ตอนที่ 655 ต่อให้บุกเข้าไปอย่างบ้าคลั่งก็ไม่มีประโยชน์

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ไม่มีผู้ใดจะสามารถขัดขวางเส้นทางระหว่างเจ้าและข้าอีกแล้ว 

 

 

สายลมโบกโบย พัดพาแถบผ้าสีทองบนท่อนพระกรพลิ้วขึ้นมา 

 

 

ดวงเนตรสีทองคู่นั้น นอกจากนัยตาที่ร้อนแรงแล้ว ตอนนี้ก็ยังเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาที่จะยึดครองอย่างบ้าคลั่ง 

 

 

ในที่สุดพระองค์ก็ยกพระโอษฐ์แย้มสรวลขึ้นมา 

 

 

แววเนตรที่จดจ้องไปยังตู๋กูซิงหลัน เสมือนได้เห็นสมบัติล้ำค่าที่สูญหายไปปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง 

 

 

ก่อนหน้านี้พระองค์เคยตรัสเอาไว้แล้วว่า สักวันหนึ่งนางจะต้องสำนึกเสียใจ 

 

 

เสียใจที่นางเลือกซีเหอ ไม่ยอมเลือกพระองค์ 

 

 

ตอนนี้ พระองค์ก็ทรงเป็นจักรพรรดิแห่งสรวงสวรรค์ผู้สูงส่งแล้ว 

 

 

หากนางต้องการขึ้นมาบนแดนสวรรค์ ไยต้องครุ่นคิดวางแผนให้มากความ 

 

 

ขอเพียงพูดกับพระองค์อย่างอ่อนหวานสักหลายประโยค มิว่าต้องการอะไรก็ได้ทั้งนั้น 

 

 

ผู้ที่พระองค์ทรงต้องการก็คือนาง! 

 

 

ความปรารถนาที่ไม่บรรลุในครั้งก่อน ครั้งนี้จะต้องทำให้กลายเป็นจริงให้จงได้! 

 

 

………………… 

 

 

 

 

 

ไม่ไกลจากจุดที่ตี้เสียทรงประทับอยู่ คือเงาร่างที่เลือนลางสายหนึ่ง 

 

 

ตี้ซินมิได้เผยโฉมออกไป แต่ว่าเขากลับมองเห็นสีพระพักตร์และจับอารมณ์ที่แสดงออกมาของตี้เสียได้อย่างชัดเจน 

 

 

จากนั้น ก็หันความสนใจไปยังตู๋กูซิงหลันเช่นกัน 

 

 

และสุดท้ายก็มองไปที่ถุงเฉียนคุนที่อยู่ในมือของนาง 

 

 

มิน่าเล่า….มิน่าตอนอยู่ที่สายธารดวงดาวแวบแรกที่เขาได้เห็น ‘เขา’ ผู้นั้น ตนถึงได้เกิดความคิดอยากจะช่วยเหลือนางสักครั้ง 

 

 

ที่แท้ก็เพราะว่าบนร่างของนาง มีกลิ่นอายของจิ้งจอกตัวนั้นแฝงอยู่ 

 

 

หากดูจากภายนอกถุงเฉียนคุนใบนั้น เหมือนจะสร้างขึ้นมาจากทองแดง แต่ที่จริงแล้วตอนนั้น เขาเป็นคนสั่งให้ยอดปรมาจารย์ช่างหลอมในเมืองเฉาเกอเฉิงสร้างขึ้นมาด้วยตนเอง เพื่อมอบเป็นของขวัญให้กับนาง 

 

 

พอได้เห็นถุงเฉียนคุนใบนี้อีกครั้ง หัวใจของเขาก็ต้องสับสนวุ่นวายไปหมด 

 

 

ที่ดีใจ ก็เพราะว่านางยังคงเก็บรักษาสิ่งของที่เขามอบให้นางเอาไว้ 

 

 

ที่เสียใจ ก็เพราะได้รู้ว่า นางมอบสิ่งของที่เขาให้ไว้ให้กับผู้อื่นโดยง่าย 

 

 

แต่มิว่าเช่นไร ตี้ซินก็รู้แล้วว่า สาวน้อยผู้นี้จะต้องเป็นคนสำคัญของเจ้าจิ้งจอกของเขาอย่างแน่นอน 

 

 

มิเช่นนั้นจิ้งจอกของเขา จะต้องไม่มีทางมอบถุงเฉียนคุนนี้ให้นางมาแน่ 

 

 

ในชีวิตของเขา เคยติดค้างคนเพียงผู้เดียว นั่นก็คือต๋าจี่ 

 

 

……………. 

 

 

พระตำหนักยวนยางกง ฮว๋ายยู่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเบาะนุ่ม 

 

 

วันนี้อารมณ์ของพระนางขึ้นๆลงๆอยู่ตลอดเวลา ไม่อาจสงบลงได้เลย 

 

 

ภาพเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในกระจก ทำให้นางพลอยตื่นเต้นอยู่ตลอดไปด้วย 

 

 

แปดแม่ทัพต่างก็ลงมือแล้ว แต่ก็ยังปล่อยให้พวกสัตว์ชั้นต่ำทั้งเก้าชีวิตนั้นหลุดรอดไปได้! 

 

 

และตอนนี้ พวกเขาก็กำลังพิสูจน์ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงกับนางมารผู้นั้นอยู่ 

 

 

ซือเป่ยเป็นผู้คุมทัพ แปดแม่ทัพรับบัญชา ยังมีนักรบสวรรค์อีกเกือบหมื่นคน แต่กลับจับนางมารเพียงคนเดียวไม่ได้? 

 

 

พระนางกริ้วเสียจนปวดพระครรภ์จริงๆแล้ว 

 

 

ตี้เสียก็ทรงถ่วงเวลาไม่ยอมเสด็จมาเสียที แล้วเช่นนี้พระทัยของพระนางจะสงบลงได้อย่างไร 

 

 

พระหัตถ์ของพระนางกุมด้ามจับของกระจกบานนั้นเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ในที่สุดก็ทรงทนต่อไปไม่ไหว ฝ่าพระหัตถ์ขยับเล็กน้อย พลังวิญญาณสายหนึ่งก็ถูกส่งเข้าไป 

 

 

………………. 

 

 

 

 

 

บนหมู่เมฆเบื้องบน ซือเป่ยรู้สึกถึงความร้อนที่เกิดขึ้นในทรวงอก 

 

 

เขาโบกมือขึ้นมาครั้งหนึ่ง รอบกายก็มีแสงสีทองรายล้มเอาไว้ 

 

 

กระจกบานหนึ่งเลื่อนไหลออกมาจากในอกเสื้อ 

 

 

 

 

 

กระจกบานนั้นลอยอยู่ในระดับสายตาของเขา ตอนแรกบนกระจกสะท้อนภาพหมอกที่ดูขมุกขมัว แต่ว่าหมอกพวกนั้นก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นปรากฏดวงหน้าที่งดงามโดดเด่นขึ้นมา 

 

 

ซือเป่ยยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็ได้ยินเสียงของฮว๋ายยู่ดังออกมาจากในกระจกว่า 

 

 

“ทำไมเจ้าถึงยังไม่ลงมือด้วยตนเองอีก? ปล่อยให้นางมารผู้นั้นได้ถ่วงเวลาออกไป เพราะคิดจะลากยาวจนให้เทียนจุนทรงเสด็จไปช่วยนางกระนั้นหรือ?” 

 

 

ใช่แล้ว ฮว๋ายยู่อดที่จะกังวลไม่ได้ว่า หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ตี้เสียอาจจะทรงเสด็จไปช่วยเหลือนางมารผู้นั้นด้วยตนเอง 

 

 

เพราะก่อนหน้านี้เพียงไม่นาน นางเหลือบไปเห็นจากในกระจกแล้วว่าเงาร่างสีทองของเขา ซุกซ่อนอยู่ในหมู่เมฆหมอกเบื้องบน  

 

 

พวกนางเป็นสามีภรรยากันมานานปีขนาดนี้ พระนางย่อมต้องทรงคุ้นเคยกับพระองค์อย่างที่สุดแล้ว 

 

 

แค่ได้เห็นสายพระเนตรของพระองค์เพียงแวบเดียว พระนางก็ทรงทราบว่าพระองค์กำลังทรงคิดสิ่งใดอยู่ อย่าว่าแต่ นางยังเห็นแสงสีทองกลุ่มนั้นซุกซ่อนอยู่ในหมู่เมฆอีกด้วย 

 

 

ปากก็บอกว่าเข้าฌาน แต่ว่าที่จริงแล้วกลับแอบไปจับตาดูนางมารนั่นอย่างเงียบๆ 

 

 

ทั้งๆที่ทรงทราบดีว่าพระนางแอบอ้างออกพระบัญชา แต่ก็มิได้ทรงเปิดโปง 

 

 

พระองค์….คิดจะทำตนเป็นวีรบุรุษมาช่วยเหลือสาวงามที่ตกยากกระนั้นหรือ? 

 

 

พอคิดถึงตรงนี้ ฮว๋ายยู่ก็ทรงประทับนั่งไม่ติดอีกต่อไป 

 

 

ซือเป่ยเห็นท่าทางที่ร้อนรนของนาง แววตาที่เดิมทีคุกรุ่นและเย็นชาก็สลายลงไปหลายส่วน 

 

 

“เทียนโฮว่ ท่านพระทัยร้อนเกินไป” 

 

 

เขาทูลต่อไป “สาวน้อยจากโลกเบื้องล่างผู้นั้นจะต้องตายอย่างแน่นอน” 

 

 

“อย่าได้มัวกล่าววาจาไร้ประโยชน์ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใด ข้าก็ต้องการให้นางจิตวิญญาณแตกสลาย จงรีบจัดการในทันที!” 

 

 

ฮว๋ายยู่เค้นเสียงกดต่ำ “หากว่านางไม่ตาย เจ้าและข้าก็ยากที่จะต้องเผชิญกับภัยตรายใหญ่หลวง!” 

 

 

ซือเป่ยเห็นดวงพักตร์ของนางซีดขาว ก็ปลอบประโลมไปอีกว่า “ท่านกำลังตั้งครรภ์ โปรดอย่าได้ร้อนรนจนเกินไป ข้าจะไปปลิดชีวิตของนางด้วยตนเอง” 

 

 

ยามที่สนทนากับฮว๋ายยู่ น้ำเสียงของเขากลับอ่อนโยนลงไปอีกหลายส่วน ราวกับว่าเป็นคนละคนกับเทพสงครามที่ฆ่าล้างสังหารผู้คน 

 

 

หากเป็นยามปกติแล้ว ในเมื่อมีเหล่าลูกน้องอยู่ เมื่อต้องการปลิดชีวิตของผู้ใด ก็ไม่จำเป็นจะต้องมาถึงมือเขา 

 

 

หากทำเช่นนั้นย่อมไม่เหมาะสม 

 

 

เขาคือเทพสงครามแห่งสรวงสวรรค์ ย่อมมีศักดิ์ฐานะสูงส่งไร้ที่เปรียบ มิใช่ว่าเมื่อมีผู้ใดบุกเข้ามา ก็จะต้องให้เขามาลงมือด้วยตนเองอยู่เสมอ ทำเช่นนั้นถือว่าเสื่อมเกียรติจนเกินไป 

 

 

แต่ว่าในเมื่อฮว๋ายยู่ตรัสออกมาแล้ว เช่นนั้นเกียรติยศและหน้าตาก็ช่างมันไปเถอะ 

 

 

พอหยิบกระจกนั้นกลับมา เขาก็มองดูฮว๋ายยู่อย่างลึกล้ำอีกครั้งหนึ่ง 

 

 

แต่ว่าฮว๋ายยู่กลับมิได้เสียเวลามองดูเขา นางขยับกระจกในมือ เปลี่ยนเป็นภาพสถานการณ์ที่ประตูสวรรค์ทิศใต้ในทันที 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเป็นเหมือนกับหมุดตอก ที่ฝังอยู่บนยอดศีรษะของหงส์แดง 

 

 

แม้ว่าหกแม่ทัพสวรรค์จะระดมกำลังกันเช่นไร ก็ยังไม่สามารถที่จะทำลายเขตอาคมของนางลงได้ 

 

 

พวกเขาต่างก็ร้อนใจกันใหญ่แล้ว นางมารผู้นี้ชั่วช้าเกินไปแล้ว แม้ว่าจะมิได้ลงมือทุบตีพวกเขา แต่ว่านางถึงกับไม่แม้แต่จะเหลือบตามองดูพวกเขาเลยด้วยซ้ำ นางเอาแต่ปิดตาอยู่ตลอด ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนถูกดูถูกอย่างแรง! 

 

 

ส่วนพวกเขา หลังจากที่พ่ายแพ้จนกระเด็นกระดอนไปรอบหนึ่ง ก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยขึ้นมาบ้างแล้ว 

 

 

แต่กลับไม่ทันได้รู้สึกเลยว่าโดนสูบพลังไป 

 

 

พวกเขาเข้าใจว่า ต่อให้นางมารผู้นี้สามารถสูบพลังวิญญาณของผู้คนได้ แต่ก็คงไม่อาจใช้วิธีนี้ได้ตลอดเวลา 

 

 

แต่ว่าหลังจากกลุ้มรุมเข้าไปอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง ตู๋กูซิงหลันก็ยังยืนหยัดอย่างมั่นคงโดยมิมีความเคลื่อนไหวใดๆ 

 

 

นางมิได้ลงมือปะทะ เพียงแต่รักษาระดับของพลังวิญญาณเอาไว้อย่างไม่มีขาดช่วง 

 

 

หลังจากถ่วงไปอยู่พักหนึ่ง ก็คิดว่าพวกมังกรทั้งเก้าและเยี่ยเฉินคงจะกลับไปยังโลกเบื้องล่างอย่างปลอดภัยแล้ว 

 

 

ในเมื่อมีป้ายหยกแผ่นนั้นเบิกทาง พวกเขาสมควรกลับไปได้อย่างรวดเร็วและราบลื่น 

 

 

ในตอนนั้นเอง ตู๋กูซิงหลันถึงได้ลืมตาขึ้นมา 

 

 

ทันทีที่ลืมตา ก็เห็นว่าซือเป่ยถือง้าวสีทองด้ามหนึ่งเหาะเข้ามา 

 

 

แม่ทัพสวรรค์ทั้งหกรีบถอยหลบไปด้านข้าง ดูท่าพวกเขาคงจะใช้การไม่ได้อย่างยิ่ง จำเป็นจะต้องให้เทพสงครามออกรบด้วยตนเอง จึงจะสามารถจัดการกับนางมารผู้นี้ได้ 

 

 

ซือเป่ยไม่เสียเวลาพูดจาไร้สาระ เขาวาดง้าวออกไปในทันที 

 

 

ง้าวสีทองแผ่รัศมีกดดันอันน่าหวาดกลัวออกมา ทันทีที่กวาดออกมา ก็พุ่งเข้าไปหาหน้าผากของตู๋กูซิงหลันด้วยพลังที่แข็งแกร่ง  

 

 

จนทำให้เกิดกระแสลมพัดคลุ้งทั่วประตูสวรรค์ทิศใต้ 

 

 

เมฆสีแดงที่อาบเลือดถูกพัดพาจนกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทาง เมื่อง้าวด้ามนั้นมาถึงด้านบนของเขตอาคมของนาง และแม้ว่าจะมีเขตพิทักษ์นี้ขวางกั้นอยู่ ตู๋กูซิงหลันก็ยังรู้สึกได้ถึงพลังอันน่ากลัวที่เสียดแทงกระดูก 

 

 

ซือเป่ยแข็งแกร่งขึ้นแล้ว 

 

 

ขณะที่พลังของนางเติบโตขึ้น ซือเป่ยก็มิได้นอนอยู่เฉยๆ 

 

 

“ซี่ซี่ซี่…..” พริบตาเดียวก็ได้ยินเสียงเหมือนกระจกถูกกรีดดังขึ้น 

 

 

พอเสียงนั้นดังออกมา ก็ได้ยินเสียงแตกร้าวดังไปทั่ว เขตอาคมที่นางสร้างขึ้นด้วยพลังวิญญาณถึงกับพังทลาย 

 

 

ง้าวสีทองด้ามนั้นยังคงฟาดลงมาอย่างไม่มีลังเล จนแทบจะแทงเข้าไปในหน้าผากของนาง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันก้มตัวลง ถอยร่างออกไปด้านหลัง 

 

 

ในขณะเดียวกัน ตี้เสียที่ทรงซ่อนพระองค์อยู่ในหมู่เมฆถึงกับประทับนั่งไม่ติดแล้ว 

 

 

พระองค์ขยับพระดัชนี กลางฝ่าพระหัตถ์เปล่งประกายสีทอง แต่เพราะยังทรงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงมิได้ซัดออกไป 

 

 

อีกด้านหนึ่ง ซือเป่ยยังคงโบกง้าวต่อไป โดยไม่คิดจะเหลือทางรอดให้กับตู๋กูซิงหลันแม้แต่น้อย 

 

 

…………………….