หานลี่เลิกคิ้ว ถึงได้กวาดตามองฝูงค้างคาวตรงหน้าแวบหนึ่ง ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ และตบออกไปเบาๆ

เสียง “ปัง” ดังขึ้น พลังปราณฟ้าดินรัศมีวงกลมร้อยลี้สั่นสะเทือน รัศมีลำแสงห้าสายจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏออกมา และรวมตัวกันตรงที่สูงอย่างบ้าคลั่ง ยามนั้นพลันกลายเป็นฝ่ามือยักษ์ห้าสีขนาดเท่าภูเขาขนาดย่อม ท่าทางน่ากลัวกดลงมาทางฝูงค้างคาว

บรรยากาศรอบๆ ถูกพลังยักษ์ที่ยากจะอธิบายปกคลุมเอาไว้

ฝ่ามือยักษ์ยังไม่ได้ตกลงมาจริงๆ ค้างคาวโลหิตธรรมดาจำนวนมากก็ทยอยกันกลายเป็นหมอกโลหิตระเบิดออก

ส่วนคลื่นยักษ์โปร่งแสงนั้น ภายใต้พลังแรงกดมหาศาลก็หายวับไปในพริบตา

มีเพียงค้างคาวยักษ์ตัวนั้นที่ร้องคำรามด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว ผิวมีลายสีทองเปล่งแสงเจิดจ้า ชั่วครู่ก็ทะลักออกมาจากในร่างราวกันกลับมามีชีวิต กลายเป็นม่านลำแสงสีทองปกป้องตนเองเอาไว้

แต่ภายใต้แรงกดมหาศาล ม่านลำแสงสีทองก็บิดเบี้ยวแล้วสั่นเทาอย่างรุนแรงไม่หยุด ค้างคาวยักษ์ที่อยู่ด้านในแผ่ออกเป็นตัวอักษรขนาดยักษ์ไม่อาจกระดิกกระเดี้ยตัวได้

“น่าสนใจ คาดไม่ถึงว่าจะมีอิทธิฤทธิ์ปกป้องตัวเอง! น่าเสียดายที่อ่อนแอไปหน่อย มิเช่นนั้นก็กลับมาเป็นอสูรวิญญาณได้” แววตาของหานลี่ฉายแววประหลาดใจ แต่ก็เอ่ยพึมพำอย่างเสียดาย

จากนั้นนิ้วหนึ่งก็ชี้ไปที่ฝ่ามือยักษ์ห้าสีอีกครั้ง!

ชั่วขณะนั้นฝ่ามือยักษ์ก็มีรัศมีลำแสงเป็นหมื่นสาย ขยายใหญ่ขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะมีขนาดใหญ่ขึ้นสองสามส่วน

หลังจากเสียง “ปัง” ดังขึ้น ฝ่ามือยักษ์ตกลงมาจริงๆ บรรยากาศรอบๆ ก็มืดมน จากนั้นรัศมีลำแสงดวงหนึ่งก็สั่นเทาและระเบิดออก

ม่านลำแสงสีทองแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทันใด ค้างคาวยักษ์ไม่ทันได้แค่นเสียงหึก็แตกสลายหายไป

หานลี่ฉีกยิ้มสะบัดแขนเสื้อไปด้านหน้า ฝ่ามือยักษ์ห้าสีสั่นเทาแล้วหายวับไปจากกลางอากาศ

ท้องฟ้าและผืนดินกลับมาเป็นดังเดิมอีกครั้ง

ทว่าจุดที่ค้างคาวยักษ์อยู่กลับมีตัวอักษรสีทองอยู่ลางๆ

หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ยกมือขึ้นกวักเรียกอย่างไม่ต้องขบคิด

เสียงแหวกอากาศดังขึ้น อักษรสีทองเหล่านั้นถูกพลังแรงดูดชักนำ ทยอยกันพุ่งเข้ามา ล้วนเปล่งแสงสว่างวาบแล้วร่อนลงตรงใจกลางฝ่ามือ

หานลี่กวาดสายตาไป สองมือประกบกัน ถูอักษรสีทองเหล่านั้นไปมา

ชั่วขณะนั้นหว่างนิ้วพลันมีเสียงเสียดสีของทองคำดังขึ้น ด้านในมีลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด

แต่รอจนหานลี่แยกมือทั้งสองออกอีกครั้ง หนังอสูรสีทองก็ปรากฏขึ้นตรงนั้น

ลายสีทองอ่อนบนผิวอสูร ก็คือลายสีทองที่เปล่งแสงเรืองๆ มาจากร่างของค้างคาวยักษ์ก่อนหน้า

“หากนำเจ้านี่ใช้หลอมอาวุธป้องกัน น่าจะคุ้มค่ามาก เช่นนั้นก็ถือได้ว่าวันนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ประโยชน์อันใดเลย” หานลี่เอ่ยพึมพำกับตัวเอง มือหนึ่งพลิกฝ่ามือ หนังอสูรสลายหายไป

จากนั้นเขาพลันหน้าเปลี่ยนสี ดูเหมือนจะสัมผัสอันใดได้ แววตาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ สายตามองทะลุผ่านไปในรัศมีสองสามร้อยลี้ มองเห็นวิหคประหลาดนิรนามสีเทา กำลังกระโจนมาทางนี้

หานลี่จ้องเขม็งสายตาไป มองเห็นใบหน้าของวิหคประหลาดเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน เป็นสัตว์ประหลาดมีปีกสี่ปีก หัวมีเขาเดี่ยวงอกออกมาราวกับอินทรียักษ์ ท่าทางโหดเหี้ยม แววตาเต็มไปด้วยความกระหายเลือด

หานลี่ขมวดคิ้ว ชักสายตากลับมา มองไปยังหมอกโลหิตสีแดงสดที่ยังไม่สลายหายไปบนภูเขาขนาดย่อมด้านล่าง ก็สั่นศีรษะผิวเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ แล้วกลายเป็นสายรุ้งพุ่งแหวกอากาศจากไป

แม้ว่าวิหคประหลาดจะไม่นับว่ามีค่าอันใดสำหรับเขา แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะดึงดูดฝูงอสูรจำนวนนับไม่ถ้วนมาเพราะได้กลิ่นคาวโลหิต

เขามีเวลาแค่นี้ย่อมต้องรีบตามหาแมงมุมซิวหลัวนั้นถึงจะเป็นเรื่องสำคัญ!

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเวลาสองวันก็ผ่านพ้นไป

ช่วงเวลานี้นอกจากหานลี่จะสังหารปีศาจที่ดูเหมือนจะแข็งแกร่งไปสองสามตัว พบวัตถุดิบที่หายากจากแดนอื่น ก็ไม่ได้อันใดอีก

และวัตถุดิบที่ได้มานั้น นอกจากหญ้าพิษนิรนามสองต้นแล้ว แม้ว่าของอื่นจะล้ำค่า แต่เขาที่มีพลังยุทธ์ขนาดนี้ก็ไม่มีประโยชน์อันใดมากนัก ทำได้เพียงเก็บไว้เป็นรางวัลให้ลูกศิษย์เท่านั้น

แต่รอจนถึงวันที่สามในหุบเขาที่เต็มไปด้วยก้อนหินสีดำ ในที่สุดหานลี่ก็พบของที่เกี่ยวข้องกับแมงมุมซิวหลัว

ยามนี้เขายืนอยู่ในรังอสูรที่ซ่อนอยู่ในมุมหนึ่งของหุบเขา ด้านในมีอสูรประหลาดที่ดูคล้ายมนุษย์และดูคล้ายหมีอยู่สองสามตัว ทุกตัวล้วนนอนอยู่บนพื้นที่ปูด้วยหญ้าแห้งๆ อย่างเงียบเชียบ เรือนกายมีขนสีขาวราวกับหิมะปกคลุมอยู่ ผิงหนังซูบผอมจนเกือบจะเห็นกระดูก ผิวกลับไม่มีร่องรอยบาดแผลเลยสักนิด คาดไม่ถึงว่าจะดูราวกับตายลงเพราะความแก่ชราก็ไม่ปาน

หานลี่ยืนด้านข้างซากอสูรที่เปลือยครึ่งท่อนอยู่ตัวหนึ่ง พิจารณาอย่างเงียบๆ ชั่วครู่ถึงได้สะบัดแขนเสื้อ อสรพิษเพลิงสองสามตัวพุ่งออกมา ยามนั้นพลันทำให้ซากศพหลายนั้นกลายเป็นผุยผง

แม้ว่าซากเหล่านี้จะสลายหายไป แต่บนพื้นกลับมีลำแสงแวววาวเปล่งแสงเรืองๆ ไม่หยุด

หานลี่ใช้มือหนึ่งตะปบออกไป ชั่วขณะนั้นเส้นไหมผลึกนิรนามความยาวสองสามฉื่อสองสามเส้นก็มาอยู่ในมือของเขา และถูกลำแสงสีเขียวห่อหุ้มเอาไว้

กวาดจิตสัมผัสไปบนนั้น!

หานลี่หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ขยับแขนข้างหนึ่ง นิ้วหนึ่งจมหายเข้าไปในลำแสงสีเขียวอย่างเงียบเชียบ ลูบไล้ผลึกเส้นไหมนั้นเบาๆ

ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น!

ผลึกเส้นไหมที่ดูเหมือนโปร่งแสงเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วขณะนั้นลำแสงสีฟ้าพลันไล่จากนิ้วไปยังแขน ทุกจุดที่ลำแสงสีฟ้ากวาดผ่านไป ผิวหนังตรงแขนพลันซูบผอมลงด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ในเวลาเดียวกันกลิ่นอายแก่ชราประหลาดๆ พลันแผ่ออกมาจากตรงนั้น

หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึม พลันสะบัดนิ้ว ปลายนิ้วมีผลึกเส้นไหมพุ่งออกมา ในเวลาเดียวกันบนแขนพลันมีลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ รัศมีสีทองกลุ่มหนึ่งไล่มาตามแขนแล้วม้วนไปด้านหน้า ปะทะกับลำแสงสีฟ้าที่แผ่ออกมา แล้วโจมตีจนสลายหายไป

ในเวลาเดียวกันบนแขนพลันมีผลึกลำแสงสีเขียวไหลวนโคจรไปมา คาดไม่ถึงว่าจะฟื้นฟูกลับมาเต่งตึงและแสงมันวาว ราวกับว่าฉากเมื่อครู่เป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น

“เป็นพลังลำแสงทมิฬดังคาด แม้ว่าจะเรียกไม่ได้ว่าเป็นกฎเกณฑ์ของเวลาจริงๆ แต่ก็เป็นพรสวรรค์ที่หาได้ยากยิ่ง ที่นี่น่าจะเป็นอาณาเขตที่แมงมุมซิวหลัวเคลื่อนไหวอยู่” หานลี่พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แววตาเปล่งประกายตื่นเต้นพลางเอ่ยพึมพำกับตัวเองสองประโยค

จากนั้นมือของเขาพลันเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ ผลึกเส้นไหมสองสามเส้นสลายหายไปในเวลาเดียวกัน

แม้ว่าของเหล่านี้จะไม่ได้สร้างความน่ากลัวให้เขาได้ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งของที่จะทิ้งไว้โลกภายนอกได้ง่ายๆ

จากนี้หานลี่พลันบินออกมาจากรังอสูร จากยอดเขาเป็นใจกลาง เริ่มตรวจสอบพื้นที่รอบๆ อย่างละเอียด

แต่หลังจากผ่านไปสองสามชั่วยาม เมื่อเขาบินกลับมาที่หุบเขาอีกครั้งกลับมีสีหน้าเคร่งขรึม

เห็นได้ชัดว่าการตรวจสอบก่อนหน้านั้นไม่ราบรื่น

หานลี่ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศเหนือหุบเขาชั่วครู่ ใบหน้าพลันเต็มไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด

เขาพลันเลิกคิ้ว ดูเหมือนจะนึกอันใดได้ มือหนึ่งพลันร่ายอาคม แผ่พลังจิตสัมผัสออกไปยังใต้ดิน ชั่วพริบตาพลันกวาดลึกลงไปใต้ดินร้อยจั้งพันจั้ง และกวาดไปยังส่วนลึกยิ่งกว่าอย่างไม่มีเจตนาจะหยุดยั้งเลยสักนิด

หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งกาน้ำชา หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี ใบหน้าเผยสีหน้ายินดีออกมา จากนั้นพลันขยับร่างกาย กลายเป็นลำแสงสีเขียวม้วนวนยังทิศทางหนึ่ง

เมื่อลำแสงหลีกหนีหม่นแสงลง!

หานลี่ปรากฏตัวอยู่เหนือทะเลสาบที่ไม่นับว่าไกลนัก แล้วมองไปด้านล่างสองแวบ ร่างกายขยับกระโจนไปด้านล่าง

เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น!

หานลี่กลายเป็นลำแสงหลีกหนีจมหายเข้าไปใต้ผิวทะเลสาบ

หลังจากผ่านไปชั่วครู่เสียง “เปรี้ยงๆ” ของอัสนีก็ดังขึ้น ผิวทะเลสาบขนาดไหนมีสายฟ้าสีทองไหลวนโคจรไปมา ผิวน้ำกระเพื่อม มัจฉาประหลาดรูปทรงแปลกประหลาดจำนวนนับไม่ถ้วนทยอยกันหงายท้องขึ้นบนผิวน้ำ ทุกตัวล้วนมีสีดำเกรียม ท่าทางหายใจแผ่วๆ

แต่หลังจากเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ใต้ทะเลสาบก็เงียบเชียบไร้สุ้มเสียง ยามนั้นพลันเป็นเหมือนทะเลสาบที่ตายไปแล้ว

ในเวลาเดียวกันหานลี่ที่อยู่ในทางเดินหยาบๆ ใต้ดินลึกลงไปสองสามพันจั้ง รอบด้านล้วนเป็นก้อนหินสีเขียวอ่อนที่ไม่เท่ากัน และบรรจุคนเข้าไปได้แค่ทีละคนเท่านั้น

ทางเดินนี้คดเคี้ยวไปมา ทอดตัวไปสู่ส่วนลึกของใต้ดิน

หลังจากที่หานลี่แผ่จิตสัมผัสไปตรวจสอบก่อนสองสามรอบ ถึงได้บังเอิญพบจุดน่าสงสัย

หินสีเขียวอ่อนชนิดนี้น่าจะไม่ใช่หินธรรมดา แต่ใต้ทะเลสาบกลับเป็นหินชนิดนี้หมด จากพลังจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งของหานลี่ ก็ไม่อาจทะลวงผ่านไปได้ลึกมากนัก

นี่เป็นสาเหตุที่ตอนแรกเขาไม่พบความน่าสงสัยของที่นี่

ทว่าเมื่อเขาพบผลึกเส้นไหมอีกเส้นบนก้อนหินสีเขียวที่นูนออกมาบนทางเดิน ความสงสัยในใจก็มลายหายไป ทันใดนั้นร่างกายก็พลิ้วไหว ความเร็วเพิ่มขึ้น

รวดเดียวก็ลงมาลึกเกือบหมื่นจั้ง ความร้อนระอุเริ่มม้วนวนออกมาจากด้านล่างของทางเดิน

อุณหภูมิสูงลิบ หากสิ่งมีชีวิตธรรมดาๆ มาสัมผัสเข้า เกรงว่าคงกลายเป็นซากแห้งในพริบตา

หานลี่ทำเหมือนมองไม่เห็นอุณหภูมิที่ร้อนระอุ ผิวแค่เปล่งแสงสีเขียวเรืองๆ ผลักความร้อนระอุตรงหน้าไป

เขากะพริบวาบๆ อย่างต่อเนื่องสองสามครั้ง หักเลี้ยวไปสองสามครั้ง ตรงหน้าเริ่มมีลำแสงสีแดงเปล่งแสงสว่างวาบ และมีเสียงคำรามต่ำๆ และเสียงมนุษย์ดังแว่วมา

หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ไม่เห็นเขาเคลื่อนไหวใดๆ ร่างกายมีลำแสงปรากฏขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะค่อยๆ เลือนรางไม่ชัดเจน และสุดท้ายลำแสงหลีกหนีก็เลือนหายไป

หลังจากผ่านคลื่นเพลิงสีแดงสดไป หานลี่ก็พุ่งออกมาจากทางเดินอย่างเงียบเชียบ มาปรากฏตัวเหนือทะเลสาบลาวาใต้ดิน

ทะเลสาบนี้มีลาวาหมุนวน ระลอกคลื่นร้อนระอุพ่นเสาเพลิงขนาดเท่าปากชามออกมาเป็นบางครั้ง และโจมตีไปที่ทางเข้าทางเดินพอดี ทำให้ลาวาในบริเวณรอบถูกกัดเซาะจนเรียบลื่น เป็นสีแดงสด

สิ่งที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือใจกลางของทะเลสาบลาวา ผลึกศิลาโปร่งใสสีแดงเพลิงปรากฏขึ้นอยู่ท่ามกลางลาวา

หานลี่แค่กวาดจิตสัมผัสไปก็รู้ว่าผลึกศิลานั้นมีขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากัน คาดไม่ถึงว่าจะเป็นศิลาวิญญาณเพลิงระดับสุดยอดที่หาได้ยาก

ดูจากกลิ่นอายเพลิงอันน่ากลัวที่แฝงอยู่ จากความบริสุทธิ์ของมันดูเหมือนจะเหนือกว่าศิลาวิญญาณเพลิงระดับสุดยอดของแดนวิญญาณ

แต่ทุกอย่างล้วนไม่ได้ดึงดูดความสนใจของหานลี่มากนัก เขาในยามนี้กำลังพิจารณาฝูงปีศาจและ ‘สตรี’ ที่อยู่ริมทะเลสาบลาวาอย่างเงียบๆ

ปีศาจเหล่านี้ล้วนมีกายท่อนบนเป็นมนุษย์ กายท่อนล่างเป็นมัจฉา และมีแขนสี่แขน หนึ่งในนั้นสวมปลอกแขนบุรุษสีทอง สตรีสวมรัดเกล้าสีเงิน บ้างก็มีกำปั้นสีแดง บ้างก็ถือขวานสั้นสีแดงสด ร่างกายเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด

ตรงข้ามกับสัตว์ประหลาดรูปร่างเหมือนมัจฉานั้น สตรีที่ดูเหมือนอายุไม่ถึงยี่สิบเอ็ดยี่สิบสองปีคนหนึ่งกำลังเผชิญหน้ากับเขาด้วยสีหน้าราบเรียบพร้อมกับร้องคำรามไม่หยุด