บทที่ 1935 เถ้าแก่โรงงานน้ำส้มสายชูแห่งรัฐอิสระ
เวลานี้กระดุมเสื้อเชิ้ตพี่เก้าของเขาถูกปลดออกหมดแล้ว ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิง และเพิ่งจะยังกอดกับเยี่ยหวันหวั่น…
หลังจากรู้สึกตัวว่าตัวเองขัดจังหวะอะไรเข้า หลินเชวียก็รู้สึกว่าวันสิ้นโลกของตัวเองใกล้จะมาถึงแล้ว
“แค่ก พี่เก้า ตอนแรกผมไม่ได้อยากมารบกวนพี่นะ แต่ว่า…ข้างนอกโกลาหลหนักไปหน่อยจริงๆ …” หลินเชวียอธิบายด้วยเสียงสั่นเทา
มิน่าละข้างนอกเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้พี่เก้ายังไม่ขยับเขยื้อนสักนิด ที่แท้เด็กคนนั้นวิ่งมาที่นี่แล้ว ต่อให้ข้างนอกจะฟ้าถล่ม เกรงว่าพี่เก้าก็คงไม่สนใจ
“ทีแรกยังอยากอยู่กับคุณนานอีกหน่อยแฮะ!” เยี่ยหวันหวั่นเบ้ปากบ่น พูดจบก็ยืนขึ้นอย่างอิดออด “ฉันไปละ!”
สายตาของชายหนุ่มอึมครึมขึ้นหลายส่วน “ระวังตัวด้วยละ”
ตอนนี้ไม่อาจห้ามให้เธอออกจากรัฐอิสระได้ จึงได้แต่ต้องระมัดระวังทุกฝีก้าว
“อื้มๆ รู้แล้วน่า!”
ซือเยี่ยหานให้เธอออกจากรัฐอิสระไปอยู่ที่ประเทศจีน เพราะกลัวว่าจะมีคนคิดร้ายกับเธอ แต่ว่าถ้าอีกฝ่ายอยากทำอะไรเธอละก็ เธออยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน ดูได้จากการที่ถูกลอบฆ่าหลายครั้งที่ประเทศจีน
เธออยู่ในรัฐอิสระจะดีเลวยังไงก็เป็นผู้นำของพันธมิตรอู๋เว่ย ยังไงคนพวกนั้นก็ต้องพะวงบ้าง
ที่รัฐอิสระ เธอยังมีเรื่องสำคัญต้องทำ และมีคนที่ต้องปกป้อง
ไม่ว่าตอนนั้นทำไมเธอถึงต้องการลืมเลือนความทรงจำพวกนั้น หลีกหนีนานขนาดนั้น ก็ถึงเวลาที่ต้องเผชิญแล้ว
เธอไม่อาจให้ซือเยี่ยหานแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียว
“จริงสิเบบี๋ เอาเบอร์โทรศัพท์ของคุณในรัฐอิสระมาให้ฉัน! จิ๊ ครั้งก่อนฉันให้เบอร์ฯ คุณไป แต่คุณกลับไม่โทรหาฉันสักครั้งเดียว!” เยี่ยหวันหวั่นอดบ่นไม่ได้
ซือเยี่ยหานมองเธอนิ่งๆ “ครั้งนั้น เธอรู้ว่าฉันคือใครเหรอ”
ในสมองของเยี่ยหวันหวั่นพลันมีเสียงกระดิ่งเตือนดังขึ้นทันที นี่มันคำถามฆ่าตัวตาย!
ถ้าบอกว่าตอนนั้นเธอยังไม่แน่ใจว่าเขาก็คือซือเยี่ยหาน งั้นก็ไม่เท่ากับว่ายั่วยวนชายคนอื่นหรอกเหรอ
เยี่ยหวันหวั่นสงสัยอย่างไม่ลังเลว่าชายคนนี้ก็หึงแม้แต่ตัวของตัวเองได้
เยี่ยหวันหวั่นเอ่ยตัดบท “แน่นอนว่าต้องรู้สิ! บอกแล้วไงว่าแวบแรกที่เห็นคุณก็มั่นใจแล้ว!”
ซือเยี่ยหานเผยสายตาอ่อนโยน ไม่ได้เปิดโปง และบอกหมายเลขชุดหนึ่งไป “นี่คือเบอร์ฯ ส่วนตัวฉัน”
เยี่ยหวันหวั่นรีบเดินทางจึงไม่ได้พกมือถือออกมา จึงใช้การจดจำโดยตรง “โอเค”
“ตอนบันทึกชื่อระวังหน่อยนะ ความสัมพันธ์ของพวกเราห้ามให้คนอื่นรู้เด็ดขาด” ซือเยี่ยหานเอ่ยกำชับอย่างเป็นกังวล
“ฉันเข้าใจแล้ว ไม่ต้องห่วง ฉันจะบันทึกชื่อพิเศษที่คนอื่นไม่มีทางเดาออก!” เยี่ยหวันหวั่นรับปาก
เธอคิดดีแล้ว ชื่อก็คือ เถ้าแก่ขายน้ำส้มสายชูแห่งรัฐอิสระ!
สบายหายห่วง
“ทั้งสองท่าน พวกคุณ…คุยกันเสร็จหรือยัง” หลินเชวียเร่งอย่างลำบากใจ
“ได้แล้วๆ จะเร่งอะไรนักหนา” เยี่ยหวันหวั่นกลอกตาอย่างไม่พอใจ จากนั้นก็ผลักประตูออกไป
ฟึ่บๆๆ —
หน้าประตูใหญ่อาชูร่า ชีซิงกับเจียงเหยียนกำลังสู้กันอย่างขะมักเขม้น สถานการณ์รบดุเดือดยิ่งขึ้นทุกที
“เชี่ย! เหล่าชี เลิกสู้ได้แล้ว! สู้แบบนี้จะสู้ไปถึงไหนหา! ทุกคนพุ่งเข้าไปพร้อมกันเลย!”
ชีซิงเผยสีหน้าทะมึนอย่างหนัก พันธมิตรอู๋เว่ยกับอาชูร่าสู้กันอย่างเป็นทางการ ผลกระทบนี้ใหญ่หลวงเกินไปแล้ว ข้างนอกมีคนตั้งเท่าไรที่รอให้พวกเขาสู้กัน ทางที่ดีที่สุดคือการคลี่คลายอย่างสงบสุข แต่เวลายิ่งผ่านไปนาน พี่เฟิงก็ยิ่งอันตราย…
“ใช่! กลัวบ้าอะไร! พุ่งเข้าไป!”
“เชี่ย! หัวหน้าสาขาย่อย นายอย่ามาหลบอยู่ข้างหลังฉันสิ ออกมาพูดข้างหน้านี่!”
“เชี่ย! ไปก็ไป! เพื่อผู้นำ! สู้ตาย!”
—————————————————————
บทที่ 1936 ไม่อาจเลี่ยงได้
พวกเบื้องบนพันธมิตรอู๋เว่ยแบ่งเป็นพวกกระหายสงครามกับพวกรักสงบ แต่ตอนนี้ฝ่ายที่เห็นด้วยกับการเปิดสงครามมีมากกว่า
ยังไงเสียครั้งนี้ผู้นำก็ถูกลักพาตัว ถ้ายังทนต่อไป งั้นพันธมิตรอู๋เว่ยก็ไม่ต้องอยู่ที่รัฐอิสระแล้ว
สงครามครั้งนี้จึงไม่อาจเลี่ยง…
“พวกอันธพาลก็กล้ามาเกเรกับอาชูร่า! ในเมื่อผู้หญิงคนนั้นกล้าบุกรุกอาชูร่า งั้นก็ต้องเตรียมจ่ายราคามาซะ!” เจียงเหยียนนั้นเหลือทนกับพันธมิตรอู๋เว่ยมานานแล้ว เวลานี้จึงเดือดดาลเป็นอย่างมาก
ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้อยู่ที่อาชูร่าแต่แรกแล้ว เขาใช้ไม้นวมก่อนไม้แข็งแล้ว อธิบายก็แล้ว แต่ยังไงคนพวกนี้ก็ไม่เชื่อ เอาแต่พูดลูกเดียวว่าอาชูร่าจับตัวไป๋เฟิงไว้ รังควานต่างๆ นานา เกรงว่าก็ไม่ใช่จงใจมาหาเรื่องตั้งแต่ต้นหรอกเหรอ
“เชี่ย! เจ้าเด็กบ้านี่พูดอะไร! ถึงกับบอกว่าพวกเราเป็นพวกอันธพาล!”
“ถุย ตอนนั้นที่ถูกพวกอันธพาลอัดจนฉี่ราดคือใครกันล่ะ! ไอ้ลูกหมาเหรอ”
“เอ่อ…ตอนนั้นเหมือนจะไม่รู้ผลแพ้ชนะชัดเจนนะ แถมพวกเราพันธมิตรอู๋เว่ยก็แค่กองหน้าไม่ใช่กำลังหลัก…”
“เชี่ย! แกอยู่ฝั่งไหนหา ทำไมต้องพูดความจริงด้วย! ยังไงซะหลังจากนั้นอาชูร่าก็เงียบหายไปเลยไม่ใช่เหรอ ต้องเป็นเพราะถูกอัดจนเข็ดแน่นอน!”
เพราะท่าทางของเจียงเหยียน พวกรักสงบที่เหลือเหล่านั้นจึงเปลี่ยนข้างแล้ว
“เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว! บุกเลย—” ภายใต้อารมณ์อันพลุ่งพล่าน คนของทั้งสองฝ่ายก็เริ่มควบคุมไม่อยู่แล้ว
เห็นสงครามพร้อมที่จะปะทุได้ทุกเมื่อ เวลานี้เอง เงาร่างสีดำเพรียวบางคีบรองเท้าแตะก็เดินออกมาจากภายในอาชูร่าอย่างเกียจคร้าน
“ทำอะไรน่ะ ดึกๆ ดื่นๆ มัวโวยวายอะไรกัน!”
ชั่วขณะนั้นเสียงของหญิงสาวก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง กองทัพหนาแน่นของทั้งสองฝ่ายต่างก็หยุดอยู่ตรงนั้นเหมือนกดปุ่มหยุดก็ไม่ปาน
ผ่านไปเนิ่นนานจึงค่อยๆ ทยอยตอบสนอง
สมาชิกของอาชูร่าบิดลำคอมองไปทางด้านหลังตัวเองร่างแข็งทื่อ
เชี่ย! พวกเขาได้ยินอะไรเข้า
ทำไมเหมือนได้ยินเสียงของไป๋เฟิงดังมาจากด้านหลังของพวกเขา?
“นะ…นั่นคือ…แบดเจอร์?”
“เป็นแบดเจอร์จริงๆ ด้วย!”
“ทำไมเธอถึงมาอยู่ในที่ของพวกเราได้ล่ะ”
ขณะเดียวกัน คนของพันธมิตรอู๋เว่ยก็มองไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“เชี่ย! ผะ…ผู้นำ!”
“พี่เฟิง? ฉันตาฝาดหรือเปล่า”
“พี่เฟิงไม่เป็นไรใช่ไหม!”
…
ทำไมไป๋เฟิงถึงเดินออกมาจากทางหลังบ้านของอาชูร่าได้ล่ะ ยังจะเดินกร่างออกมาจากด้านในเหมือนสวนหลังบ้านตัวเองอีกต่างหาก
เหมือนกับแค่เพิ่งเดินเล่นในอาชูร่ายังไงยังงั้น!
เมื่อเห็นฉากนี้ ไม่เพียงคนของพันธมิตรอู๋เว่ย พวกองครักษ์ของฝ่ายพันธมิตรอู๋เว่ยเองก็มีสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความงุนงง เมื่อกี้ยังตะโกนสู้ตะโกนฆ่าด้วยสีหน้าที่เปี่ยมคุณธรรมอยู่เลย เวลานี้ทุกคนต่างตกใจจนถอยไปด้านข้างตัวสั่นเทาโดยไม่รู้ตัว
เยี่ยหวันหวั่นเดินออกมาจากในกลุ่มองครักษ์อาชูร่าที่เนืองแน่นอย่างเชื่องช้า หาวหวอดๆ ก่อนที่จะบ่นอย่างเกียจคร้าน “จิ๊ รบกวนฝันหวานซะจริง!”
หา รบกวนฝันหวาน?
เมื่อเป่ยโต่วเห็นเยี่ยหวันหวั่น ก็สุดแสนจะตื่นเต้น “พี่เฟิง พี่ไม่ได้ถูกพวกต่ำช้าหน้าไม่อายอาชูร่าลักพาตัวไปทรมานสอบสวนจนเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายหรอกเหรอ”
เยี่ยหวันหวั่นกลอกตาใส่เป่ยโต่ว “ลมหายใจเฮือกสุดท้ายบ้านนายสิ!”
อีกอย่างนะ นายก็ยังกล้าพูดว่าคนอื่นเขาต่ำช้าหน้าไม่อายด้วยเหรอ
“พี่เฟิง นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ พวกเราได้จดหมายนิรนามบอกว่าพี่ตกอยู่ในเงื้อมมือของอาชูร่า!”
เยี่ยหวันหวั่นเบ้ปากเอ่ย “ที่นี่ลมน้ำไม่เลว ฉันก็แค่มาหาที่นอนเท่านั้นเอง! ไม่ต้องเคร่งเครียดขนาดนั้น!”
…………………………………………