เมื่อเดินไปถึงประตูห้องโถงเล็ก ตงหลิงหวงพลันขมวดคิ้วแน่น
เมื่อองครักษ์เห็นตงหลิงหวง น้ำเสียงของพวกเขาดูตื่นเต้นเล็กน้อย “องค์รัชทายาท พระองค์มาดูเร็วพ่ะย่ะค่ะ นี่… นี่คือสิ่งใด? ”
ในห้องโถงไม่ได้มีของอันใดเพิ่มเติม มีเพียงรูปปั้นหยกขาวหนึ่งชิ้น และมงกุฎดอกไม้แขวนอยู่บนผนัง
สำหรับตงหลิงหวงแล้ว แม้นางจะเคยเห็นหยกขาวบ่อยครั้ง และไม่ได้รู้สึกว่ามีอันใดแปลกประหลาด ทว่าสำหรับปราสาทมืดมิดที่ตกแต่งด้วยรูปแบบแปลกตา อาจแตกต่างเป็นพิเศษ
ตอนที่ตงหลิงหวงเดินไปที่รูปปั้นและมองหน้ารูปปั้น จู่ๆ นางก็ตกใจอีกครั้ง
รูปปั้นนี้แกะสลักเป็นรูปสตรีผู้หนึ่งซึ่งต่างจากจิตรกรรมบนฝาผนังและประติมากรรมด้านนอก นางสวมชุดกระโปรงยาว ท่วงท่ามีเสน่ห์ แต่งกายเรียบร้อย ทว่าถูกผ้าคลุมปิดบังใบหน้าเผยให้เห็นเพียงดวงตาคู่หนึ่ง
ดวงตาคู่นั้นธรรมดาเป็นอย่างมาก มันดำขลับเป็นประกาย ขนตายาว มองตรงไปข้างหน้าด้วยดวงตาเรียบเฉย ไม่รู้เพราะเหตุใด ไม่ว่านางจะยืนอยู่มุมใดตรงหน้า นางก็รู้สึกได้ว่ามีดวงตาคู่นั้นคอยจับจ้องอยู่ตลอดราวกับต้องการดึงดูดผู้คนเข้ามาในดวงตาคู่นั้นด้วยแรงดึงดูดอันน่าอัศจรรย์ที่ไม่อาจเพิกเฉยได้
ตงหลิงหวงรู้สึกว่าดวงตาคู่นั้นคุ้นเคยอย่างมาก ทว่านางบอกไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ใด
หลังผ่านไปครู่หนึ่ง องครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังนางคนแรกก็พูดขึ้นว่า “น่าแปลก ดูเหมือนว่าเคยเห็นดวงตาเช่นนี้ที่ใดมาก่อน ทว่า… เคยเห็นที่ใดกันแน่? ”
สายตาของตงหลิงหวงเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางไม่ได้พูดทว่าเหลือบมองไปยังผนังด้านขวามือแทน
บนกำแพงมีภาพวาดหนึ่ง สตรีในภาพกับรูปปั้นสตรีมีรูปร่างเหมือนกันทุกประการ เห็นได้ชัดว่าเป็นคนเดียวกัน
“เอาภาพวาดลงมา! ” ตงหลิงหวงออกคำสั่ง
องครักษ์รีบก้าวไปข้างหน้า และหยิบภาพวาดลงมาส่งให้ตงหลิงหวง
ทันทีที่ตงหลิงหวงรับภาพวาดมาไว้ในมือ จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงแหลมดังขึ้น “อ้าก… ”
ตงหลิงหวงคุ้นเคยกับเสียงนั้นมาก นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเสียงร้องของถังเสวี่ยที่หายตัวไปเป็นเวลานาน
สีหน้าของตงหลิงหวงพลันเปลี่ยนไป นางรีบวิ่งออกไปทันที
“เกิดอันใดขึ้น? ” ตงหลิงหวงถาม
องครักษ์ด้านนอกทั้งหมดหยุดการเคลื่อนไหว ใบหน้ามึนงง
เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดตอบ ตงหลิงหวงจึงแสดงท่าทางกังวลขึ้น “เสียงดังมาจากที่ใด? ”
องครักษ์นายหนึ่งชี้ไปยังห้องโถงทิศเหนือแล้วพูดว่า “องค์รัชทายาท เสียง… ดูเหมือนว่าเสียงจะดังมาจากทางนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ตงหลิงหวงมองไปยังทิศทางที่องครักษ์ชี้ไป ที่นั่นมีโต๊ะหินตัวหนึ่งวางอยู่ บนโต๊ะหินมีรูปปั้นสตรีที่มีรูปแบบแปลกตา สตรีท่าทางสง่างาม มือขวายื่นไปด้านหน้า ในมือถือดอกบัวหนึ่งดอก
หรือว่ารูปปั้นนี้กับรูปปั้นอื่นมีบางอย่างไม่เหมือนกัน?
ตงหลิงหวงไม่มีเวลาพิจารณามากนัก เพราะจากเสียงกรีดร้องเมื่อครู่ ดูออกว่าถังเสวี่ยต้องพบกับอันตรายบางอย่าง และถังเสวี่ยก็หวาดกลัวยิ่งนัก
ตงหลิงหวงรีบเดินไปที่รูปปั้นนั้น นางสำรวจหน้าหลังสามร้อยหกสิบองศาอย่างละเอียดอยู่หลายครั้ง ทว่าไม่พบอันใดผิดปกติ
จึงตะโกนเรียกเสียงดัง “แม่นางถัง ใช่เจ้าหรือไม่? แม่นางถัง… แม่นางถัง? แม่นางถัง เจ้าได้ยินเสียงข้าหรือไม่? ข้าคือตงหลิงหวง! หากเจ้าได้ยินช่วยตอบข้าด้วย… แม่นางถัง? ”
เวลานี้ องครักษ์ทั้งหมดยืนล้อมรูปปั้นนี้ไว้ ทุกคนกลั้นหายใจรอการตอบกลับ ทว่าเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา
จู่ๆ ตงหลิงหวงก็เอ่ยถาม “กิเลนอยู่ที่ใด? ผู้ใดเห็นสัตว์เทพกิเลนบ้าง? ”
ทุกคนก็เหมือนกับตงหลิงหวง ตั้งแต่เข้ามาในปราสาทโบราณ พวกเขาก็ไม่เห็นสัตว์เทพกิเลนเลย
มัน… ไปที่ใดกันแน่?
ตงหลิงหวงมีแหวนเก้ามังกรในมือ และในบรรดาคัมภีร์ที่ผู้วิเศษจิ่วเทียนทิ้งไว้ให้ นางได้อ่านเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับโลกใบเล็กนี้ด้วย ดังนั้นในความคิดแรก เป็นไปได้ว่ามีโลกใบเล็กอยู่ในประติมากรรมชิ้นนี้ เป็นไปได้ว่าถังเสวี่ยและอู๋จุนอาจหลุดเข้าไปในโลกใบเล็กนี้
ทว่า จะเข้าไปได้อย่างไร?
นางลองรวบรวมพลังจิตอยู่หลายครั้ง พยายามค้นหาตำแหน่งเจาะจงของโลกใบเล็ก เพื่อหาทางเข้าสู่โลกใบเล็ก ทว่ากลับล้มเหลวอยู่หลายครั้ง
ตอนที่ตงหลิงหวงวางแผนตั้งสมาธิเข้าสู่แหวนเก้ามังกร เสียงของถังเสวี่ยก็ดังมาจากภายในรูปปั้น
“ตงหลิงหวง… ข้า… ข้าได้ยินเสียงเจ้า”
จู่ๆ ตงหลิงหวงก็ได้สติ “แม่นางถัง เจ้าอยู่ที่ใด? ข้าจะไปหาเจ้า! ”
“ข้าก็ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ใด ตงหลิงหวง ท่านรีบมาช่วยพวกเรา งู… ที่นี่มีงูเยอะมาก… กรี๊ด… อย่าเข้ามา อย่าเข้ามา… ”
“แม่นางถัง เจ้าอธิบายรายละเอียดให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ว่าที่นั่นเป็นสถานที่แบบใด พวกท่านเข้าไปได้อย่างไร? ”
“…”
“แม่นางถัง… ”
“แม่นางถัง??? ”
ตงหลิงหวงเรียกอยู่หลายครั้ง ทว่าไม่มีเสียงตอบรับจากถังเสวี่ย
“เจ้าหุบเขาอู๋… เจ้าหุบเขาอู๋? ท่านอยู่กับแม่นางถังหรือไม่? ”
“เจ้าหุบเขาอู๋? ท่านได้ยินเสียงข้าหรือไม่? ”
ยังคงไม่มีเสียงตอบกลับมา
ในเวลานี้ ตงหลิงหวงมั่นใจว่าดอกบัวในมือของรูปปั้นชิ้นนี้เป็นโลกใบเล็กแน่ ถังเสวี่ยจะต้องอยู่ในนั้นแน่นอน
ทว่าสัตว์เทพกิเลนเล่า?
อู๋จุนเล่า?
หาคนไม่เจอ หาทางเข้าสู่โลกใบเล็กไม่ได้ กังวลไปก็ไร้ประโยชน์
ตงหลิงหวงทำได้เพียงใช้แหวนเก้ามังกรช่วยอีกทาง
ผู้วิเศษจิ่วเทียนได้บันทึกเกี่ยวกับวิธีอัญเชิญไว้มากมาย แม้วันนี้พลังของนางยังไม่สามารถอัญเชิญตามต้องการได้ ทว่าด้วยความช่วยเหลือของแหวนเก้ามังกร คงไม่น่ามีปัญหาอันใด
เพียงแต่ว่าระหว่างสัตว์เทพกิเลนกับซูจิ่นซีมีพันธสัญญาต่อกัน ไม่รู้ว่ามันจะได้ยินเสียงเรียกของนางหรือไม่
ดังนั้น ตงหลิงหวงจึงเริ่มใช้วิชาอัญเชิญเป็นครั้งแรก นางใช้ดวงจิตค้นหาสัตว์เทพกิเลน
ไม่คาดคิดว่าจะทำได้สำเร็จ
แม้ยังไม่เห็นตำแหน่งเฉพาะเจาะจงของสัตว์เทพกิเลน ทว่านางสามารถได้ยินเสียงของสัตว์เทพกิเลน
“โฮก… โฮก… ”
ดูเหมือนว่าสัตว์เทพกิเลนก็พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ตงหลิงหวงหาตนเองให้พบ มันจึงร้องเรียกไม่หยุด
“กิเลน เจ้าอยู่ตำแหน่งใด… ” ตงหลิงหวงดีใจอย่างมาก
สัตว์เทพกิเลนพยายามแสดงท่าทางบางอย่าง น่าเสียดายที่ตงหลิงหวงไม่เข้าใจว่าสัตว์เทพกิเลนกำลังพูดอันใด
นางจึงถ่ายพลังเข้าไปเพื่อค้นหาเพิ่ม นางพยายามหาตำแหน่งของสัตว์เทพกิเลน
เนื่องจากระดับการฝึกฝนของนางยังไม่สูงมากพอ ร่างกายของนางจึงทนไม่ไหว ในไม่ช้า เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบก็ผุดขึ้นมาเต็มหน้าผาก
ทว่าตงหลิงหวงยังไม่ยอมแพ้
ในที่สุด ตงหลิงหวงก็เห็นสัตว์เทพกิเลนอยู่ภายในห้องมืดขนาดเล็ก
สัตว์เทพกิเลนถูกงูยักษ์รัดรอบตัว ตงหลิงหวงรวบรวมพลังทั้งหมดเท่าที่สามารถทำได้ เพ่งกระแสจิตเข้าไปในห้องมืดขนาดเล็ก
ดูเหมือนสัตว์เทพกิเลนจะสัมผัสได้ถึงการมาของตงหลิงหวง มันจึงยิ่งร้อง “โฮก โฮก” ดังขึ้น
ตงหลิงหวงคิดว่ากิเลนกำลังหวาดกลัว นางจึงพูดปลอบมัน “อย่ากลัว ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว! ”
ทว่าตงหลิงหวงค่อยๆ ค้นพบว่าจุดที่สัตว์เทพกิเลนมองอยู่ไม่ใช่นาง ทว่าเป็นด้านหลังนาง นอกจากนี้ การแสดงออกในดวงตาไม่ใช่ความกลัว แต่เป็นความสะพรึงกลัว