การรบเมื่อรอบที่แล้วทำให้อาณาจักรอ้าวเฟิงสูญเสียอย่างหนัก

การเสียทหารเกือบ 10 ล้านนายนั้นเป็นเรื่องรอง ความสูญเสียหลัก ๆ ที่ทำให้พวกเขาแทบร้องไห้ไม่ออกก็คือการสูญเสียบรรพบุรุษขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นสูงสุดรวมไปถึงไม้เท้า ซึ่งเป็นอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นปลาย

ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ทำให้อาณาจักรเฟิงหดหู่มากขึ้นไปอีกก็คือ ผู้ที่ทำลายกองทัพพวกเขาซะย่อยยับนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาเท่านั้น ซึ่งใช้ทะเลเลือดเปลี่ยนให้บรรพบุรุษของพวกเขากลายเป็นดักแด้สีเลือด

ในใจของพวกเขานั้นคิดว่าบรรพบุรุษของพวกเขายังไม่ตาย เพียงแค่ถูกคร่ากุมตัวอยู่ก็เท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงยังมีความหวังว่าจะช่วยบรรพบุรุษของพวกเขาได้ และพวกเขาคิดว่าตนเองยังคงมีโอกาสที่จะสามารถทำลายล้างป่าภูตนางฟ้าได้อยู่

แต่การจะทำเช่นนั้นได้ พวกเขาก็ยังติดอยู่ปัญหาหนึ่งที่ต้องขบคิดหาวิธีมาแก้ไข ซึ่งปัญหานั้นก็คือ หลิงตู้ฉิงที่พวกเขาจำเป็นต้องคิดหาวิธีมากำจัดออกไปให้พ้นทาง

เนื่องจากทะเลเลือดที่หลิงตู้ฉิงควบคุมอยู่นั้นมันทรงพลังเกินไป และยิ่งไปกว่านั้นแม้ตอนแรกมันจะถูกดูดซับจนเหลือแค่เพียง 1 ใน 3 แต่หลังจากจบศึกมันกลับกลายเป็นมีขนาดเท่าเดิมเพราะมันได้ดูดเลือดและวิญญาณของทหารพวกเขานับล้านเข้าไป

แต่แล้วในระหว่างที่พวกเขากำลังคิดว่าพวกเขาจะบุกไปที่ป่าภูตนางฟ้าอีกรอบเลยดีหรือคิดหาวิธีที่ดูดีกว่าที่มีอยู่ก่อน พวกเขากลับได้รับข่าวว่าหลิงตู้ฉิงกำลังเดินทางมาหาพวกเขาเองซะอย่างนั้น

เหล่าทหารทั้งหลายที่จัดทัพรอการมาถึงของหลิงตู้ฉิง เมื่อเห็นว่าศัตรูปรากฏกายขึ้นแล้วพวกเขาจึงตื่นตัวทันทีพร้อมกับแม่ทัพทั้งหลายต่างตะโกนขึ้น “ศัตรูบุก! ทหารเปิดใช้งานค่ายกลรบ!”

หลังจากสิ้นเสียงคำสั่ง ค่ายกลรบทั้งหลายต่างถูกเปิดใช้งานโดยเหล่าทหารส่งผลให้บริเวณกองทัพของอาณาจักรอ้าวเฟิงเหมือนดอกบัวสีดำขนาดยักษ์เบ่งบานขึ้น

เมื่อดอกบัวยักษ์สีดำบานขึ้น พลังกฎแห่งความมืดก็ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างหนาแน่นราวกับว่ามันสามารถกลืนกินพลังงานได้ทุกสิ่งอย่างที่มีอยู่บนโลกนี้

แน่นอนว่าค่ายกลรบนี้เป็นสิ่งที่อาณาจักรอ้าวเฟิงเตรียมเอาไว้เพื่อต่อกรกับหลิงตู้ฉิงโดยเฉพาะ

พวกเขาคิดว่าด้วยดอกบัวดำนี้มันจะสามารถลบทะเลเลือดของหลิงตู้ฉิงออกไปจนหมดได้แน่นอน และเมื่อไม่มีทะเลเลือด หลิงตู้ฉิงก็ไม่มีอะไรให้พวกเขาต้องหวาดเกรง

ทางฝั่งของหลิงตู้ฉิง บรรดาผู้ติดตามทั้งหลายที่ติดตามเขามาเมื่อเห็นดอกบัวยักษ์สีดำนี้ พวกเขาต่างก็ลองคิดหาวิธีทำลายค่ายกลรบนี้กันในใจ

“ท่านผู้ส่งส่าสน์ ให้ข้าลงมือดีไหม?” ซวนหยวนตู่ถามขึ้น

ในตอนนี้เมื่อเขามีกิ่งไม้ที่มีอำนาจเหนือล้ำอยู่ในมือบวกกับระดับการบ่มเพาะของตนเองที่อยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นสูงสุด เขาจึงมั่นใจว่าเขาน่าจะสามารถทำลายค่ายกลรบนี้ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

หลิงตู้ฉิงโบกมือปรามและพูดว่า “ไม่จำเป็น หน้าที่ของเจ้าคือคอยคุ้มกันข้าจากการลอบโจมตีจากบริเวณรอบ ๆ หมู่บ้านกระบี่โลหิตคือองค์กรมือสังหาร ซึ่งข้าแน่ใจว่าพวกเขาคงไม่รอให้ข้าไปเยือนถึงที่หมู่บ้านของพวกเขาแน่นอน ในเวลานี้พวกเขาคงน่าจะซุ่มรอโจมตีพวกเราอยู่รอบ ๆ ดังนั้นเป้าหมายของเจ้าคือการจัดการพวกเขาเมื่อพวกเขาปรากฏกาย”

“เฟิงปิง ครั้งนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้แสดงฝีมือ เจ้าจงใช้ ‘แสงศักดิ์สิทธิ์ฟ้าทลาย’ ทำลายค่ายกลรบของอาณาจักรอ้าวเฟิงซะ”..

อันที่จริงหากไม่เป็นเพราะว่าหลิงตู้ฉิงยังไม่อยากเปิดเผยตัวตน เขาคงจะใช้วิชาเจตจำนงแปลงสรรพสิ่ง แปลงกายตัวเองให้กลายเป็นมวลความมืดและหลอมรวมร่างตัวเองให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับดอกบัวยักษ์สีดำและทำลายมันลง

แต่ตอนนี้เมื่อเขาถูกตำหนักเทพโชคลาภ ตำหนักดับเซียนและเหล่าอสูรจับตาดูอยู่ เขาจึงทำได้แค่สั่งให้คนของเขาจัดการกับค่ายกลรบนี้แทนตามวิธีที่เขาแนะนำ

เมื่อได้รับคำสั่งจากหลิงตู้ฉิง เฟิงปิงจึงรีบก้าวออกไปเผชิญหน้ากับทัพของอาณาจักรอ้าวเฟิงทันที จากนั้นเขาก็หยิบยันต์สั่งสวรรค์ที่ภายในผนึกเคล็ดวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ฟ้าทลาย ซึ่งหลิงตู้ฉิงเป็นผู้สร้างขึ้นออกมา

เมื่อเฟิงปิงโคจรพลังวิญญาณของเขาเข้าไปในยันต์สั่งสวรรค์จนมันสลายออก ส่งผลให้ ดวงแสงอันเจิดจ้าดวงหนึ่งปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา จากนั้นเขาก็โยนมันขึ้นไปบนท้องฟ้าและเมื่อมันลอยอยู่เหนือสนามรบ ดวงแสงอันเจิดจ้าก็ระเบิดออกอย่างรุนแรง จนมันกลายเป็นเหมือนดวงอาทิตย์อีกดวงหนึ่งแขวนอยู่บนท้องฟ้าเหนือสนามรบ!

แน่นอนว่าปกติแล้วแสงและความมืดนั้นเป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกัน การที่พลังฝั่งไหนจะชนะอีกฝั่งได้นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้พลังฝั่งนั้น ๆ จะเข้าใจในพลังของมันมากกว่าอีกฝั่ง

และเมื่อพูดถึงเรื่องความเข้าใจในพลัง แน่นอนว่าหลิงตู้ฉิงย่อมได้เปรียบรวมไปถึงตอนนี้ที่ยันต์สั่งสวรรค์ของเขาถูกใช้โดยเฟิงปิง ซึ่งมีความแข็งแกร่งอยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิ มันจึงส่งผลให้แสงศักดิ์สิทธิ์ฟ้าทลายของหลิงตู้ฉิงมีอำนาจพอ ๆ กับพลังของผู้เชี่ยวชาญระดับผู้สร้างเต๋า!

เมื่อเผชิญกับดวงแสงอันเจิดจ้าที่ลอยอยู่บนฟ้า ดอกบัวยักษ์สีดำก็แห้งเหี่ยวลงไปอย่างรวดเร็วจนสุดท้ายมันสลายออกไปจนหมด

เมื่อเห็นว่าดอกบัวถูกทำลายไปแล้ว หลิงตู้ฉิงจึงเริ่มการกวาดล้างทันทีโดยการหยิบจอกโลหิตศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา

แต่แล้วก่อนที่เขาจะได้ทันเทเลือดออกจากจอก จู่ ๆ ลูกศรดอกหนึ่งก็พุ่งผ่านมิติมุ่งเป้ามาที่จอกโลหิตศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในมือของเขา ซึ่งความเร็วของมันเหนือล้ำจนแทบจะไม่มีใครมองตามทัน

หลิงตู้ฉิงเลิกคิ้วขึ้นและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “ไม่เลวเลยจริง ๆ ที่สามารถฝึกฝนศาสตร์การใช้ธนูได้มาถึงขั้นนี้ แต่น่าเสียดายที่มันไร้ประโยชน์กับข้า!”

เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงโบกมือสร้างรอยแยกมิติขึ้นขวางระหว่างตัวเขาและลูกศรภายในพริบตา ส่งผลให้ลูกศรพุ่งหายเข้าไปในรอยแยกมิติที่หลิงตู้ฉิงสร้างขึ้น ซึ่งมันถูกส่งไปที่ใดนั้นไม่มีใครรู้ได้

แต่แล้วเมื่อลูกศรดอกแรกถูกจัดการไปเรียบร้อย ลูกศรดอกที่สองก็ถูกยิงออกมาอีก

หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้ว “ยังไม่เลิกอีก?”

ในรอบนี้หลิงตู้ฉิงไม่ใช้รอยแยกมิติในการจัดการกับลูกศรอีกแล้ว เพราะเขาสัมผัสได้ว่าลูกศรดอกใหม่ที่ยิงออกมานั้นมีพลังที่สามารถเพิกเฉยต่อรอยแยกมิติแถมยังแฝงไปด้วยเจตจำนงของผู้ใช้ ดังนั้นรอยแยกมิติจึงไม่สามารถทำอะไรกับมันได้อีก

อันที่จริงหลิงตู้ฉิงมีวิธีมากมายที่จะจัดการกับลูกศรดอกนี้ แต่วิธีการหลายอย่างที่เขาคิดออกโดยที่ไม่เปลืองแรงนั้นเขาไม่สามารถนำมาใช้ได้เพราะเขาไม่อยากเปิดเผยตัว

ดังนั้นเขาจึงเหลือแค่วิธีเดียวในการจัดการกับลูกศรนี้ก็คือการจัดการผู้ใช้มันซะด้วยทักษะของปีศาจโลหิต!

หลิงตู้ฉิงพ่นลมหายใจพร้อมกับเทเลือดออกจากจอกโลหิตศักดิ์สิทธิ์ และตะโกนว่า “คำสาปโลหิต คำสาปตัดรอน!”

ทันทีที่พูดจบ มวลเลือดที่ถูกเทออกจากจอกโลหิตศักดิ์สิทธิ์ก็หายไปส่วนหนึ่ง แต่จากนั้นลูกศรที่กำลังพุ่งเข้ามาจู่ ๆ มันกลับร่วงหล่นลงไปที่พื้นราวกับว่ามันเสียงพลังเกื้อหนุนที่ทำให้มันพุ่งไปต่อได้

แต่แล้วมันก็ยังไม่จบ เพราะทันทีที่ลูกศรดอกล่าสุดหล่นลงไปบนพื้น ลูกศรดอกต่อไปก็ถูกปล่อยตามออกมาอีก ซึ่งมันทำให้หลิงตู้ฉิงเริ่มรู้สึกหงุดหงิดจริง ๆ แล้ว

“ข้าอุตส่าห์เห็นว่าฝีมือการใช้ธนูของเจ้าไม่เลว ข้าจึงไม่อยากจะทำอะไรเจ้า แต่ในเมื่อเจ้ากวนใจข้าไม่เลิก ดังนั้นข้าคงต้องสั่งสอนเจ้าสักหน่อย!” หลิงตู้ฉิงตะคอกกลับ “คำสาปโลหิต สลายวิญญาณ!”

หลิงตู้ฉิงส่งคำสาปของเขาผ่านทางลูกศรที่เชื่อมกับเจตจำนงของมือธนู แต่เขาใช้อำนาจของคำสาปเพียงแค่ 1 ใน 10 ส่วนเท่านั้นในการเล่นงานดวงวิญญาณเจ้าของลูกศร

ห่างออกไป 1,000 กิโลเมตร ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันผู้หนึ่ง ซึ่งถือคันธนูอยู่ในมือค่อย ๆ ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าด้วยสีหน้าซีดเซียว แต่เมื่อร่างของเขาใกล้จะหล่นลงกระแทกพื้น เขาก็สามารถกลับมาควบคุมร่างของตัวได้อีกครั้งและรีบบินหนีไปทันทีด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

“เห็นแก่ที่เจ้าเป็นสมาชิกตระกูล ‘กง’ วันนี้ข้าจะปล่อยให้เจ้ารอดตายไปก่อน!” หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา