ตอนที่ 654 ครั้งนี้ ไม่มีซีเหออีกแล้ว

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

เทียนตี้ไม่มีน้ำหนักอะไร…… 

 

 

นางจงใจแฝงพลังวิญญาณลงไปในน้ำเสียงที่เอ่ยออกมา จนเสียงนี้ดังสะท้อนกลับไปกลับมาอยู่ในแดนสวรรค์ 

 

 

ชั่วขณะนั้น ไม่รู้ว่าผู้คนบนแดนสวรรค์มากมายเท่าไหร่ต่างก็คิดที่จะตัดลิ้นของนางออกมา 

 

 

ผู้คนทั้งหลายไม่เพียงแต่หวาดกลัวเทียนตี้อย่างที่สุด แต่ว่ายังให้ความเคารพเขาอย่างยิ่งอีกด้วย 

 

 

เทียนตี้ทรงเป็นสัญลักษณ์ของแดนสวรรค์ ไม่อาจถูกลบหลู่ได้อย่างเด็ดขาด 

 

 

แต่ว่านางมารผู้นี้กลับปากพล่อย กล้าสบประมาทเทพสงครามและด่าทอเทียนตี้ว่าไร้ความสำคัญไปพร้อมๆกัน 

 

 

นางคงจะรู้ตัวว่าหนีไปไหนไม่พ้นแล้ว ก็เลยคิดจะทุบหม้อข้าวทิ้งสู้ตายสินะ? 

 

 

สีหน้าของซือเป่ยไม่น่ามอง ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่หุบเขาปีศาจบนโลกปัจจุบันเขาละเว้นชีวิตนางไปครั้งหนึ่ง ถือเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดในช่วงหลายต่อหลายปีที่ผ่านมา 

 

 

ขนนกบนหมวกเกราะของเขาถึงกับกระตุก ดวงตาที่เป็นประกายดุจดวงดาวคู่นั้นจ้องไปที่ตู๋กูซิงหลัน ราวกับว่ากำลังจับตามองคนตายผู้หนึ่ง 

 

 

เขารู้ดีอยู่แล้ว ว่านางปากคอเราะรายถึงเพียงไหน ทั้งยังกลับดำเป็นขาวได้อย่างเก่งกาจที่สุด หากจะโต้เถียงกับนางไป ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา 

 

 

ซือเป่ยโบกมือเบาๆ เอ่ยกับแม่ทัพสวรรค์ทั้งหกคนว่า “สังหาร…..อย่าให้รอดไปได้” 

 

 

นางช่างชาญฉลาดนัก พอเอ่ยปากก็สร้างความขัดแย้งระหว่างเขากับเทียนตี้ขึ้นมา 

 

 

สตรีผู้นี้เจ้าคิดเจ้าแค้นเกินไป ความคิดความอ่านก็ลึกล้ำ สามารถบุกขึ้นมาบนแดนสวรรค์ด้วยกำลังของตนเอง หากว่าปล่อยทิ้งเอาไว้ จะต้องกลายเป็นรากเหง้าของหายนะ 

 

 

คนเช่นซือเป่ย….ย่อมไม่เคยปล่อยให้ตนเองต้องเผชิญกับหายนะ 

 

 

ทันทีที่เอ่ยคำว่าสังหารออกไป ก็เห็นแม่ทัพสวรรค์ทั้งหกเหาะออกไปตามคำบัญชาของซือเป่ย 

 

 

ในมือของพวกเขาต่างก็มีศาสตราวุธ ดวงตาขึงขัง 

 

 

ที่ใต้ประตูสวรรค์ทิศใต้ ยังเต็มไปด้วยซากศพของนักรบสวรรค์มากมาย 

 

 

ความน่ากลัวของใบมีดแสงบนประตูสวรรค์ทิศใต้อยู่ที่ มันไม่เพียงแต่ตัดร่างหั่นกระดูก แม้แต่ดวงวิญญาณก็ยังถูกทำลายจนหมดสิ้น 

 

 

นั่นก็หมายความว่า แม่ทัพสวรรค์อี๋ปู้และนักรบสวรรค์กลุ่มนั้นตายอนาถอย่างไม่อาจจะฟื้นคืนมาได้อีก 

 

 

ทั้งหมดพ่ายแพ้ให้แก่นางมารผู้นั้น 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่บนศีรษะของหงส์แดง รอบกายยังคงมีเขตอาคมปกป้องเอาไว้ 

 

 

ในมือของนางก็ยังคงมีไม้คฑาดังเดิม ดวงตาดอกท้อคู่นั้นกวาดมองไปที่แม่ทัพสวรรค์ทั้งหกที่บุกเข้ามาด้วยความฮึกเหิมด้วยหางตาบางๆ 

 

 

สุดท้านก็ไปหยุดอยู่ที่ซือเป่ย 

 

 

“เจ้าเห็นว่าถูกข้าเปิดโปง จึงจะฆ่าคนปิดปากใช่หรือไม่?” 

 

 

“ตอนอยู่ที่เจดีย์กำราบเทพมาร เทียนตี้ยังทรงเคยตรัสว่าอนุญาตให้ข้าไปได้ทั่วแดนสวรรค์ ที่แท้คำพูดของเขาก็ใช้การไม่ได้ ผู้ครอบครองแดนสวรรค์แห่งนี้ก็คือเจ้า เทพแห่งสงครามซือเป่ยสินะ” 

 

 

นางยังคงพูดต่อไป และใช้พลังวิญญาณกระจายเสียงออกไปจนไกล แม้แต่เทพจื่อเวยซิงจุนที่อยู่ไกลออกไปก็ยังคงได้ยิน 

 

 

เขายังคงป้อนผลไม้พวกกวางอยู่ในสวนเซียน พอได้ยินคำพูดเหล่านั้นก็ถึงขั้นนั่งไม่ติดอีกต่อไป 

 

 

เขาได้ข่าวมาว่า นางมารผู้นั้นอาศัยการสิงอยู่ในร่างของเยี่ยเฉิน เพื่อขึ้นมาบนแดนสวรรค์ 

 

 

วันนี้นางถึงกับ ‘ฉี่ราด’ ต่อหน้าเทียนจุน แต่เทียนจุนก็มิได้ลงโทษนาง 

 

 

ที่แท้ก้เป็นเพราะเกิดความสนใจในตัวนางขึ้นมาแล้ว? 

 

 

เทพจื่อเวยซิงจุนมิได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดอันใด เพราะ สตรีผู้นี้มีดวงตาที่คล้ายคลึงกับเทียนโฮว่ 

 

 

ส่วนเทพสงครามซือเป่ยนั้น…. 

 

 

เทพจื่อเว่ยซิงจุนโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง ในป่าเซียนก็ปรากฏจานดาราขึ้นมา 

 

 

บนจานดารา แสงสว่างของดาวจักรพรรดิยิ่งทียิ่งสลัวลงไป ไม่เพียงแค่นั้น แม้แต่ดวงดาวที่อยู่รอบๆก็ยังหม่นแสงลงไปด้วยเช่นกัน 

 

 

แต่ว่าดวงดาวที่มืดมิดดวงนั้น…….กลับมีขนาดใหญ่ขึ้นมาแล้ว 

 

 

และใกล้กับดวงดาวที่มืดมิดดวงนั้น ยังมีดาวสงครามอยู่ดวงหนึ่ง 

 

 

และดาวสงครามดวงนั้นทำท่าเหมือนจะระเบิดออก 

 

 

ดาวสงครามดวงนี้คือดาวประจำตัวของเทพสงครามซือเป่ย…. 

 

 

เทพจื่อเวยซิงจุนทอดทอนหายใจออกมา เขาโบกแขนเสื้ออีกครั้ง จานดาราก็หายไปในอากาศ 

 

 

เขาทางหนึ่งก็ป้อนอาหารให้กับกวางเหล่านั้น อีกทางหนึ่งก็ส่ายศีรษะพลางเอ่ยกับตนเองว่า “ฟ้าดินเปลี่ยนผัน สับเปลี่ยนหมุนวน เป็นธรรมชาติ…..เป็นลิขิตของสวรรค์….” 

 

 

…………………. 

 

 

ประตูสวรรค์ทิศใต้ 

 

 

วาจากัดแทะหลายประโยคนั้นของตู๋กูซิงหลัน ยิ่งยั่วยุให้หกแม่ทัพสวรรค์มีโทสะลุกโชนมากกว่าเดิม 

 

 

พวกเขาถูกเขตอาคมของตู๋กูซิงหลันขวางกั้นเอาไว้ ทำให้ไม่อาจบุกเข้าไปถึงตัวนาง 

 

 

จิตวิญญาณกึ่งโปร่งแสงถูกห้อมล้อมเอาไว้ในเขตอาคมที่เหมือนกับโลกของหมอกสีแดงใบหนึ่ง ริมฝีปากสีแดงของนางยกยิ้ม ราวกับว่ากำลังท้าทายเหล่าเทพทั้งหลาย 

 

 

ในตอนนั้นเอง แม่ทัพสวรรค์ทั้งหกต่างก็ขับพลังวิญญาณของตนเองออกมา สองมือกุมศาสตราวุธของตนเองกลุ้มรุมกันเข้าไป 

 

 

กระบี่วิเศษ ง้าว ดาบ จักร ขวาน กระสวย 

 

 

อาวุธทั้งหมดพุ่งเข้าหาตู๋กูซิงหลันแทบจะพร้อมๆกัน 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเองก็มิได้ประมาท นางขับเคลื่อนพลังวิญญาณทั่วร่าง เสริมพลังให้กับเขตอาคม เพื่อสกัดกั้นอาวุธทั้งหมดไว้แต่เพียงด้านนอก 

 

 

ตอนนี้นางยังไม่ได้วางเม็ดหยกแดงกลับลงไปในปากของหงส์แดง เพราะยังต้องการถ่วงเวลาให้พวกเก้ามังกรและเยี่ยเฉินหลบหนีไป 

 

 

นางจะต้องต้านทานแม่ทัพสวรรค์เหล่านี้เอาไว้ให้จงได้ เพื่อให้มังกรทั้งเก้ากลับสู่โลกเบื้องล่างอย่างปลอดภัย 

 

 

………………. 

 

 

อาวุธทั้งหมดฟาดฟันลงมาบนเขตอาคมของนาง แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ ยามที่อาวุธเหล่านี้ฟันลงมา กลับไม่มีเสียงใดๆเกิดขึ้นทั้งสิ้น 

 

 

เขตอาคมของตู๋กูซิงหลันสะเทือนน้อยๆ ราวกับทะเลสาบที่เงียบสงบ ผุดวงน้ำขึ้นมาชั้นหนึ่ง 

 

 

ถึงแม้ว่าจะไม่มีเสียงใดๆ แต่ว่าในวินาทีนั้นก็เกิดประกายแสงสว่างจ้าขึ้นมา แสงสว่างนั้นสาดส่องออกไปรอบประตูสวรรค์ทิศใต้จนเจิดจ้า 

 

 

เหล่าแม่ทัพรู้สึกได้ว่าพลังที่แข็งแกร่งจำนวนมหาศาลของตนเองถูกดึงดูดออกไป แต่ละคนต้องเบิกตาโตมองดูตู๋กูซิงหลันอย่างอดไม่อยู่ 

 

 

หลังแสงสว่างนั่นหายไป พวกเขาถึงได้สามารถมองเห็นว่าอาวุธเหล่านั้นถูกสะท้อนกลับออกมา 

 

 

ไม่เพียงแค่นั้น บนร่างของพวกเขายังถูกอาบไปด้วยแสงสว่างสีแดงชั้นหนึ่ง 

 

 

แม่ทัพที่พลาดท่าอย่างอนาถไปเมื่อครู่ ยังคงยืนอยู่ที่ด้านหลังของซือเป่ย พอเห็นสถานการณ์กลายเป็นเช่นนั้น เขาก็รีบร้องตะโกนออกไปว่า “ทุกคนจงระวัง นางมารผู้นั้นสามารถดูดกลืนพลังวิญญาณ ย้อนคืนใส่ผู้อื่น อันตรายอย่างที่สุด!” 

 

 

แม่ทัพสวรรค์ทั้งหกต่างก็เคยได้ยินเขาบอกเรื่องนี้มาก่อนแล้ว แต่ว่ายามที่บุกเข้าไปปะทะกับตู๋กูซิงหลัน ก็ยังคงไม่คิดจะเห็นนางอยู่ในสายตา 

 

 

เหล่าเทพบนสรวงสวรรค์ยังคงเชื่อมั่นในความสูงส่งจนเลิศลอยของตนเอง ต่อให้มีพวกพ้องร้องเตือน พวกเขาก็ยังคงรู้สึกว่า ตู๋กูซิงหลันเป็นเพียงนางมารจากโลกเบื้องล่าง ที่มิได้เก่งกล้าสักเท่าไรอยู่ดี 

 

 

เพียงแต่ว่าตอนนี้กระทั่งพวกเขาก็ยังคิดไม่ถึงว่า ทั้งหกบุกเข้าไปพร้อมๆกัน ก็ยังไม่สามารถทำลายเขตอาคมของนางลงได้ 

 

 

นางมารผู้นี้ มีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ 

 

 

มิน่าเล่าจึงสามารถบุกเดี่ยวขึ้นมาบนสรวงสวรรค์ได้! 

 

 

อาวุธทั้งหมดสะท้อนกลับออกมา หกแม่ทัพสวรรค์ต่างก็รับเอาไว้ กระชับในมืออย่างเหนียวแน่น คราวนี้ไม่มีผู้ใดกล้าประมาทตู๋กูซิงหลันอีกแล้ว 

 

 

ในยุคเก่าก่อนนานมาแล้ว มีพวกผู้บำเพ็ญเพียรรุ่นก่อนที่ไม่คิดจะฝึกฝนจนเก่งกล้าขึ้นไปเรื่อยๆทีละก้าวๆ ดังนั้นจึงได้เกิดความคิดอันแยบยล ฝึกฝนในทางลัดขึ้นมา 

 

 

พวกนั้นอาศัยวิธีดูดกลืนพลังวิญญาณของผู้อื่นมาเป็นของตน จนกลายเป็นวิชามารที่ชั่วร้าย 

 

 

นางมารผู้นี้ที่จริงมิได้มีฝีมืออันใด เพียงแต่อาศัยวิชาดูดซับพลังวิญญาณจึงพอจะมีความสำเร็จอยู่บ้าง แต่สำหรับพวกเขาวิธีนี้ช่างน่าเหยียดหยามอย่างที่สุด 

 

 

…………… 

 

 

ไกลออกไป ท่ามกลางดวงดาวและหมู่เมฆ มีแสงสีทองกลุ่มหนึ่งซุกซ่อนอยู่ 

 

 

ดวงเนตรสีทองที่ระยิบระยับคู่นั้นมองฝ่ากลุ่มเมฆหนาแน่นไปที่ร่างของตู๋กูซิงหลัน 

 

 

ตลอดทางมายังที่นี่ ทุกความเคลื่อนไหวของนางล้วนอยู่ในสายพระเนตรของตี้เสียตลอดเวลา 

 

 

แถมในยามนี้ พระองค์ก็ยิ่งมั่นใจแล้วว่า สิ่งที่อยู่ในมือของนาง ก็คือ คฑาฮว๋าย 

 

 

ใต้หล้านี้มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถใช้มันได้ 

 

 

ก่อนหน้า……ตอนที่นางตายไป คฑาฮว๋ายด้ามนี้ก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย พระองค์ส่งคนไปออกตามหานานหลายปี แต่ก็ไม่เจออะไรแม้แต่เศษไม้ 

 

 

คิดไม่ถึงว่า มันจะมาปรากฏขึ้นอีกครั้งอย่างสมบูรณ์ในมือของนาง 

 

 

นางกลับมาแล้ว 

 

 

พระองค์หรี่พระเนตรลง ในสมองปรากฏภาพเก่ามากมายย้อนกลับมา 

 

 

พระองค์เคยร้องขออย่างจริงพระทัย เคยวิงวอนด้วยความทุกข์ทรมาน 

 

 

แต่นางก็ไม่เคยใจอ่อน กระทั่งยามตายก็ไม่ยินยอมมอบความอบอุ่นให้กับพระองค์แม้แต่น้อย 

 

 

ในที่สุดเจ้าก็กลับมา และครั้งนี้ ไม่มีซีเหออีกแล้ว 

 

 

มิว่าในแดนสวรรค์ หรือในหกภพภูมิ ก็มีแต่ข้าตี้เสียเท่านั้น 

 

 

……………………