หลังจากมอบศพของภูตดินให้กับมี่ไลเสร็จแล้ว หลิงตู้ฉิงก็หยิบกงล้อเบญจธาตุออกมา และมอบมันให้กับเย่ชิงเฉิง และพูดว่า “ด้านในกงล้อเป็นที่อยู่อาศัยของดอกไม้เทวะหยินหยาง ข้าให้เจ้ายืมกงล้อนี้เพื่อให้เจ้าได้คุยกับดอกไม้หยิน ซึ่งมันเองก็ฝึกฝนวิชามหาจันทราศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน จากนั้นเจ้าค่อยคืนมันให้กับข้าในตอนที่ข้าเดินทางออกจากอาณาเขตนภาในรอบหน้า”
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงหันไปหาโจวจื่อซิน และพูดต่อ “เจ้าก็เหมือนกัน ช่วงนี้เจ้าจงอยู่กับชิงเฉิงไปก่อน เพราะในกงล้อเบญจธาตุนั้นมีดอกไม้ฟื้นชีพระดับศักดิ์สิทธิ์อาศัยอยู่ ซึ่งหากดูจากสายเลือดของเจ้าแล้วมันนับได้ว่าเขาเป็นบรรพบุรุษของเจ้า เจ้าจงใช้เวลานี้ศึกษาสิ่งต่าง ๆ จากบรรพบุรุษของเจ้าเอง ส่วนเรื่องของดอกบัวเพลิงพิพากษา ตอนนี้เจ้าพักเรื่องของมันเอาไว้ก่อน ไว้รอให้ข้าแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ข้าจะพาเจ้าไปที่ภูมิภาคอี้ซางเพื่อบ่มเพาะมันต่อ”
ถัดมาหลิงตู้ฉิงก็หันไปหาจ้าวเหมิงลู่และมอบเพลงกระบี่ต่าง ๆ ให้กับนาง ส่วนคนอื่น ๆ หลิงตู้ฉิงต่างมอบของวิเศษและชี้แนะเส้นทางที่พวกเขาต้องบ่มเพาะต่อไปในอนาคต
หลังจากที่หลิงตู้ฉิงพูดคุยกับเหล่าภรรยาของเขาเสร็จได้ไม่นาน คนอื่น ๆ ก็มาขอเข้าพบหลิงตู้ฉิงอีกครั้งเพื่อแจ้งว่าพวกเขาพร้อมที่จะออกไปโจมตีอาณาเขตรอบ ๆ แล้ว
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดกับซวนหยวนตู่ว่า “เจ้าจงทิ้งภูตดินขอบเขตมหาจักรพรรดิ 5 ตนไว้ที่นี่เพื่อปกป้องเหล่าภูตดินหนุ่มของเจ้า ส่วนที่เหลือจงให้ตามข้าไปรวมถึงตัวเจ้าด้วย อ๋อ! และยังมีอีกเรื่อง ข้าเห็นว่าถึงแม้เจ้าจะแข็งแกร่ง แต่เจ้าก็ไม่มีอาวุธใด ๆ ไว้ใช้ ดังนั้นข้าจะมอบอาวุธที่เหมาะสมกับเจ้าให้!”
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงหยิบกิ่งไม้ที่ได้จากต้นเทวะศาสตราขึ้นมาและยื่นมันให้กับซวนหยวนตู่
ในตอนแรกกิ่งไม้นี้มีความยาวประมาณ 3 ฟุต แต่หลังจากหลิงตู้ฉิงใช้มันไปเรื่อย ๆ ตอนนี้มันจึงเหลือความยาวแค่ 2 ฟุต ส่วนใบไม้ที่ติดอยู่ก็เหลือจำนวนไม่มากแล้ว ซึ่งทำให้มันดูสภาพแย่พอสมควร
แต่ถึงแม้สภาพมันจะดูแย่ แต่เมื่อซวนหยวนตู่รับมันไป เขาก็รีบคุกเข่าคำนับและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งว่า “ข้าขอขอบคุณในความเมตตาของท่านผู้ส่งสาสน์ที่มอบสมบัติอันล้ำค่านี้ให้กับเผ่าภูตดินของข้า!”
หลังจากที่ซวนหยวนตู่รับกิ่งไม้ไป เขาก็เข้าใจคำพูดของหลิงตู้ฉิงที่เคยบอกกับเขาว่า หลิงตู้ฉิงจ่ายราคาแพงมากกับการที่ช่วยเหลือเผ่าของเขา
เพราะเขาสัมผัสได้ในทันทีว่าใบไม้แต่ละใบที่ติดอยู่บนกิ่งไม้นั้นมันคือโลกจำลองขนาดย่อมใบหนึ่ง
เมื่อรู้เช่นนี้ เขายิ่งรู้สึกซาบซึ้งและเคารพในตัวหลิงตู้ฉิงมากขึ้น และแน่นอนว่านับจากนี้กิ่งไม้กิ่งนี้จะกลายเป็นอาวุธที่ล้ำค่าที่สุดประจำเผ่าของเขา
หลิงตู้ฉิงส่งสัญญาณให้ซวนหยวนตู่ลุกขึ้น และพูดว่า “หลังจากประตูเคลื่อนย้ายที่เผ่าของเจ้าสร้างเสร็จแล้ว เจ้าจงใช้มันส่งคนของเผ่าเจ้าเดินทางไปที่อาณาจักรจันทราเพื่อศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ ของโลกภายนอกและฝึกฝน ถึงแม้ว่าพวกเจ้าจะแข็งแกร่ง แต่ประสบการณ์ของพวกเจ้าต่อโลกภายนอกนั้นยังอ่อนหัดนัก พวกเจ้าจำเป็นต้องเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ อีกมาก”
“น้อมรับบัญชา!” ซวนหยวนตู่ตอบกลับ
หลังจากนั้นพวกเขาก็ออกจากป่าภูตนางฟ้าโดยที่หลิงตู้ฉิงมีภูตดินขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นสูงสุด 2 ตนเดินตามเป็นเงา
“เอาล่ะ ออกเดินทางไปที่อาณาจักรอ้าวเฟิงเป็นที่แรก!” หลิงตู้ฉิงสั่งขึ้น
กลุ่มครอบครัวของหลิงตู้ฉิงทั้งหมดรีบเดินขึ้นรถมังกรทันที พร้อมกันนั้นหลงเฉินก็แปลงกายเป็นมังกรสีครามและลากรถออกไปในทันทีโดยที่มีคนอื่น ๆ บินตามอยู่ไม่ห่าง
จักรพรรดินีภูตนางฟ้าและเหล่าคนของนางก็ตามไปดูศึกครั้งนี้ด้วยเช่นกัน เนื่องจากนางอยากเห็นความพินาศของเหล่าศัตรูของนางกับตาตัวเอง
อีกเหตุผลหนึ่งที่นางกล้าตามหลิงตู้ฉิงไปเช่นนี้ เพราะตอนนี้ป่าภูตนางฟ้านั้นมีภูตดินขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นสูงสุด 8 ตนคอยปกป้องอยู่รวมไปถึงหลิงยี่เทียนนั้นได้ส่งบรรดาผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิของอาณาจักรจันทราอีกหลายคนมาช่วยดูแลป่าภูตนางฟ้าเช่นกัน ดังนั้นความปลอดภัยของป่าภูตนางฟ้าในตอนนี้นับได้ว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
แต่ในทางกลับกัน หยูไท่ฉวนและคนของเขากลับมองไปที่หลงเฉินด้วยแววตาซับซ้อน
ในอดีตพวกเขานั้นไม่พอใจเป็นอย่างมากที่หลิงตู้ฉิงบังคับให้หลงเฉินลากรถให้ พวกเขารู้สึกว่าหลิงตู้ฉิงไม่ให้เกียรติเผ่ามังกรเลยแม้แต่น้อย
แต่แล้วหลังจากวันนั้นผ่านไปหลายปี เมื่อพวกเขาได้มาเห็นหลงเฉินในตอนนี้ พวกเขากลับรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระดับการบ่มเพาะของหลงเฉินที่พัฒนาอย่างรวดเร็วและรูปร่างที่เปลี่ยนไปจนไม่เหมือนของพวกเขา และที่สำคัญพวกเขายังรู้สึกได้อีกว่าสายเลือดของหลงเฉินในตอนนี้นั้นอยู่ในระดับสูงมากกว่าพวกเขาราวกับว่าหลงเฉินมีสายเลือดที่บริสุทธิ์ไม่ต่างอะไรกับบรรพบุรุษของพวกเขาเลย
แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงไปถึงขนาดนี้พวกเขาพอจะเดาออกว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับหลิงตู้ฉิงแน่นอน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หยูไท่ฉวนก็อดไม่ได้ที่คิดอยากจะทำหน้าที่ลากรถให้กับหลิงตู้ฉิงบ้าง
น่าเสียดายที่ความเป็นจริงนั้นเขาไม่สามารถทำได้เพราะเขาบ่มเพาะเต๋าดวงใจจักรพรรดิ ซึ่งแนวทางของมันมันขัดแย้งกับหน้าที่การลากรถโดยสิ้นเชิง
เมื่อได้ข่าวว่าหลิงตู้ฉิงกำลังเดินทางไปที่อาณาจักรอ้าวเฟิง เหรินฉิงชานก็รู้ได้ทันทีว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น
“ผู้อาวุโสเหริน ก่อนหน้านี้อาณาจักรอ้าวเฟิงนั้นได้รับการสนับสนุนจากตำหนักเซียนมืด แต่ทั้งกองทัพรวมไปถึงผู้เชี่ยวชาญของตำหนักเซียนมืดก็ถูกสังหารลง และตอนนี้กลุ่มของหลิงตู้ฉิงก็กำลังเดินทางไปปิดบัญชี ท่านคิดว่าอาณาจักรอ้าวเฟิงจะสามารถต้านทานการโจมตีสวนกลับครั้งนี้ได้ไหม?” ไป๋หลีเหวินเซี่ยงถามขึ้น
ตั้งแต่หอการค้าเชื่อมสวรรค์ได้มาตั้งสาขาอยู่ที่ป่าภูตนางฟ้า ไป๋หลีเหวินเซี่ยงก็มาเยือนที่นี่บ่อยมาก เพราะมันทำให้เขามีข้ออ้างในการมาติดตามดูความเป็นไปของเผ่าภูตนางฟ้าและอาณาจักรจันทราว่ามีแผนจะทำอะไรต่อไป และอีกส่วนหนึ่งก็คือเขาอยากรู้ว่าหลิงตู้ฉิงมีแผนจะโจมตีกองกำลังที่เคยรังแกเหล่าภูตนางฟ้าเมื่อไหร่
เหรินฉิงชานครุ่นคิดอยู่สักพัก และตอบกลับว่า “พวกเราตามไปดูกันให้เห็นกับตาจะดีกว่า!”
เหรินฉิงชานเองก็ยังมีคำถามที่ไม่ได้รับคำตอบอยู่อีกมากมาย ดังนั้นตอนนี้จึงเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้หาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อยืนยันข้อสงสัยของเขา
แต่แล้วก่อนที่เขาจะได้ทันเดินทางออกจากป่าภูตนางฟ้า เขาก็ได้เห็นร่างของผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากอีกหลายคนที่จู่ ๆ ก็ปรากฏกายขึ้นและบินตามกลุ่มของหลิงตู้ฉิงไป ซึ่งมันทำให้เขาตกตะลึงไปอยู่สักพัก
“สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ ภูเขาฟีนิกซ์ สำนักเต๋าสวรรค์ สันเขาทรราช… นี่พวกเขามากันหมดเลยงั้นเหรอ?” เหรินฉิงชานพึมพำกับตัวเอง
อันที่จริงตำหนักเทพโชคลาภนั้นมีข้อมูลอยู่แล้วว่า หลิงตู้ฉิงมีความสัมพันธ์กับสำนักมหาอำนาจเหล่านี้ด้วยเหตุผลที่เขาเป็นสามีของเย่ชิงเฉิง และเป็นพ่อของ หลิงยู่ชานและหลิงว่านถิง ส่วนภูเขาฟีนิกซ์นั้นพวกเขาก็ได้ยินข่าวมาแต่พวกเขายังยืนยันไม่ได้ว่าทำไมหลิงตู้ฉิงถึงได้มีความสัมพันธ์ด้วย พวกเขารู้แค่ว่าหลิงตู้ฉิงมีฟีนิกซ์ลากรถมังกรให้ แถมที่อาณาจักรจันทราก็มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิของภูเขาฟีนิกซ์คอยปกป้องรวมอยู่..
แต่ถึงแม้ว่าหลิงตู้ฉิงจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อทั้ง 4 สำนัก แต่เหรินฉิงชานก็ไม่คิดว่าพวกเขาจะสนิทกันถึงขนาดที่หลิงตู้ฉิงสามารถเรียกให้บรรพบุรุษของทั้ง 4 สำนักออกมาช่วยเขาต่อสู้ได้แบบนี้
ในความเป็นจริงสิ่งที่เหรินฉิงชานไม่รู้ก็คือ หลิงตู้ฉิงไม่ได้เรียกบรรพบุรุษของทั้ง 4 สำนักมา แต่มันเป็นเพราะทั้ง 4 สำนักได้รู้ว่าหลิงตู้ฉิงกำลังจะลงมือฆ่าคน พวกเขาจึงรีบตามมาดูด้วยตนเองต่างหาก
“ข้าได้ยินว่าเขากำลังจะทำการสังหารหมู่หลายสำนักวันนี้ใช่ไหม?”
“เฮ้อ…ข้าล่ะรู้สึกเวทนาคนเหล่านั้นจริง ๆ”
“อย่างเจ้าเนี่ยนะรู้สึกเวทนา? ไม่ใช่ว่าภูเขาฟีนิกซ์ของเจ้าคุ้นเคยกับเรื่องสังหารหมู่อยู่แล้วไม่ใช่รึไงกัน?”
“คุ้นเคยปู่เจ้าน่ะสิ! เจ้าไม่เข้าใจเหรอไงว่าเขาน่ากลัวแค่ไหน!”
“… …”
กลุ่มของบรรพบุรุษทั้ง 4 สำนักต่างแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในระหว่างที่บินตามหลังกลุ่มของหลิงตู้ฉิงโดยเว้นระยะพอสมควร
แน่นอนว่าเมื่อนึกถึงภาพวีรกรรมของหลิงตู้ฉิงที่เคยทำเอาไว้เมื่อหลายหมื่นปีที่แล้ว ตาเฒ่าเหล่านี้ก็รู้สึกหนาวสั่นอยู่ในใจ แต่เนื่องจากในวันนี้กลุ่มคนที่กำลังจะถูกฆ่านั้นไม่ใช่คนของพวกเขา พวกเขาจึงรู้สึกว่าภาพการสังหารหมู่ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี้จากฝีมือเทพมรณะผู้โด่งดัง มันเป็นเรื่องน่าสนุกที่พวกเขาอยากจะรับชม
ในเวลาเดียวกัน หลิงตู้ฉิงที่อยู่บนรถมังกรก็สัมผัสได้ถึงตัวตนของกลุ่มที่ตามหลังมา
หลิงตู้ฉิงส่งโทรจิตไปถามกลุ่มด้านหลังด้วยสีหน้าจนใจ “นี่พวกเจ้ามาที่นี่ทำไมกัน? ข้ายังไม่อยากจะเปิดเผยตัวตนของข้าตอนนี้ พวกเจ้ารู้ไหมว่าข้ากำลังถูกตำหนักเทพโชคลาภจับตาดูอยู่!”
“องค์เหนือหัว พวกเราแค่อยากมาชมอำนาจอันน่าตื่นตาของท่านเท่านั้นเอง!” เฟิงปิงหัวเราะ “และแน่นอนว่าถ้าหากมีอะไรไม่คาดฝันเกิดขึ้น พวกเราก็พร้อมที่จะยื่นมือเข้าแก้ไข”
อู๋หลิงซี บรรพบุรุษสำนักเต๋าสวรรค์ยิ้มและตอบกลับ “ข้าได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานแต่ข้าไม่เคยได้เห็นท่านลงมือจริง ๆ เลยสักที เอาเป็นว่าครั้งนี้ขอให้ข้าได้เห็นเป็นบุญตาสักหน่อยเถอะ”
หลิงตู้ฉิงพ่นลมหายใจ “ถ้างั้นพวกเจ้าก็มาบินข้าง ๆ รถของข้าตรงนี้!”
“องค์เหนือหัว อันที่จริงครั้งนี้ข้าไม่ได้มาเพียงแค่คนเดียว แต่ยังมีเหล่าทหารของภูเขาฟีนิกซ์ที่ตอนนี้กำลังตามมา” เฟิงปิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “แต่เนื่องจากเหล่าทหารเลือกที่จะบินมาด้วยตนเองเพื่อเป็นการฝึกฝน ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นต้องบินผ่านแดนกระดูกขาว ซึ่งมันทำให้พวกเขาอาจจะมาถึงที่นี่ล่าช้าสักหน่อย แต่ข้ารับประกันว่าท่านจะได้เห็นพวกเขารวมอยู่ในกองทัพแน่นอน”
ภูเขาฟีนิกซ์นั้นได้ตกลงปลงใจเป็นที่เรียบร้อยว่าพวกเขาจะมีส่วนร่วมในการสู้รบไปพร้อม ๆ กับหลิงตู้ฉิงในทุกสมรภูมิเท่าที่พวกเขาจะร่วมด้วยได้ ดังนั้นพวกเขาจึงมีการเตรียมการไว้ก่อนหน้านี้เป็นอย่างดีพร้อมที่จะตามหลิงตูฉิงออกไปรบหากพวกเขาได้ข่าว
แต่ในทางกลับกัน สำนักเต๋าสวรรค์ สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์และสันเขาทรราชต่างก็ยิ้มอย่างขมขื่น เพราะพวกเขายังไม่รู้ว่าจะตัดสินใจยังไงดี
ในระหว่างที่พวกเขาคุยกันต่อไปอีกสักพัก ในที่สุดพวกเขาก็ข้ามผ่านเหวมรณะและเข้าสู่อาณาจักรอ้าวเฟิง ซึ่งทางด้านของอาณาจักรอ้าวเฟิงก็ได้เตรียมทัพรอต้อนรับพวกเขาไว้เรียบร้อยแล้ว โดยที่กลุ่มของหลิงตู้ฉิงไม่จำเป็นต้องถ่อไปถึงเมืองหลวงให้เสียเวลา