ตอนที่ 653 สาวน้อยผู้นั้นขี่อยู่บนหลังของสัตว์บรรพกาล

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

แม่ทัพสวรรค์ผู้นั้นลอยผ่านออกไป โดยมิได้ถูกมีดแสงสับลงมา เขาเองก็ยังมีสีหน้าตื่นตระหนก ทั้งๆที่ตนเองสามารถเหาะผ่านออกไป โดยมีร่างกายครบถ้วนอยู่ 

 

 

ทันใดนั้น ตู๋กูซิงหลันก็ออกคำสั่งโดยไม่เสียเวลาแม้แต่จะคิด 

 

 

“รีบไป!” 

 

 

มังกรทั้งเก้าตัวพอได้ยินเสียงของนาง ก็ไม่สู้รบต่อ รีบปลีกตัวออกไป 

 

 

พวกมันพุ่งตัวเข้าหาประตูสวรรค์ทิศใต้อย่างรวดเร็ว แต่เหล่าทวยเทพไหนเลยจะยอมเลิกลา 

 

 

ก่อนหน้า นางมารผู้นี้เพียงฆ่าเทพน้อยๆไปสามคน แต่ว่าตอนนี้ กลับสังหารหนึ่งในแปดแม่ทัพสวรรค์ลงต่อหน้าต่อตาของพวกเขา! 

 

 

หากว่าชาวสวรรค์ยังคงยอมปล่อยนางไป เกรงว่านับจากนี้ทั่วทั้งหกภพภูมิคงต้องหัวเราะเยาะชาวสวรรค์อย่างพวกเขาไปตลอดกาลอย่างแน่นอน 

 

 

เมื่อเหล่าเทพถูกท้าทายความสูงส่ง ย่อมต้องมีผู้ที่ไม่กลัวตายผลัดหน้ากันบุกเข้าไป 

 

 

แดนสวรรค์สูญสิ้นความสงบสุข 

 

 

พวกเขารุกไล่อย่างรวดเร็ว ไม่เปิดโอกาสให้พวกตู๋กูซิงหลันได้หลบหนีแม้แต่น้อย 

 

 

มีนักรบเทพบางคนพยายามบุกเข้าไปทางรูปปั้นหงส์แดง คิดจะนำเอาหยกแดงเม็ดนั้นออกมาจากปากหงส์แดง ให้ใบมีดแสงบนประตูสวรรค์ทิศใต้ทำงานอีกครั้ง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาจะต้องไม่ยอมเลิกลา ในมือของนางกุมไม้คฑาเอาไว้ ยืนอยู่บนศีรษะของเยี่ยเฉิน สะกิดปลายเท้ากระโดดเหาะขึ้นไป จนถึงหงส์แดงเร็วกว่านักรบเทพเหล่านั้นก้าวหนึ่ง 

 

 

ร่างระหงร่อนลงเหนือศีรษะของหงส์แดง พลังวิญญาณขับเคลื่อนออกไปกลายเป็นเขตอาคมแห่งหนึ่ง ที่มีนางเป็นจุดศูนย์กลาง 

 

 

เขตอาคมนั้นครอบคลุมศีรษะทั้งหมดของหงส์แดงเอาไว้ คนธรรมดาไม่อาจเข้าใกล้ได้ 

 

 

“ท่านเจ้าวัง” มังกรทั้งเก้าตัวพอเห็นนางเหาะขึ้นไป ก็คิดจะติดตามร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับนาง! 

 

 

“รีบไป กลับไปรอข้าที่โลก!” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่บนศีรษะของหงส์แดง นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ล้วงเอายันต์โลหิตของต้าซือมิ่งออกมาพร้อมกับป้ายหยกชิ้นหนึ่ง โยนให้กับหนึ่งในเก้ามังกร 

 

 

จากนั้นก็ส่งเสียงบอกกับพวกมันว่า “ไปยังหุบเขาหมื่นปีศาจบนแดนจิ่วโจว ตามหาพี่สาวต๋าจี่ ช่วยเหลือพี่ชายของข้า ข้าจะกลับไปเอง” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมิว่าทำเรื่องใดล้วนมีแต่ความรอบคอบ ตอนนี้นางกางอาคมสกัดกั้นอยู่บนศีรษะของหงส์แดง เพื่อซื้อเวลาให้พวกมันได้หลบหนี จากนั้นนางก็ค่อยหาทางติดตามไปให้เร็วที่สุด 

 

 

หากว่าหากเกิดเรื่องขลุกขลักขึ้นมาระหว่างนี้ อย่างน้อยๆพวกเก้ามังกรก็ได้กลับไปก่อน ส่วนนางหากไปไม่ได้ก็แค่รอจนถึงเวลาที่วิญญาณทมิฬเรียกวิญญาณของนางกลับไป 

 

 

มังกรยักษทั้งเก้าตัวแม้ต่างก็เกิดความลังเลใจ แต่ว่าก็ไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของนาง 

 

 

กระทั่งเยี่ยเฉินเองก็ลังเลเช่นกัน 

 

 

“เจ้าติดตามพวกเขาไป” ตู๋กูซิงหลันส่งเสียงบอกเขา “ป้ายหยกชิ้นนั้นเป็นสมบัติของหวาชางสุ่ยมารดาของเจ้า สามารถช่วยชีวิตเจ้าได้” 

 

 

เยี่ยเฉินอ้าปากค้าง ในใจมีแต่ความสับสนวุ่นวาย 

 

 

มารดาเดิมทีมาจากเผ่าเทพในแดนสวรรค์ ทั้งยังเป็นตระกูลสำคัญในแดนสวรรค์อีกด้วย 

 

 

ก่อนหน้านี้เขาก็เคยได้ยินมารดาบอกเอาไว้ ตระกูลหวามีป้ายหยกอยู่ชิ้นหนึ่ง หากมีป้ายนี้ก็สามารถเข้าออกแดนสวรรค์ได้อย่างอิสระ 

 

 

แต่ภายหลัง ป้ายหยกนี้มารดาถวายให้พระบิดาไป  

 

 

คิดไม่ถึงว่า สุดท้ายแล้วป้ายหยกนี้จะมาตกอยู่ในมือของตู๋กูซิงหลัน และเขาจะได้ใช้ป้ายหยกนี้หนีเอาชีวิตรอด 

 

 

และที่เขายิ่งคิดไม่ถึงก็คือ ตู๋กูซิงหลันจะใช้ตนเองเป็นเครื่องถ่วงเวลา ให้พวกเขาได้หลบหนีไปก่อน 

 

 

เยี่ยเฉินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจหลบหนีไป 

 

 

ด้วยความสามารถของตู๋กูซิงหลัน หากนางต้องการหลบหนีออกจากสวรรค์สมควรมิใช่เรื่องยากจนเกินไป 

 

 

หากพวกเขารั้งอยู่ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นตัวถ่วงนาง 

 

 

ดังนั้นเพียงพริบตาเดียว เยี่ยเฉินก็เหาะผ่านประตูสวรรค์ทิศใต้ออกไป 

 

 

พอเขาลอดออกไป ตู๋กูซิงหลันก็ได้ยินเสียงดังมาจากทั่วทุกทิศทาง แค่แวบเดียว ก็มีกองทัพนักรบสวรรค์จำนวนมากมายมหาศาลบุกออกมาจากชั้นหมู่เมฆ 

 

 

พอกวาดตามองไป คล้ายจะมากถึงนับหมื่นคน 

 

 

ประตูสวรรค์ทิศใต้เดิมทีก็มีนักรบสวรรค์มากถึงสองพันคนอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้นไปอีกหลายเท่า เพียงพริบตาเดียวทั้งหมดก็รายล้อมประตูสวรรค์ทิศใต้เอาไว้ 

 

 

นักรบสวรรค์ทั้งสองพันคนที่เดิมทีกริ่งเกรงตู๋กูซิงหลันอยู่บ้าง ตอนนี้ก็พลันมีความฮึกเหิมขึ้นมา 

 

 

แต่ละคนบุกเข้าไปหานางด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด 

 

 

เพียงพริบตาเดียวก็เหาะขึ้นไปบนประตูสวรรค์ทิศใต้ ไม่ว่าจะต้องทำเช่นไร ก็ไม่อาจปล่อยให้สัตว์ชั้นต่ำเหล่านั้นหลบหนีไปได้ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมองดูเหล่านักรบสวรรค์ที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหัน ตอนที่เห็นคนที่อยู่บนหมู่เมฆเบื้องบน นางไม่ยอมเสียเวลาครุ่นคิดอีกต่อไป หยิบเอาหยกสีแดงในปากของหงส์แดงเม็ดนั้นออกมาในทันที 

 

 

“ฟิ้ว…..” 

 

 

ทันทีที่นางหยิบออกมา ใบมีดแสงที่อยู่บนบานประตูสวรรค์ก็สะบั้นลงมาอีกครั้งอย่างรุนแรง 

 

 

เหล่านักรบสวรรค์ที่ถอยออกไปไม่ทัน ต่างก็ถูกใบมีดนั้นสับเป็นชิ้น! 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเก็บหยกแดงชิ้นนั้นลงไปในถุงเฉียนคุน ตนเองยืนอยู่บนหงส์แดง 

 

 

ภาพนี้หากมองดูแต่ไกล ก็ราวกับว่าสาวน้อยผู้นี้กำลังขี่อยู่บนหลังของสัตว์บรรพกาล หงส์แดงกางปีกออก สาวน้อยก็สยายเส้นผมพลิ้วออกไป กลายเป็นภาพที่งดงามตระการตา 

 

 

บนแดนสวรรค์มีเทพธิดาอยู่มากมาย แต่ว่าในยามนี้ พวกเขาทั้งหมดต่างก็เกิดความรู้สึกว่า 

 

 

ไม่มีเทพธิดาองค์ใดบนแดนสวรรค์ที่จะสามารถเทียบกับนางได้ 

 

 

ซือเป่ยยืนอยู่บนยอดก้อนเมฆเบื้องบน มองลงไปด้วยแววตาเย็นยะเยือกอย่างที่สุด 

 

 

เขามองดูความวุ่นวายที่เกิดขึ้นที่ประตูสวรรค์ทิศใต้ เมฆต่างๆถูกย้อมเป็นสีแดง สุดท้ายก็มองไปยังตู๋กูซิงหลัน 

 

 

เหล่านักรบเทพต่างรายล้อมอยู่รอบกายนาง แม้ว่าจะพยายามบุกเข้าไปทุบตี แต่ก็ไม่อาจทำลายได้แม้แต่เขตอาคมของนาง 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน ….เยี่ยซิงหลัน….. 

 

 

ครั้งก่อนที่พบกัน ยังไม่ทันถึงหนึ่งปีเสียด้วยซ้ำ นางกลับเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ 

 

 

นักรบเทพกลุ่มหนุ่งผลัดกันบุกเข้าไปตรงเบื้องหน้าของนาง ตู๋กูซิงหลันกลับเห็นว่าเกะกะสายตา ไม้คฑาของนางกวาดอกไป พลังวิญญาณสายหนึ่งก็พุ่งออกมา ซัดใส่พวกเขาจนกระเด็นไปไกล 

 

 

กลายเป็นภาพที่น่าตื่นตะลึง ท่ามกลางหมู่ดาว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันถูกนักรบสวรรค์นับหมื่นรายล้อมเอาไว้ 

 

 

นางปิดทางออกจากประตูสวรรค์ทิศใต้ด้วยตนเอง ทำให้พวกนักรบสวรรค์ไม่มีโอกาสออกไปไล่ตาม 

 

 

นางมอบเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดให้กับเก้ามังกรและเยี่ยเฉิน 

 

 

แต่ว่าในขณะเดียวกัน กลับทำให้ตนเองต้องเผชิญกับความตายอยู่บนแดนสวรรค์ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่คิดมากอีกต่อไป 

 

 

นางหรี่ดวงตาลง สายตาไปหยุดอยู่ที่ร่างของซือเป่ย 

 

 

ริมฝีปากแดงยกยิ้ม “ซือเป่ย เจอกันอีกแล้ว” 

 

 

นามของเทพสงคราม ใช่ที่นางมารอย่างนางจะสามารถเรียกตรงๆได้เช่นนี้กระนั้นหรือ? 

 

 

ทั้งยังเรียกด้วยกริยาหยิ่งทนงจนโอหังอีกต่างหาก แต่ด้วยความงดงามที่ล้ำเลิศเช่นนั้น ทำให้แม้จะโอหังเพียงไรก็ดูเหมือนจะไม่ถือว่าเกินไป 

 

 

สีหน้าของซือเป่ยมิสู้ดี เขายืนอยู่บนชั้นเมฆเบื้องบน พร้อมกับแม่ทัพสวรรค์อีกหกคนอยู่ด้านหลัง 

 

 

ภาพตรงหน้านี้เป็นสิ่งที่ใครๆก็คาดไม่ถึง 

 

 

เดิมทีพวกเขาคิดว่า ด้วยความสามารถของแม่ทัพสวรรค์เพียงสองคน ก็เพียงพอที่จะจับกุมตัวนางมารผู้นี้ได้แล้ว 

 

 

แต่ว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้….. 

 

 

นางใช้วิชามารใดกัน….. 

 

 

ตอนนี้พวกเขาอยากจะจับตู๋กูซิงหลันมาทรมานให้หนัก เพื่อชำระความแค้นในหัวใจ 

 

 

แม่ทัพที่โชคดียังรักษาชีวิตเอาไว้ได้ผู้นั้นคืบคลานกลับไปหาซือเป่ยอย่างทุลักทุเล ร่างของเขาหลั่งเลือดจนโชกชุ่ม 

 

 

“เทพสงคราม นางมารผู้นี้มีวิชาต้องห้ามที่ดูดซับพลังวิญญาณของผู้อื่นได้ ผู้น้อยแม่ทัพอี๋ปู้ไม่ทันระวังตัวจึงเสียทีแก่นาง ท่านต้องระวังตัวให้ดีนะขอรับ” 

 

 

เขาก้มศีรษะรายงานต่อซือเป่ย ด้วยความเกรงกลัวว่าเทพสงครามจะลงโทษเขา 

 

 

ซือเป่ยมิได้ตอบ ดวงตาคู่นั้นยังคงจดจ้องอยู่ที่ตู๋กูซิงหลัน 

 

 

ด้วยแววตาที่เย็นยะเยือก 

 

 

“บังอาจก่อความวุ่นวายร้ายแรงบนแดนสวรรค์ถึงเพียงนี้ ตามกฏของแดนสวรรค์แล้ว เจ้าจะต้องรับทัณฑ์สายฟ้าพันครั้ง และทำลายวิญญาณ” 

 

 

เขาเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ยังไม่ทันจะต่อสู้กัน ก็ตัดสินโทษตายให้กับตู๋กูซิงหลันก่อนแล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยกคิ้ว ลูบไล้ปลายผมเบาๆ แล้วนำไปทัดไปบนใบหู พลางยิ้มอย่างเย็นชาขณะเอ่ยถามเขาว่า “เจ้าจะบอกว่า บนแดนสวรรค์แห่งนี้ เจ้าเป็นใหญ่ที่สุด แม้แต่เทียนตี้ก็ไม่มีน้ำหนักอะไรอย่างงั้นสิ?” 

 

 

…………………..