทางการแสดงความรักของคนทั้งสองก็ทำให้อวิ๋นซื่อเทียนข่มกลั้นความอิจฉาไว้ไม่ไหวและตะโกนออกไป

“นี่ พวกเจ้าทั้งสอง ! อย่ารังแกคนโสดนักเลย ถึงแม้ข้าจะแก่มากแล้ว ข้าก็ทนไม่ได้จริง ๆ”

อวิ๋นซื่อเทียนแกล้งทำท่าทางไม่พอใจขณะดึงฉินอวี้โม่มาหาตนและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“ท่านก็ทำได้เช่นกัน”

แม้ไม่กล่าวสิ่งใดก่อนหน้านี้ หานโม่ฉือก็สังเกตเห็นปฏิกิริยาบางอย่างระหว่างเซิ่งเซียวและอวิ๋นซื่อเทียนเช่นกัน เขาจึงอดกล่าวออกไปไม่ได้

“ลืมมันไปเถอะ พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าข้าเป็นป้าของเจ้าเด็กนี่ได้เลยนะ”

อวิ๋นซื่อเทียนชำเลืองมองเซิ่งเซียวก่อนส่ายศีรษะเบา ๆ และกล่าวด้วยสีหน้าทะนงตน

เซิ่งเซียวเองก็อับจนปัญญา ทว่าเขาไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดแต่อย่างใด

“ซื่อเทียน ที่แท้เจ้าก็อยู่ที่นี่นี่เอง ในที่สุดข้าก็ได้พบเจ้า !”

ขณะที่เซิ่งเซียวกำลังจะกล่าวบางอย่าง เสียงของบุรุษคนหนึ่งก็ดังขึ้นทำให้สีหน้าของเขากลายเป็นเย็นชาทันที

หานโม่ฉือจับมือฉินอวี้โม่เข้ามาในอ้อมแขนของตนอย่างรวดเร็วเมื่อคาดเดาได้ว่าเจ้าของเสียงดังกล่าวคือผู้ใด ทั้งสองถอยหลบออกไปด้านข้างและมองดูเรื่องน่าตื่นเต้นอย่างกระตือรือร้น

“จิ๊จิ๊ เจ้าคือหวังอวิ๋นเย่ที่ชอบมาป้วนเปี้ยนกับภรรยาของข้าสินะ !”

เซิ่งเซียวเดินเข้าไปหาอวิ๋นซื่อเทียนและหยุดนิ่ง สายตาของเขามองตรงไปยังผู้มาใหม่ที่อยู่ตรงข้ามด้วยแววตาเย็นชา

บุรุษผู้นี้ดูดีพอสมควรและมีความแข็งแกร่งที่บรรลุถึงขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีพรสวรรค์ในระดับที่ดีทีเดียว ในเวลานี้สายตาของเขาก็มองตรงมาที่อวิ๋นซื่อเทียนโดยไม่พยายามซ่อนความปรารถนาอันแรงกล้าในแววตาเลยสักนิด

“ภรรยาของท่านงั้นรึ ?”

หวังอวิ๋นเย่ชะงักไปทันทีที่ได้ยินวาจาของเซิ่งเซียว สายตาของเขาเลื่อนไปบรรจบลงไปที่อีกฝ่ายเป็นครั้งแรกและความริษยาค่อย ๆ ปรากฏให้เห็น

รูปลักษณ์ของเซิ่งเซียวหล่อเหลากว่าเขามากนัก อีกทั้งยังมีความแข็งแกร่งที่ไม่ด้อยไปกว่าตน และสิ่งสำคัญที่สุดคืออวิ๋นซื่อเทียนดูจะสนิทสนมกับบุรุษผู้นี้มากจริง ๆ !

“ฮ่า ๆ ๆ เกรงว่าท่านจอมยุทธ์คงจะกล่าวติดตลกสินะ ข้ารู้จักซื่อเทียนมานานหลายเดือนและข้าไม่ยักจะเคยได้ยินนางกล่าวถึงเรื่องแต่งงานหรือมีครอบครัวแล้ว ท่านจอมยุทธ์อย่าเข้ามายุ่งเรื่องของเราทั้งสองจะดีกว่า”

หวังอวิ๋นเย่พยายามปกปิดความริษยาในแววตาและหัวเราะเบา ๆ ก่อนกล่าวด้วยท่าทางเสแสร้งเป็นสุภาพบุรุษ

“ภรรยาของข้าไม่ได้สนิทสนมอะไรกับเจ้าด้วยซ้ำ นางไม่จำเป็นต้องบอกกับเจ้าทุกอย่าง และข้าได้ยินมาว่าเจ้าพยายามเกี้ยวพานนางอย่างไม่ยอมเลิกรา มันช่างน่ารำคาญชะมัด !”

เซิ่งเซียวจับมืออวิ๋นซื่อเทียนไว้แน่นและนางก็ไม่ขัดขืนแต่อย่างใดโดยปล่อยให้เขาจับมือของตนต่อไป

“ซื่อเทียน นี่เขาบังคับขู่เข็ญอะไรเจ้ารึไม่ ? ไม่ต้องกลัว ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”

เมื่อหวังอวิ๋นเย่เห็นมือของทั้งสองจับกันแน่น เขาก็แทบเลือดขึ้นหน้าและอยากจะก้าวเข้าไปตัดมือเซิ่งเซียวให้รู้แล้วรู้รอด อย่างไรก็ตาม เขายังคงรักษาท่าทีและพยายามควบคุมสีหน้าของตนขณะมองอวิ๋นซื่อเทียนด้วยแววตาเป็นห่วงและกล่าวราวกับว่านางถูกบีบบังคับมา

“เหอะ กล้ากล่าววาจาได้อย่างไม่อายปาก ด้วยคุณสมบัติของเจ้า เจ้ายังคิดที่จะปกป้องภรรยาของข้าอีกงั้นรึ ? เจ้าคิดว่าตนเองคู่ควรอย่างนั้นรึ ?”

เซิ่งเซียวแค่นเสียงเย้ยหยันและกล่าวต่อ “อีกอย่าง มีความแข็งแกร่งเพียงเท่านี้แต่ยังกล้ากล่าวอย่างมั่นใจว่าจะปกป้องภรรยาของข้า ช่างไร้สาระสิ้นดี !”

เซิ่งเซียวไม่เพียงแต่กล่าววาจาดูแคลนหวังอวิ๋นเย่เท่านั้น ทว่าเขายังมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่มีทางที่จะเป็นคู่มือของอวิ๋นซื่อเทียนด้วยซ้ำ

แม้ภายนอกความแข็งแกร่งของหวังอวิ๋นเย่จะดูเหมือนเหนือกว่าอวิ๋นซื่อเทียน ทว่าหากประจันหน้ากันจริง อวิ๋นซื่อเทียนจะเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย

“ท่านจอมยุทธ์ไม่คิดรึว่าท่านกำลังทำตัวหยาบคายจนเกินไป ?”

สีหน้าของหวังอวิ๋นเย่กลายเป็นเย็นชามากขึ้นและความขุ่นเคืองใจในแววตาไม่สามารถปิดบังได้อีกต่อไป

“ข้าไม่ทราบว่าท่านจอมยุทธ์มาจากที่ใดและเหตุใดซื่อเทียนจึงเห็นดีเห็นงามกับการกระทำของท่าน แต่ข้ามั่นใจว่าซื่อเทียนยังไม่แต่งงานอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ซื่อเทียนจะต้องมีใจให้ข้าแน่ มิฉะนั้น ตอนที่อยู่ในเมืองฉีอวิ๋นก่อนหน้านี้ นางคงไม่ให้ความหวังข้าหลายครั้งหลายคราและทำให้ความรักของข้าแน่วแน่ฝังลึกมากถึงเพียงนี้ !”

เขากล่าวด้วยสีหน้ามั่นใจและน้ำเสียงแสดงถึงความรักความหลงใหลอย่างชัดเจน หากผู้ใดไม่ทราบว่าสถานการณ์ที่แท้จริงเป็นอย่างไรและมาได้ยินเข้าก็อาจหลงเชื่อเพราะความมั่นใจอันหนักแน่นของหวังอวิ๋นเย่ก็เป็นได้

น่าเสียดายที่ทุกคนในที่นี้ไม่เชื่อวาจาของเขาแม้แต่คำเดียว

“ฮ่า ๆ ๆ ซื่อเทียน…ไม่ว่าจะไปที่ใดเจ้าก็มักพบกับคนประเภทนี้อยู่เสมอ การหลงตัวเองมิใช่เรื่องเลวร้ายหรอก ทว่าก่อนที่จะหลงตัวเอง เจ้าก็ควรที่จะส่องกระจกดูตัวเองเสียก่อน หวังอวิ๋นเย่…เจ้าคิดว่าเจ้าดีพอที่ภรรยาของข้าจะสนใจจริง ๆ งั้นรึ ? หน้าไม่อายจริง ๆ ที่กล้าประกาศว่านางมีใจให้กับเจ้า ข้าว่าใบหน้าของเจ้าด้านหนายิ่งกว่ากำแพงเมืองของเมืองฉีอวิ๋นเสียอีก !”

เซิ่งเซียวหัวเราะเยาะเย้ยออกมาและเริ่มคิดว่าสตรีนามว่าเสี่ยวยวี่ยวี่ก่อนหน้านี้คงจะเสียสติจริง ๆ ที่ไปหลงรักบุรุษที่หลงตัวเองอย่างหวังอวิ๋นเย่

ด้วยรูปลักษณ์และความแข็งแกร่งที่อยู่ในระดับธรรมดาเช่นนี้ ช่างไร้สาระสิ้นดีที่คิดมั่นใจว่าทุกคนจะมีใจให้ตน !

อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นเกณฑ์มาตรฐานสำหรับเซิ่งเซียวและหานโม่ฉือ หากพิจารณาจากคุณสมบัติต่าง ๆ ของหวังอวิ๋นเย่ผู้นี้ แท้ที่จริงแล้วในดินแดนมหาเทพแห่งนี้ เขาก็ถือว่าเป็นบุรุษที่โดดเด่นไม่น้อยทีเดียว

ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูดีและความแข็งแกร่งที่อยู่ในอันดับต้น ๆ สำหรับคนรุ่นเยาว์ ต่อให้เข้าร่วมกับสามสำนักและเก้านิกาย เขาจะไม่รั้งท้ายคนอื่น ๆ อย่างแน่นอน เป็นธรรมดาที่จะมีสตรีหลายคนคิดหมายปองเขา

“ท่านจอมยุทธ์ มันชักจะมากเกินไปแล้ว !”

สีหน้าของหวังอวิ๋นเย่ในตอนนี้กลายเป็นความเย็นชาอย่างสมบูรณ์แล้วและประกายจิตสังหารฉายชัดในแววตาในขณะที่จับจ้องเซิ่งเซียวตาเขม็ง

“ข้ารักซื่อเทียนจริง ๆ และข้าก็ไม่สามารถควบคุมหัวใจตนเองได้ ต่อให้ท่านเป็นสามีของซื่อเทียนจริง ๆ ท่านก็ไม่ควรกล่าววาจาดูหมิ่นข้าเช่นนี้ คนหยาบช้าอย่างท่านไม่คู่ควรกับซื่อเทียนหรอก !”

หวังอวิ๋นเย่แสร้งทำเป็นสุภาพบุรุษผู้ยึดมั่นในคุณธรรมและความถูกต้อง ทว่าในขณะเดียวกันเขาก็พยายามยุยงปลุกปั่นให้ความสัมพันธ์ระหว่างอวิ๋นซื่อเทียนและเซิ่งเซียวแตกหัก